ขณะที่หนังเก่าเล่าใหม่อย่าง “พี่มาก..พระโขนง” เข้าโรงเก็บรายได้ไปสองร้อยกว่าล้าน แต่หนังเก่าเล่าซ้ำอีกเรื่องอย่าง “คู่กรรม” กลับดูเหมือนจะเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม เพราะจากกระแสมหาชนคนดูที่ออกมา ต้องยอมรับว่า คู่กรรมเวอร์ชั่นนี้ค่อนข้างจะมีกรรม
จากบทประพันธ์ของนักเขียนที่ชื่อทมยันตี เรื่องรักข้ามชาติระหว่างโกโบริกับอังศุมาลิน (หรือ “ฮิเดโกะ” ของโกโบริ) ถูกหยิบมาบอกเล่าแล้วไม่รู้กี่รอบต่อกี่รอบ ทั้งในเวอร์ชั่นละครทีวีและภาพยนตร์ เหตุผลอันดับต้นๆ ที่ทำให้ผลงานชิ้นนี้เป็นที่ติดตาตรึงใจคนดูผู้ชมเสมอมา ก็คือความซาบซึ้งในความรักอันมากด้วยโศกนาฏกรรมของตัวละครที่พอถึงตอนจบ บ่อน้ำตาของผู้ชม เป็นต้องรื้นไปตามๆ กัน
ในเวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดนี้ ได้ผู้กำกับฝีมือดี “เรียว กิตติกร” มารับหน้าที่ในการถ่ายทอด เรียว กิตติกร นั้น มีผลงานเป็นที่ประจักษ์อยู่จำนวนหนึ่ง (โดยเฉพาะ “เมล์นรกหมวยยกล้อ” เชื่อว่าทุกคนคงชอบ) แต่นั่นยังไม่เท่ากับการได้ดาราหนุ่มที่กำลังมีโด่งดังอย่างณเดชน์ คูกิมะยะ มารับบทโกโบริ เป็นการ “ขายของ” ที่ถูกที่ถูกจังหวะพอสมควรในแง่นักแสดง ผมถึงขั้นได้ยินมาว่า โปรเจคต์นี้เกิดจากไอเดีย เอา “ดาราเป็นตัวตั้ง” แล้วหาหนังหรือเรื่องราวที่เหมาะกับดาราคนนั้นๆ มาทำ ผลสุดท้าย ก็คือ “คู่กรรม” นี่แหละเหมาะสมที่สุดสำหรับณเดชน์
แน่นอนครับ สำหรับคนที่ได้ดู ก็จะรู้สึกต่อไปอีกว่า ณเดชน์ กับบทบาทพระเอกนั้น คือเสาหลักของเรื่อง ซึ่งถือว่าเป็นองค์ประกอบที่ดีที่สุดของหนัง การแอ็คติ้งของเขา บทบาทของเขา ประคองหนังทั้งเรื่องไว้อย่างไม่อาจปฏิเสธ ในส่วนบทหนัง ผมคิดว่ายังไม่ค่อยมีพลังเท่าที่ควร อันที่จริง เรื่องราวแบบคู่กรรม เหมาะจะทำเป็นหนังดราม่าแบบบีบเค้นหนักๆ ไม่ต้องยั้ง บีบน้ำตาได้ ก็บีบไปเลย เพื่อผลลัพธ์ในทางซาบซึ้ง เหมือนกับเวอร์ชั่นที่ผ่านๆ มา คือดราม่าแบบโฉ่งฉ่างไปเลย จะซึ้งก็ซึ้งไปจนสุด ถึงบทจะโศกก็โศกไปจนสุดเช่นกัน
แต่กับคู่กรรมเวอร์ชั่นนี้ บอกตามตรงว่า ดูแล้วเหมือนกำลังเดินทางไกลนะครับ มันเหนื่อยมันล้า รู้สึกว่าเป็นระยะทางอันแสนไกลและไม่มีสีสันน่าสนใจติดตาม สำหรับคนที่ติดตามผลงานของคุณเรียว กิตติกร มาทุกเรื่อง และหลายเรื่องก็ชอบ โดยเฉพาะ “เมล์นรกหมวยยกล้อ” ที่ผมเชื่อว่าหลายคนก็คงชอบเช่นกัน ผมว่าศักยภาพของคุณเรียวนั้น เป็นที่ยืนยันแล้ว เพียงแต่บอกตามตรง การตีความคู่กรรมตามแบบของคุณเรียวนั้น ไม่เวิร์กอย่างที่ควรจะเป็น
