“พี” ปรเมศวร์” ถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่า “เอ” นพปฎล อธิบาย หุ้นส่วนร้าน Museได้เข้ามอบตัวในวันที่ 21 มกราคม 2556 ท่ามกลางภาวะกดดันจากสังคมทั้งโซเชียลเน็ตเวิร์ก ของเหล่าดาราและ ผู้จัดฯช่อง 3 ที่ถาโถมผ่านเฟซบุ๊กและ อินสตาแกรมจนร้อนเป็นไฟ ทุกคนร่วมมือกันออกมาเรียกร้องให้มีการสอบสวนอย่างชัดเจน และค้านคำให้การของพีเรื่อง “ปืนลั่น” ว่า ไม่ใช่ความจริง!! จนคดีอยู่ในความสนใจของคนในสังคม
มีข้อน่าสังเกตว่า ในข้อหาอุกฉกรรจ์นี้ กลับได้รับการประกันตัวในวงเงินเพียง 3 แสนบาท แทนที่จะเป็น 5 แสนบาท ทั้งยังให้ทนายจดหมายชี้แจงเรื่องราวดังกล่าวต่อสื่อมวลชนแทนการให้สัมภาษณ์ ก่อนที่จะเดินเข้าไปหาตำรวจไม่เกิน 10 นาที “พี” ปรเมศวร์ก็เดินทางกลับไปและพร้อมสู้คดีในชั้นศาล ท่ามกลางข่าวลือเรื่องคดีมากมาย
เป็นอีกครั้ง … ที่สน. ทองหล่อ อาจจะถูกจับตา !! หลังจากที่เคยทำเรื่องงามหน้าหาพ่อบ้านมาสวมรอยเป็นโชเฟอร์รับผิดแทนวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง
งานนี้หลายคนเชื่อว่า “พี” ปรเมศวร์ผู้นี้ น่าจะมีเส้นสายเกี่ยวพันกับผู้ใหญ่บางคน !! ที่สามารถคัดง้างให้ สน. ทองหล่อ ผ่านฉลุย!! กับคดีสะเทือนขวัญนี้
คดีทายาทกระทิงแดง ผู้ออกหน้า จนเป็นเหตุให้มีการเด้ง พ.ต.ท. ปัณณ์ณภพ นามเมือง สวป.ทองหล่อ คือ “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง” ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล(ผบช.น.) แต่ทำไม งานนี้ บิ๊กแจ๊ดกลับนิ่งเงียบไม่ออกโรงเหมือนก่อน
คดีนี้ “ไอ้โม่ง” ที่อยู่เบื้องหลังการเคลียร์เรื่องทั้งหมดเป็นใคร !! นักการเมือง, นายตำรวจชั้นผู้ใหญ่, เซียนพระ หรือแม้กระทั่ง นักเลงเมืองเพชรฯ ล้วนแต่อยู่ในข่ายที่เป็นไปได้ทั้งสิ้น
“เปี๊ยก - พิศาล” ชักนำ “พี - ปรเมศวร์” เข้าวงการ
ปรเมศวร์ สิงห์โพธิ์ ปัจจุบันอายุ 33 ปี เป็นแฟนหนุ่มของ “ปุ๊ก” สุธาศิณี งิ้วงาม ลูกสาวของ “เสมอ งิ้วงาม” หรือที่วงการพระเครื่อง รู้จักและเรียกกันว่า “ป๋อง สุพรรณ” เข้าวงการด้วยการเข้ามาอยู่ในเด็กปั้นของบริษัท อัครพลโปรดักชั่น ซึ่งมีเปี๊ยก พิศาล อัครเศรณีเป็นเจ้าของ พีเคยให้สัมภาษณ์ว่าตนนั้นมีอาชีพขายอุปกรณ์กอล์ฟอยู่ที่ชะอำ แต่เพราะแม่และ “เปี๊ยก พิศาล อัครเศรณี” มีความสนิทสนมกัน จึงอยากให้ลูกเข้ามาเป็นดาราเพื่อดัดนิสัยให้มีความรับผิดชอบ จึงได้เข้ามาเล่นละคร 3-4 เรื่อง ก่อนหน้านี้ อาทิ “สุดแดนหัวใจ” ฝีมือการกำกับของเปี๊ยก พิศาล ตามมาด้วย “ไฟรักอสูร” ที่มี บอย