ของขวัญต้อนรับปีใหม่ที่สถานีโทรทัศน์ช่อง 3 มอบให้แก่ผู้ชมที่อุดหนุนเขามาเป็นอย่างดีคือการสั่งแบนละครเหนือเมฆ หลังจากที่ละครเรื่องดังกล่าวฉายติดต่อกันมาแล้ว 9 ตอน โดยไม่ยอมชี้แจงเหตุผลที่ชัดเจนตรงไปตรงมาถึงสาเหตุของการแบนตัวเองในครั้งนี้ ท่ามกลางข่าวลือที่เกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 มกราคมที่ว่างานนี้ช่อง 3 ได้รับคำสั่งจากรัฐบาลให้หยุดการแพร่ภาพละครที่มีนักการเมืองเลวๆ เป็นตัวละครเรื่องนี้เพราะดูแล้วรู้สึกเหมือนเอาชีวิตของตัวเองไปเป็นบทละคร
เรื่องการสั่งแบนละครเหนือเมฆเริ่มปูดขึ้นมาในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก โดยเริ่มมาจากบรรดาผู้จัด ผู้กำกับ ทีมนักแสดงของละครเรื่องนี้ที่ได้ทราบเรื่องจากทางช่อง 3 ว่าละครเหนือเมฆจะถูกตัดทอนรวบจบภายในวันศุกร์ที่ 11 มกราคม โดยนางเอกสาว “มิ้นท์ - ชาลิดา วิจิตรวงศ์ทอง” ได้โพสต์ข้อความลงในแฟนเพจของเธอเพียงสั้นๆ ว่า “สวัสดีค่ะ เหนือเมฆต้องจบภายในวันศุกร์นี้นะคะ เพราะเนื้อเรื่องเกี่ยวกับการเมืองค่ะ” ซึ่งถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นของละครเรื่องใหม่ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับรัฐที่เข้ามาแทรกแซงสื่อโดยมีช่อง 3 รับบทเป็นขี้ข้าและผู้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลเถื่อนในเวลาต่อมา
หลังจากโพสต์ที่ตรงไปตรงมาของมิ้นท์ แอดมินเพจก็ได้ออกมาโพสต์ข้อความแก้ให้ว่าที่บอกว่าเกี่ยวกับการเมืองเป็นการคาดเดาเท่านั้น แต่คนวงในแทบทุกคน ไม่ว่าจะเป็นดารา นักแสดง คนเขียนบท ผู้จัด ต่างรู้ดีว่าการเมืองแทรกแซงการออกอากาศละครเหนือเมฆไม่ได้เป็นเพียงการคาดเดา เพียงแต่ใครจะกล้าออกมา “ชน” กับอำนาจที่ใหญ่ยิ่งกว่าเจ้าของช่อง นายทุน และผู้ชมหรือไม่ก็เท่านั้น
ซึ่งตลอดเวลา 10 วันที่ผ่านมา ก็มีกระแสเรียกร้องให้ผู้บริหารช่อง 3 ออกมาชี้แจงถึงเหตุผลของการยุติการออกอากาศละครเหนือเมฆกันอย่างล้นหลาม หลังจากที่ช่อง 3 ขึ้นเพียงตัววิ่งว่าขอระงับการออกอากาศละครเรื่องนี้เพราะมีเนื้อหาบางตอนไม่เหมาะสม แล้วก็นำละครเรื่องแรงปรารถนามาฉายทันที ทั้งๆ ที่ละครเรื่องเหนือเมฆยังไม่ถึงตอนจบ สร้างความติดใจสงสัยแก่ผู้ชมเป็นอย่างมาก และยิ่งช่อง 3 ประวิงเวลาไม่ออกมาชี้แจงถึงเหตุผลที่แท้จริงของการแบนละครเรื่องเหนือเมฆ ข่าวลือที่ว่าการเมืองเข้ามาแทรกแซงก็ยิ่งมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นจนหลายคนลงความเห็นว่าช่อง 3 กำลังตกเป็นเบี้ยล่างของรัฐบาลชุดนี้เรียบร้อยแล้ว
เมื่อถูกกระแสสังคมกดดันมากๆ ช่อง 3 ก็ส่งเพียงประกาศอย่างเป็นทางการซึ่งไม่ได้ช่วยขยายความถึงสาเหตุของการแบนว่า “พิจารณาแล้วว่ามีเนื้อหาบางตอนไม่เหมาะสมกับการออกอากาศ” ออกมาเพียงเท่านั้น ส่วนผู้จัด ผู้กำกับ คนเขียนบท และทีมนักแสดงต่างก็ปิดปากเงียบเพราะทุกคนล้วนยังต้องทำมาหากินอยู่กับช่อง 3 ด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งหลังเกิดกรณีดังกล่าว “สินจัย และ ฉัตรชัย เปล่งพานิช” ผู้จัดละครเรื่องดังกล่าวมีคิวไปพักผ่อนที่ต่างประเทศพอดี ทั้งสองบอกว่าไม่ขอพูดถึงกรณีดังกล่าว แต่ขอขอบคุณทุกกำลังใจที่ส่งไปให้เพราะมันทำให้รู้ว่าเธอไม่ได้สู้เพียงลำพัง
นอกจากคนทำงานที่จำใจต้องก้มหน้าทำมาหากินกับช่อง 3 ต่อจึงไม่สามารถปริปากพูดอะไรได้แล้ว คนที่ร่วมงานกับช่อง 3 มายาวนานเกือบสิบปีอย่าง “นพ.กัมปนาท ตันสิถบุตรกุล” วิทยากรคนสำคัญของรายการชูรักชูรสที่ออกอากาศทางช่อง 3 ได้ออกมาประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมกับสถานีโทรทัศน์ช่อง 3 อีกต่อไป