ก็อย่างที่บอกครับ เรื่องราวของคู่กรรม คือเรื่องที่จะต้อง “เว้ากันซื่อๆ สื่อกันตรงๆ” ฟูมฟายได้ก็ฟูมฟายไปเลย และเค้นหนักๆ ทุบหนักๆ เพราะนี่ไม่ใช่หนังอย่าง “เราสองสามคน” ที่สามารถ “ซ่อน” หรือ “เก็บงำ” ให้คนดูตีความเองได้ แต่พูดก็พูดเถอะ จุดอ่อนของคู่กรรมเวอร์ชั่นนี้จริงๆ คือความสนุกนะครับ ตัวแก่นแกนแก่นสารทางด้านเนื้อหาอันว่าด้วยเรื่องรักอะไรเหล่านั้น มันชัดเจนรู้เห็นกันอยู่แล้ว แต่โจทย์ใหญ่ก็คือ คนสร้างจะเล่าอย่างไรให้มันบันเทิงหรือน่าสนใจ น่าติดตามได้ คนที่เล่าเรื่องใหม่ให้สนุกนั้น ถือว่าเก่งระดับหนึ่ง (เพราะอย่างน้อยๆ ถ้าเล่าได้ดีสักหน่อย คนไม่เคยฟัง ก็ยังอยากรู้) แต่สำหรับคนที่เล่าเรื่องเก่าให้สนุกและน่าติดตามได้นั้น ถือว่าเก่งขึ้นไปอีกขั้น เพราะทำเรื่องที่คนก็รู้ๆ กันอยู่แล้วให้สนุกได้ ผมจะไม่พูดละกันว่า “พี่มาก..พระโขนง” คือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดในประเด็นนี้
ความตั้งใจของผู้กำกับ เท่าที่ทราบมา คือเขาต้องการจะให้คู่กรรมเวอร์ชั่นนี้ออกมาในลักษณะคล้ายๆ เป็นหนังรักวัยรุ่น แต่ดูไป ผมว่าเหมือนหนังสำหรับผู้สูงวัยมากกว่า เพราะสีสันความสนุกในแบบหนังวัยรุ่น มันแทบไม่มีเลย อย่างน้อย เวลานึกถึงหนังวัยรุ่น คุณจะนึกถึงอะไร แน่นอนล่ะ ความตลกหรืออารมณ์ขัน แต่หนังแทบไม่ได้ใช้พลังงานในด้านนี้เลย อาจจะมีที่พยายามให้ดู “ขำๆ” บ้าง แต่มันก็ขำไม่สุด
อันที่จริง ถ้าจะให้พูดถึงมุมมองคู่กรรมเวอร์ชั่นนี้เด่นชัดที่สุด น่าจะเป็นมุมมองเกี่ยวกับตัวพระเอกของเรื่อง หนังขับเน้นให้เห็นถึงความน่าสงสารเห็นใจของตัวโกโบริที่พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะพิชิตใจสาวไทยอย่างอังศุมาลิน ท่ามกลางเขม่าปืนและเสียงระเบิดของสงคราม รวมทั้งอคติที่ก่อตัวขึ้นในใจของหญิงสาว เขา-โกโบริ-จะฝ่าทลายกำแพงกั้นนั้นไปได้หรือไม่
ปฏิเสธไม่ได้ว่า หนังเรื่องนี้ขายได้เพราะณเดชน์ เขาแสดงได้ดูน่าสงสารและเอาใจช่วย เชื่อว่า ด้วยอุปสรรคและอะไรต่อมิอะไรที่เขาพบเจอ มันมากพอที่จะกระตุ้นต่อมลุ้นของคนดูที่อยากให้เขาประสบความสำเร็จในเรื่องรัก และถ้าคุณคิดว่าการมีณเดชน์ในหนัง คือความคุ้มค่าแล้ว ไม่ต้องการเหตุผลอื่นใด มันก็คุ้ม แต่ถ้าคาดหวังมากกว่านั้น ไม่แน่ว่าจะรู้สึกคุ้ม และถ้าเป็นเช่นนั้น คนที่น่าสงสาร อาจไม่ใช่โกโบริ หากแต่เป็นเรา เพราะเสียดายตังค์ค่าซื้อตั๋วเข้าไปดู