ปกรณ์ และ วิกกี้ สุนิสา รับบทพระนาง ต่อด้วย “สามหัวใจ” ที่มี บอย ปกรณ์และ แพท ณปภา รับบทพระเอกนางเอก ซึ่งพีรับบทเป็น “เทพฤทธิ์” และล่าสุดที่เพิ่งออกอากาศไปไม่นานก็คือ “หมูแดง” นำแสดงโดย พีท ทองเจือ และ ก้อย รัชวิน วงศ์วิริยะ โดย พี ปรเมศวร์ รับบทเป็น "มนัส" รองผู้ว่าฯ หนุ่มที่ต้องมาหลงรักนางเอกก้อย รัชวิน แต่ก็ไม่ได้มีชื่อเสียงโด่งดังเท่าที่ควร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็อาจไม่ได้กระทบกับรายได้ของครอบครัวนายปรเมศร์ เนื่องจากฐานะทางบ้านของตระกูลก็ถือว่าร่ำรวย และมีการพูดถึงว่าด้วยความมีฐานะร่ำรวยนี้จะทำให้คดีนี้พลิกหรือไม่จึงเป็นเหตุให้ดาราและเพื่อนของเอ ทำให้โซเชียลเน็ตเวิร์กเรื่องราวของเอยังอยู่ในกระแสจนกระทั่งวันนี้
"เอ นพปฎล" พี่ชายที่อบอุ่น
หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญในครั้งนี้ บรรดาดารา นักแสดง ผู้จัดละครของช่องสามต่างก็พากันออกมาพูดถึง "เอ นพปฎล อธิบาย" ว่าเป็นพี่ชายที่พวกเขาเคารพรัก หลายคนไม่รู้จักผู้ชายคนนี้เพราะจะว่าไปแล้วเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาคนหนึ่งแต่ที่นักแสดงและดารามากมายต่างโศกเศร้าเสียใจกับการสูญเสียในครั้งนี้ก็เพราะหัวใจของเอไม่ธรรมดาถึงขนาดนักแสดง ดารา ศิลปิน นักร้อง นางแบบนายแบบพากันยกให้เขาเป็น "พี่ชายที่แสนอบอุ่น" เลยทีเดียว
“เอ นพปฎล อธิบาย" ในวัย 44 ปีเป็นหุ้นส่วนคนหนึ่งของร้าน Muse ผับชื่อดังที่เหล่าดารานิยมไปเที่ยวของย่านทองหล่อ โดยร่วมหุ้นกับกลุ่มเพื่อนดูแลผับแอนด์เรสเตอรองต์มาตั้งแต่สมัยที่ทำผับชื่อ "Booze" ในย่านทองหล่อเช่นเดียวกัน ก่อนที่จะกลายมาเป็น Muse อย่างทุกวันนี้ หน้าที่หลักๆ ของเอคือการเป็นพีอาร์ของร้าน คอยออกมาต้อนรับขับสู้ ดูแลแขกที่มาเที่ยว โดยไม่เลือกว่าเป็นดาราหรือคนทั่วไป ด้วยความที่เป็นหน้าด่านของ Muse นี่เองที่ทำให้เอเป็นที่รู้จักของบรรดาดารา นักแสดง นางแบบ นายแบบ พริ้ตตี้ระดับท็อปมากมาย
อุปนิสัยอันโดดเด่นของเอที่ทำให้ทุกคนชื่นชอบก็คือความเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี ยิ้มเก่ง คุยสนุก เข้ากับคนได้ง่าย และเอจะเป็นคนที่ใส่ใจคนรอบข้าง เรียกว่าหากใครมีปัญหาชีวิตคิดไม่ตกก็ต้องพุ่งเข้าหาเอก่อนเป็นอันดับแรก เอจะให้คำปรึกษาได้กับทุกคนและทุกเรื่อง ไม่ว่าคนนั้นจะเป็นดาราหรือพนักงานเสิร์ฟ คำพูดติดปากที่เอมักจะพูดปิดท้ายหลังจากให้คำปรึกษากับใครสักคนเรียบร้อยแล้วก็คือ "เชื่อพี่เอเถอะ แล้วทุกอย่างจะดีเอง"
