xs
xsm
sm
md
lg

ผ่านมไร้ปัญหา “โจลี” ยันสัมพันธ์ “แบรด พิตต์” แนบแน่นขึ้น ฝ่ายชายชื่นชมเป็นสุดยอดนางเอก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


หลังกลายเป็นข่าวฮือฮาว่า “แองเจลินา โจลี” นักแสดงสาวชื่อดังตัดสินใจผ่าเต้านมทั้งสองข้างทิ้งเพื่อลดโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม ล่าสุดเจ้าตัวเผยไม่กลัวสัมพันธ์ร้าง ยืนยันแนบแน่นกว่าเดิม ด้าน “แบรด พิตต์” บอกคนรักกล้ามากยกเป็นยอดนางเอก

โดยแบรด พิตต์ ได้เผยถึงการตัดสินใจของ แองเจลินา โจลี คู่หมั้นสาวของเขาว่า “เป็นคนแรกที่รู้เรื่องการตัดสินใจครั้งนี้ ผมรู้ตัวเลือกของแองจี้แล้ว เช่นเดียวกับผู้หญิงอีกมากมายที่เป็นแบบเธอ ช่างกล้าหาญสมเป็นนางเอกอย่างแท้จริง”

“ผมขอขอบคุณทีมแพทย์ของเราที่ช่วยดูแลและเอาใจใส่ต่อการรักษาครั้งนี้ ทั้งหมดที่ผมต้องการคือการให้เธอมีชีวิตอยู่นานๆและสุขภาพแข็งแรงอยู่กับผมและลูกๆ นี่เป็นวันที่มีความสุขมากสำหรับครอบครัวเรา”

หลังเจอคู่หมั้นหนุ่มกล่าวชื่นชมในความกล้าตัดสินใจแล้ว ทางแองเจลินา โจลี ก็กล่าวชื่นชมฝ่ายชายเช่นกัน เพราะหลังจากที่เธอรู้ตัวว่ายีนในร่างกายของเธอผิดปกติคือมียีนส์ BRCA1 ที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่ สูงถึง 87% จนต้องเข้ารับการผ่าตัดครั้งแรกเมื่อเดือน ก.พ.และเพิ่งสิ้นสุดการรักษาครั้งสุดท้ายเมื่อวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา แบรด คอยให้กำลังใจอยู่เคียงข้างไม่ห่าง

“ฉันโชคดีมากที่มีคู่ชีวิตเป็น แบรด พิตต์ ที่ทั้งรักและให้กำลังใจฉันอย่างดีมาก ดังนั้นสำหรับใครที่มีภรรยาหรือแฟนสาวที่ต้องเผชิญกับเรื่องนี้ รู้ไว้เลยว่าคุณคือส่วนที่สำคัญอย่างมากต่อการเปลี่ยนแปลง แบรดอยู่ที่ Pink Lotus Breast Center ที่ที่ฉันเข้ารับการรักษาตลอด เขาอยู่กับฉันทุกๆ นาทีของการผ่าตัด เราช่วยกันจัดการหาโอกาสที่จะหัวเราะด้วยกัน เรารู้ดีว่านี่เป็นสิ่งที่ถูกต้องและสมควรทำแล้วเพื่อครอบครัวของเรา และมันยังทำให้เราสนิทแนบแน่นกันมากขึ้นอีกด้วย”

แบรด และ แองเจลินา ขณะนี้ได้สร้างครอบครัวร่วมกัน โดยมีลูกที่ต้องดูแลร่วมกันถึง 6 คน ซึ่งเป็นลูกบุญธรรมนานาชาติ 3 คนคือ แม็ดด็อกซ์ จากกัมพูชา, แพ็กซ์ เทียน จากเวียดนาม และ ซาฮารา จากเอธิโอเปีย โดยมีลูกแท้ๆ ที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของทั้งคู่อีก 3 คนคือ ไซโล และฝาแฝด น็อกซ์-วิเวียน

ซึ่งช่วงที่เธอเข้ารับการผ่าตัดตลอด 3 เดือน แองเจลินา ยืนยันว่าลูกๆไม่ได้รู้สึกกระอักกระอ่วนใจแต่อย่างใด “หมดห่วงเลยที่ลูกๆ ไม่ได้มีอะไรที่ทำให้พวกเขารู้สึกไม่สบายใจ เขาได้เห็นแม่มีรอยแผลเป็นเล็กๆ แค่นั้น ทุกอย่างยังคงเป็นแม่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด และพวกเขารู้ดีว่าฉันรักพวกเขาและสามารถทำทุกอย่างเพื่อจะได้อยู่กับพวกเขาไปได้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้”