ทุกคนที่รู้จักเอต่างก็ยอมรับเป็นเสียงเดียวกันว่าเขาคือผู้ชายที่มีจิตใจกว้างดั่งแม่น้ำ ไม่ว่าใครจะขอความช่วยเหลือเขาในรูปแบบไหน จะเป็นเงินทอง แรงกาย คำปรึกษา เวลา มีน้อยครั้งมากที่เอจะปฏิเสธ
ตลอดเวลาการทำงานกว่ายี่สิบปีของเอ เขาจะแบ่งเงินส่วนหนึ่งส่งไปให้แม่เสมอ นอกจากเลี้ยงดูแม่แล้วเขายังส่งเงินไปให้พี่สาวอีกด้วย แม้จะเป็นหุ้นส่วนร้าน Muse ผับที่ถือว่า Hot ที่สุดขณะนี้ แต่ชีวิตจริงเอกลับเป็นคนที่สมถะและเรียบง่าย ใส่เสื้อผ้า รองเท้าซ้ำๆ ไม่มีรถขับ ในวันธรรมดาจันทร์ถึงศุกร์เอจะใช้ชั้นบนของร้าน Muse เป็นที่หลับนอน เพื่อประหยัดค่าที่พักและสะดวกต่อการทำงาน พอถึงวันเสาร์เขาก็จะนั่งรถกลับไปหาแม่และใช้ชีวิตอยู่กับแม่สองวันต่อสัปดาห์
ฐานะทางบ้านของเอถือว่าปานกลาง โดยเอมีโครงการจะเปิดร้านขายอาหารให้แม่ดูแลกิจการในช่วงไม่กี่เดือนข้างหน้า แต่เขาก็มาเสียชีวิตไปเสียก่อน
ส่วนหนึ่งที่ร้าน Muse ประสบความสำเร็จเกิดจากฝีมือการเอ็นเตอร์เทนต์ลูกค้าของผู้ชายที่ชื่อเอคนนี้ เขาสามารถสร้างเสียงหัวเราะ รอยยิ้มให้เกิดในวงสนทนาได้เสมอ มีน้อยคนมากที่จะเคยเห็นเอแสดงท่าทางทุกข์เศร้า เพราะไม่ว่าลึกๆ จะมีเรื่องเศร้าเสียใจขนาดไหนเอก็ไม่เคยแสดงออกให้ใครเห็น หลายคนจึงมักจะถามเอด้วยคำถามเดิมๆ ว่า "พี่ไม่เคยมีความทุกข์บ้างเหรอ" ซึ่งเอก็จะส่งยิ้มอบอุ่นให้แทนคำตอบ
ในชีวิตอันแสนสามัญของเอ เขาใช้ชีวิตเรียบง่ายอยู่ภายในซอยทองหล่อ กลางวันไปกินข้าวที่ซูเปอร์มาร์เกตในซอย แล้วกลับเข้ามาทำงานต่อ ก่อนที่จะอาบน้ำแต่งตัวเตรียมพร้อมต้อนรับลูกค้าในช่วงหัวค่ำ นอกจากนี้เอยังชอบจัดดอกไม้ไหว้พระเป็นชีวิตจิตใจ หลังจากที่เขาเสียชีวิตไป น้องที่รักเอคนหนึ่งได้กล่าวกับเพื่อนๆ ของเอว่า "ตอนนี้พี่เอได้ไปอยู่ท่ามกลางหมู่มวลดอกไม้ไหว้พระที่พี่เอชอบแล้ว ขอให้พี่เอหลับให้สบาย"
ความจริงจากปากหุ้นส่วนร้าน Muse
“อย่างแรกเลยคือเขาไม่ใช่เพื่อนเรา ไม่ใช่หุ้นส่วนร้าน ไม่ใช่เพื่อน ไม่ใช่คนในกลุ่ม ในแก๊งเรา ร้าน Muse มีผู้จัดของช่องสามเป็นหุ้นส่วน แต่ไม่มีใครรู้จักเขา เขาไม่ใช่นักแสดงในสังกัดของช่องสาม แต่เขาพยายามให้ข่าวว่าเป็นนักแสดงช่องสามที่เลือดร้อน มีเรื่องทะเลาะวิวาทแล้วพกปืนไปด้วย ในการให้ปากคำในตอนแรกซึ่งจริงๆ แล้วมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย" หุ้นส่วนคนหนึ่งของร้าน Muse ผู้เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดโดยละเอียดผ่านกล้องวงจรปิดหลายมุมต้องการย้ำให้สังคมรับรู้ว่าสิ่งที่ "พี ปรเมศวร์ " ผู้ต้องหาฆ่า "เอ นพปฎล อธิบาย" หุ้นส่วนอีกคนของร้าน Muse พยายามบอกแก่สังคมไม่เป็นความจริง
แหล่งข่าวซึ่งเป็นหนึ่งในหุ้นส่วนร้าน Muse บอกว่าเขาได้ดูภาพจากกล้องวงจรปิดหลายครั้งและหลายมุม รวมถึงนำภาพวีดีโอไปปรึกษากับเพื่อนที่เป็นตำรวจผู้เชี่ยวชาญหลายคน และได้ข้อสรุปตรงกันว่านี่ไม่ใช่คดีฆ่าคนตายที่เกิดจากการทะเลาะวิวาทแล้วบันดาลโทสะธรรมดา โดยเฉพาะวิธีการฆ่าที่เขาบอกว่าโหดเหี้ยมและมีการคิดไตร่ตรองหรืออาจถึงขั้นวางแผนเอาไว้แล้ว
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเช้าตรู่วันนั้น แหล่งข่าวเล่าให้ฟังโดยละเอียดว่า "พี่เอ" ของน้องๆ เดินมาห้ามปรามชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังทะเลาะกันอย่างรุนแรง โดยมีผู้หญิงอีกสองคนที่มาด้วยกันยืนอยู่ด้วย หลังจากนั้นเอก็กลับขึ้นไปชั้นบน ก่อนจะเดินกลับลงมาอีกที ซึ่งในครั้งนี้นี่เองที่เกิดเหตุรุนแรงขึ้น
หลังจากมีปากเสียงกันสักพัก พีก็เดินฉีกไปที่กระเป๋าของตัวเองเพื่อจะหยิบปืน จังหวะนั้นเองที่แฟนสาวของพีรู้ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงขึ้นจึงเดินเข้าไปเกาะแขนเพื่อห้ามปราม แต่พีก็สะบัดจนหลุดแล้วหยิบปืนตรงไปหาเอ ทั้งสองยืนประจันหน้ากันแค่ชั่ววินาที ก่อนที่พีจะพุ่งเข้าไปหาเอ ใช้มือข้างซ้ายรวบศีรษะของเอบริเวณท้ายทอยแล้วดึงเข้ามา จากนั้นก็ยกปืนไปประกบบริเวณคิ้วของเอแล้วลั่นไกในลักษณะที่มือข้างซ้ายกดศีรษะของเอให้ติดกับกระบอกปืน
หลังจากนั้นเอก็ทรุดลงในท่านั่งคุกเข่า ก่อนที่จะล้มคว่ำลงไปนอนจมกองเลือดอยู่ที่พื้น นี่คือภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่แหล่งข่าวรายนี้ยืนยันว่าเกิดขึ้นจริงซึ่งเป็นหนังคนละม้วนกับข้อสรุปที่ตำรวจออกมาพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่ามีการยื้อแย่งปืนกันชุลมุนก่อนที่เอจะวิ่งหนีแล้วสะดุดล้ม จากนั้นพีก็มาคร่อมแล้วยิง แหล่งข่าวยืนยันว่างานนี้ถ้าตำรวจไม่อ่อนด้อยในเรื่องการตรวจสอบที่เกิดเหตุกับพยานแวดล้อมก็คงมีการโกหกคำโตเกิดขึ้นแน่นอน
“พี่ผมนอนคว่ำหน้าตายนะครับ ไม่ใช่นอนหงายตามที่ตำรวจบอก" แหล่งข่าวยืนยัน
แหล่งข่าวคนเดิมบอกว่าวันแรกที่เกิดเหตุมีภาพของเอขณะที่นอนคว่ำหน้าหลังจากถูกยิงว่อนทั่วอินเทอร์เน็ต แต่หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมงภาพดังกล่าวก็หายเกลี้ยง เขาไม่รู้ว่าผู้ต้องหามีเส้นสายอะไรหรือไม่ ที่รู้ๆ คือหลังจากเกิดเหตุไม่นานก็มีโทรศัพท์ลึกลับโทร. มาหากลุ่มหุ้นส่วนของร้าน แล้วถามว่าผู้ตายเป็นใคร ยอมความได้ไหม หลังจากคนรับสายตอบว่าไม่ได้ ปลายสายก็วางไป