“ฉันเริ่มที่หน้าอกก่อน ซึ่งที่หน้าอกมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมากกว่าที่รังไข่ที่การผ่าตัดจะค่อนข้างซับซ้อนยุ่งยากกว่ามาก และเมื่อวันที่ 27 เม.ย. ฉันเพิ่งเสร็จสิ้นการรักษาทางการแพทย์ที่ยาวนาน 3 เดือน ซึ่งรวมถึงการตัดเนื้อที่หน้าอกทิ้งด้วย โดยระหว่างนั้นฉันยังสามารถเก็บเรื่องนี้ไว้ความลับได้และยังทำงานทำหน้าที่ของฉันต่อไปด้วยได้เช่นกัน ซึ่งโอกาสในการพัฒนาเป็นมะเร็งเต้านมของฉันลดจาก 87% เหลือเพียงไม่ถึง 5% แล้ว ฉันสามารถบอกกับลูกๆ ได้แล้วว่าพวกเขาไม่ต้องกลัวที่จะสูญเสียฉันไปจากการเป็นมะเร็งเต้านมแล้ว”

ซึ่งระหว่างที่เข้ารับการรักษาตลอด 3 เดือน แองเจลินา โจลี ยังคงเดินสายทำงานของตนเองอย่างต่อเนื่องเป็นปกติ โดยเมื่อเดือน มี.ค.เธอก็เดินทางไปคองโก ร่วมกับ วิลเลียม เฮก, วันที่ 4 เม.ย เข้าร่วมการประชุม Women in the World Summit ที่นิวยอร์ก วันที่ 11 เม.ย.ถ่ายภาพร่วมกับวิลเลียม เฮก ในการประชุม G8 ที่ลอนดอน จนกระทั่งวันที่ 20 เม.ย.ที่เธอเข้ารับการผ่าตัดหน้าอกครั้งสุดท้ายพร้อมกับเปลี่ยนเต้าใหม่ก่อนจะสิ้นสุดการรักษาในวันที่ 27 เม.ย.และมาเปิดเผยเรื่องราวทุกอย่างผ่านทางนิวยอร์กไทมส์เมื่อวันที่ 14 พ.ค.ที่ผ่านมา

ทางด้านเลขาธิการรัฐมนตรีต่างประเทศอย่าง วิลเลียม เฮก ที่เดินทางไปเยี่ยมค่ายอพยพที่คองโกพร้อมแองเจลินา โจลี ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญรณรงค์ปัญหาเกี่ยวกับการข่มขืน ได้ยกย่องว่าเธอเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมาก

“เธอเป็นผู้หญิงที่เด็ดเดี่ยวกล้าหาญและเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริง เธอทำงานหลายอย่างร่วมกับผมตลอดลายเดือนที่ผ่านมา เธอยังไปเข้าร่วมการประชุม G8 ที่อังกฤษด้วย เพื่อร่วมกันรณรงค์ถึงปัญหาความรุนแรงทางเพศ ซึ่งเธอได้ร่วมเดินทางไปยังสถานที่ที่ทุรกันดารและลำบากมากๆ ในคองโกพร้อมกับผมด้วย เธอไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ว่าเธอเข้ารับการผ่าตัดหรือไปรักษาตัวมา ผมคิดว่าเธอเป็นหญิงสาวที่กล้าหาญมากจริงๆ ไม่ใช่แค่แบกรับภาระหน้าที่ของตนเองได้เป็นอย่างดีช่วงเวลาเข้ารับการรักษาแล้ว แต่เธอยังเขียนเกี่ยวกับเรื่องนี้และพูดถึงมันในช่วงเวลานี้ด้วย ซึ่งผมคิดว่าเธอกล้าหาญมากๆ และมันจะเป็นแรงบันดาลใจที่ดียิ่งต่อผู้คนอีกมากมายเลยทีเดียว”

ทางด้าน แองเจลินา โจลี ที่ออกมาเปิดเผยเรื่องนี้ยังหวังด้วยว่าเรื่องราวของเธอจะเป็นประโยชน์และเป็นกำลังใจต่อผู้หญิงอีกหลายๆ คน โดยเฉพาะกับผู้ที่ครอบครัวเคยมีประวัติมีคนป่วยเป็นมะเร็งเต้านมและมะเร็งรังไข่มาก่อน เพื่อจะได้ศึกษาหาข้อมูลและปรึกษาผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ที่จะช่วยรักษาชีวิตให้ยืนยาวต่อไปได้ พร้อมแนะนำด้วยว่าให้เลิกกลัวกับคำว่ามะเร็งเพราะยังมีทางเลือกในการรักษาอีกมาก ซึ่งเธอยังส่งเสริมให้มีการตรวจเลือด และตรวจยีนกรรมพันธุ์ด้วยว่ามีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งหรือไม่ด้วย
ภาพถ่ายเมื่อวันที่ 20 เม.ย. ที่ผ่านมา
ถ่ายร่วมกับวิลเลียม เฮก การประชุม G8 ที่ลอนดอนเมื่อวันที่ 11 เม.ย.
เดินทางไปคองโก เมื่อวันที่ 26 มี.ค.

กับผู้เป็นแม่ที่เสียชีวิตจากมะเร็งเต้านมขณะอายุเพียง 56 ปี
กำลังโหลดความคิดเห็น