จากท่าทีของผู้ก่อเหตุและผู้หญิงทั้งสามคนที่มาด้วย แหล่งข่าวมั่นใจว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกในการก่อเหตุอุกอาจขนาดนี้ เพราะเขาเห็นชัดเจนว่าคนร้ายจ่อยิงในระยะประชิด ก่อนจะยืนดูให้แน่ใจว่าคนที่เขายิงเสียชีวิตแน่ แล้วก็ค่อยๆ เดินจากไปแบบไม่ทุกข์ร้อน เช่นเดียวกับผู้หญิงอีกสามคนที่หากเป็นผู้หญิงทั่วไปที่ไม่เคยเห็นคนถูกยิงก็น่าจะมีอาการตื่นตกใจให้เห็น แต่แหล่งข่าวบอกว่าผู้หญิงทั้งสามต่างก็สงบนิ่ง ไม่มีท่าทียกมือมาปิดปาก เข่าอ่อน หรือตกตะลึงเลย ทั้งสามคนเดินนำคนร้ายกลับไปที่รถเหมือนรู้หน้าที่ก่อนที่คนร้ายจะเดินตามไปด้วยซ้ำ
ปืนยี่ห้อกล็อกที่ใช้ก่อเหตุ พีบอกว่าทะเบียนของปืนเป็นของพ่อเลี้ยงที่เสียชีวิตไปแล้ว หากฟังเผินๆ ก็คงไม่ติดใจอะไร แต่แหล่งข่าวรายนี้บอกว่าเพื่อนที่เป็นตำรวจของเขาบอกแก่เขาว่าคำว่า "พ่อเลี้ยง" ในที่นี้มีสองความหมาย นั่นคือพ่อเลี้ยงที่เป็นพ่อไม่แท้ซึ่งอุ้มชูเลี้ยงดูมา กับพ่อเลี้ยงในซุ้มมือปืน ส่วนจะเป็นความหมายไหนเขาขอให้สังคมเป็นผู้ตัดสิน
บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ บอกว่าหลังจากที่เกิดเหตุนี้ประมาณสองวัน พีได้โทร.ไปร้องห่มร้องไห้กับเขาเนื่องจากทั้งสองเคยแสดงละครด้วยกันถึงสองเรื่อง บอยบอกว่าพีร้องไห้และบอกว่าเขาไม่ได้ตั้งใจและขอโทษ แต่บอยก็ตอบไปสั้นๆ ว่าให้เป็นไปตามกระบวนการทางกฎหมายแล้วกัน
แหล่งข่าวรายนี้เชื่อว่าสาเหตุสำคัญที่พีโทร.ไปร้องไห้กับบอย และที่มีจดหมายแถลงการณ์ให้กับสื่อมวลชนแทนการให้สัมภาษณ์เป็นเพราะว่าพีน่าจะเกรงกลัวกระแสสังคม หรือพูดง่ายๆ ว่าเขากลัวกระแสสังคมมากกว่ากฎหมายนั่นเอง เนื่องจากถ้าเป็นเรื่องกฎหมายในบ้านเมืองนี้แค่มีเส้นสายสักหน่อยก็มีสิทธิ์รอดพ้นได้ แต่กับกระแสสังคมที่ทุกวันนี้มีโซเชียลเน็ตเวิร์กคอยช่วยกันกระจายข่าวสารด้วยแล้ว ก็เป็นไปได้ยากที่จะลอยหน้าลอยตาใช้ชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างสบายใจ
ถึงตอนนี้กลุ่มหุ้นส่วนร้าน Muse แตกออกเป็นสองเสียง ฝ่ายหนึ่งบอกว่ารอดูว่ากระบวนการยุติธรรมจะดำเนินไปอย่างไร แต่อีกกลุ่มเห็นว่าควรจะให้สังคมตัดสินว่าผู้ชายคนนี้ผิดจริงหรือไม่ โดยใช้ไม้เด็ดนั่นคือภาพที่พวกเขาทุกคนได้เห็นเหล่านั้นซึ่งแหล่งข่าวคนนี้มั่นใจว่าเมื่อทุกคนได้เห็นแล้วจะรู้ว่านายพีไม่ได้เป็นแค่คนหนุ่มเลือดร้อนที่บันดาลโทสะอย่างที่ข่าวหลายสำนักพยายามนำเสนออย่างแน่นอน
ส่วนกระแสสังคมที่กำลังดุเดือดอยู่ในขณะนี้ก็ชัดเจนแทบจะ 100% แล้วว่าไม่มีใครเชื่อสิ่งที่พีให้การว่าทำปืนลั่น หลายคนบอกว่าเป็นการจ่อยิงแบบอุกอาจแถมยังหนีไปโดยไม่คิดที่จะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์อีก บางคนเดือดถึงขนาดโต้ตอบคำให้สัมภาษณ์สั้นๆ ของพีที่บอกว่าถ้าย้อนเวลากลับไปได้ขอตายแทนว่า “ปืนก็มีอยู่แล้วทำไมไม่ยิงตัวตายไปซะล่ะ” เลยทีเดียว
“แนน” ภาวินันท์ - บอก โกรธแฟน ขว้างช้อนส้อมใส่โต๊ะ "เอ" ก่อนเหนี่ยวไก
จากปากคำของ “แนน ภาวินันท์ ชูเชิด” น้องคนสนิทกับเอ นพปฎล ในวันเกิดเหตุไปรับประทานอาหารนอกร้านMuse ที่ฟู้ดแลนด์ ทองหล่อ ซึ่งเป็นสถานที่เดียวกันกับพี ปรเมศร์และแฟนสาว และน้องสาว และผู้หญิงอีก 1 คน นั่งรับประทานอาหารอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งเอรู้จักและสนิทสนมกับ “ปุ๊ก สุธาศิณี งิ้วงาม” แฟนสาวของนายพี ปรเมศวร์ ลูกสาวของนาย “เสมอ งิ้วงาม” หรือ “ป๋อง สุพรรณ” เซียนพระชื่อดัง เนื่องจากความสนิทสนมกันเอและปุ๊กจึงพูดคุยทักทายกัน และมีปุ๊กยังหลุดบางคำออกมาว่า”"มันหาเรื่องหนูอีกแล้วเนี่ยพี่” และพยายามเล่าเรื่องราวที่ทะเลากันให้เอฟังอย่างคนสนิทสนมและคุ้นเคย
ซึ่งในขณะนั้น “แนน ภาวินันท์” เล่าผ่านรายการ “เจาะข่าวเด่น” ว่า เอรู้จักกับพี ปรเมศวร์จริงแต่ไม่สนิทสนมเท่ากับรู้จักกับปุ๊ก แฟนสาวของเขา แต่พอเห็นว่ามีการเล่าเรื่องทะเลาะกัน พีพยายามเรียกแฟนสาวกลับโต๊ะ และเริ่มมีอารมณ์โกรธจึงเริ่มขว้างช้อนหรือส้อมมายังโต๊ะของเอและเพื่อน ซึ่งขณะนั้นเอและปุ๊กยืนคุยกันอยู่ เอเห็นท่าไม่ดีจึงเดินไปที่โต๊ะของพีและพยายามอธิบายและไกล่เกลี่ยให้ใจเย็นๆ ฝ่ายแฟนสาวของพีได้แต่หันไปมองพีแล้วเดินออกไปจากร้าน จากนั้นจึงแยกย้ายกันไปไกล่เกลี่ยโดยเอเดินตามปุ๊กลงไป เพื่อให้ได้สติอารมณ์ทั้งพีและปุ๊ก ก่อนที่ไม่นานต่อจากนั้น พนักงานของร้านจะขึ้นมาแจ้ง แนนและเพื่อนที่มาด้วยว่ามีคนถูกยิง ทั้งคู่จึงลงไปดู จึงพบว่าเอโดนยิง นอนคว่ำหน้าจมกองเลือดอาการไม่สู้ดีจึงให้ รปภ. เรียกรถพยาบาล แต่ไม่พบพีและแฟนสาวอีกต่อจากนั้นคดี “ปืนลั่น” จึงเป็นข่าวครึกโครมของเช้าวันถัดมา
อาภาภรณ์ อธิบาย พี่สาวคนโต และ ฤดีพร พึ่งพูลผล พี่สาวคนรอง ของเอที่ยังมีชีวิตอยู่ เอ่ยถึงน้องชายคนเล็กอย่างเอด้วยใบหน้าเศร้าว่า ความกตัญญู ดูแลพี่น้องของเอ ทุกคนในครอบครัวต่างซาบซึ้งมาโดยตลอด ก่อนเสียชีวิตน้องชายยังอยากเปิดร้านขายข้าวแกงให้แม่และพี่สาวอีกหนึ่งคนที่ยังไม่มีครอบครัวแต่มาจบชีวิตลงเสียก่อน และหากเอ่ยถึงความกตัญญูรู้คุณคนแล้ว อ้วนเล่าว่าน้องชายก็ไม่แพ้ใครเช่นกัน
“เอเป็นคนอารมณ์ดี จิตใจดีขี้เล่น กตัญญู เขาดูแลพี่สาวคนโต แต่เราเองเรามีครอบครัวแล้วก็มีเขาที่ดูแลหลาน เพราะเรามีกัน 4คน พี่สาว 3 คน เสียชีวิตไปคนหนึ่ง เอเป็นลูกชายคนเล็ก คุณพ่อเสียไปได้หลายปีแล้วตอนนี้มีเพียงคุณแม่ และมีหลานที่เอเขาดูแลอยู่และห่วงมาก เขามีความคิดจะเปิดร้านอาหารตามสั่ง ขายข้าวแกงให้พี่อีกคนกับแม่ อยากให้ทุกคนอยู่รวมกัน ตัวเขาเองห่วงใยดูแลทุกคน”
ต่อกรณีที่มีเพื่อนดาราต่างโพสต์โซเชียลเน็ตเวิร์กนั้นให้กำลังใจในเรื่องคดีนั้น ทางครอบครัวซาบซึ้งและขอบคุณในทุกกำลังใจที่มีให้น้องชายอย่างมาก และอยากให้คดีจบลงอย่างยุติธรรมมากที่สุด
“เคี้ยง จักรพงศ์ เรืองเลิศสถิตกุล” หุ้นส่วนร้าน Muse และเพื่อนสนิทที่รู้จักเอมา 25 ปี ไม่ได้เอ่ยถึงคดีนี้ เพราะเสียใจเกินจะบรรยาย และนับจากนี้เขาจะรอฟังคำตัดสินคดีนี้และดูแลแม่ของเอพร้อมกับเพื่อนและหุ้นส่วนคนอื่นๆด้วย อีกทั้งแม้ว่าเอจะเสียชีวิตแล้วแต่หุ้นส่วนและส่วนที่เอต้องได้ทั้งหมด ทางหุ้นส่วนตัดสินใจตรงกันว่าจะให้แม่ของเอต่อไป
"ตอนนั้นมีคนโทร.มาบอกตอนเช้า ผมอยู่สุรินทร์ กลับมาเอเขาเสียแล้ว น้องคนอื่นทันหมด มีผมที่มาไม่ทัน ผมขอบคุณน้องๆทุกคนเพราะทุกคนก็รู้จักเอ คนพวกนี้คือคนที่รู้จักเอจริงๆ วินาทีนี้ก็คือช่วยกัน ผมเชื่อว่าทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันหมด เพราะทุกคนรู้จักเขาจริงๆ อารมณ์ดีจิตใจดี รักพวกพ้อง พี่น้อง เพื่อนร่วมงาน พวกผมจะพูดกันเสมอว่า เราจะเริ่มต้น จากคนรู้จักแล้วเราก็เป็นเพื่อนที่ต้องร่วมทุกข์ร่วมสุข เมื่อเราเป็นครอบครัวแล้วเราจะดูแลกันและกันไปตลอดชีวิต ซึ่งเราก็ทำกันแบบนี้มาตลอด กลุ่มพวกเราก็แข็งแรงมาก เรารักกันจริงๆแน่นอนว่าหุ้นที่เอมีส่วนได้เนี่ย ก็จะให้แม่ของเอต่อไป พวกเราคุยกันแล้วว่า หุ้นส่วนทั้งหมด รู้ว่าเขาห่วงแม่ พี่สาวและหลานเขามาก หุ้นส่วนคิดตรงกันคือส่วนที่เอต้องได้ ก็แม่เขาต้องได้ ทุกคนทำงานดูแลและสัญญากันว่าจะดูแลกันตลอดชีวิตครับ เราสัญญากับเพื่อนและแม่และยืนยันได้ว่าเราดูแลกันมาตลอดครับ"
"เรื่องคดีไว้รอดูดีกว่า ก็ขอให้กระบวนการยุติธรรมเขาดำเนินไป ให้กำลังใจตำรวจทำให้มันชัดเจนจะได้เป็นมาตรฐานให้รู้ว่า ปืนมันไม่ควรจะออกมาอยู่ข้างนอกง่ายๆ"
.......................................................................
ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 174 วันที่ 26 มกราคม - 1 กุมภาพันธ์ 2556