โดย นพ. กัมปนาทได้ออกมาแถลงข่าวอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อนว่าเขาไม่อาจทนร่วมงานกับสถานีโทรทัศน์ที่ไร้ศักดิ์ศรีของความเป็นสื่อมวลชนอย่างสิ้นเชิงได้อีกต่อไปแล้ว
“ในฐานะที่ผมเป็นจิตแพทย์ที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากครูบาอาจารย์ทางด้านจิตเวชศาสตร์ เพื่อให้พวกเราดำรงตนเพื่อคุณงามความดีของบ้านเมืองเรา ดังนั้น ผมจึงถือว่า ไม่ควรเอาตัวเองเข้าไปเกี่ยวข้องกับสถานีไทยทีวีสีช่อง 3 อีกต่อไป และผมก็มิใช่คนตอแหล และหน้าด้านเหมือนใครบางคนในสังคมและในสถานีดังกล่าว” นพ. กัมปนาทกล่าวเอาไว้ก่อนจะโบกมือลาช่อง 3
ในช่วงเวลาไล่เลี่ยกับที่ นพ. กัมปนาท ถอนตัวจากช่อง 3 ก็มีแฮกเกอร์ที่ใช้ชื่อว่า Unlimited Hack Team ทำการแฮกเว็บไซต์หลักของช่อง 3 แล้วโพสต์ภาพ “จา พนม” จากภาพยนตร์ต้มยำกุ้ง พร้อมข้อความว่า “เหนือเมฆข้าอยู่ไหน?” นานกว่า 20 นาที ก่อนที่เจ้าหน้าที่ด่านไอทีของเว็บไซต์ช่อง 3 จะแก้ไขด้วยการดึงแบนเนอร์ละครเรื่องคุณสามีกำมะลอขึ้นมาแทน
ในขณะที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงกรณีแบนละครเหนือเมฆอย่างดุเดือดในสังคม ช่อง 3 กลับยังทำตัวเหมือนคนเป็นใบ้ นิ่งเงียบเหมือนทองไม่รู้ร้อนและไม่มีปฏิกิริยาที่จะออกมาชี้แจงเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวเลย เช่นเดียวกับที่รายการข่าวตลอดจนรายการเล่าข่าวตอนเช้าของช่อง 3 ไม่เคยนำเรื่องดังกล่าวมาพูดถึงเลยทั้งๆ ที่มันเป็นประเด็นที่ร้อนที่สุดในสังคมในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เมื่อถูกกระแสสังคมกดดันมากๆ ช่อง 3 จึงส่งหนังสือชี้แจงต่อ กสทช. (คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ) ถึงสาเหตุที่ระงับการออกอากาศละครเรื่องเหนือเมฆว่า
“ช่อง 3 ได้สร้างละครเหนือเมฆ 2 ขึ้นมา ด้วยเจตนาเพื่อความบันเทิงและให้ผู้ชมได้รับความสนุกสนานจากการชมละคร ตามที่ผู้ผลิตได้สมมติขึ้น โดยไม่ประสงค์จะให้เกิดความขัดแย้งในแนวความคิด แต่เมื่อละครเรื่องนี้ ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์ไปในแนวทางต่างๆ กัน ทางสถานีจึงได้พิจารณาตามหน้าที่ปกติ และพบว่าละครเรื่องดังกล่าว มีเนื้อหาบางช่วงบางตอนที่ไม่เหมาะสมกับการออกอากาศ จึงได้งดออกอากาศในวันดังกล่าวด้วยความสุจริตใจ จึงเรียนมาเพื่อโปรดทราบ”
ซึ่งไม่ว่า กสทช. หรือประชาชนทั่วไปที่ได้อ่านจดหมายชี้แจงนี้ก็ยกมือขึ้นเกาหัวด้วยความงงพอๆ กันว่า อะไรคือสาเหตุของการระงับการฉายละครเรื่องนี้กันแน่ ช่อง 3 อ้างถึง “มาตราที่ 37” ตามพระราชบัญญัติการประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 แต่ กสทช.รีบออกมาปัดว่าเท่าที่ย้อนกลับไปดูละครเรื่องนี้แล้ว กสทช.ลงความเห็นว่าไม่ขัดกับ พ.ร.บ. มาตรา 37 แต่อย่างใด และที่สำคัญการจะขัดหรือไม่ขัด แบนหรือไม่แบนนั้นเป็นหน้าที่ของ กสทช.ที่จะตรวจสอบและสั่งระงับการฉาย ดังนั้นกรณีการยุติการฉายละครของตัวเองในครั้งนี้จึงถือว่าเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยเลยทีเดียว
ในงานเสวนา “บอกความจริงเรื่อง เหนือเมฆ 2: สงสารช่อง 3 หรือประชาชนดี” ที่คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นเจ้าภาพ ผู้จัดงานได้เชิญ กสทช. กับผู้บริหารของช่อง 3 ให้มาร่วมอภิปรายด้วยกัน ซึ่งตอนแรกก็มีชื่อของ “สมรักษ์ ณรงค์วิชัย” ผู้จัดการฝ่ายผลิตรายการสถานีโทรทัศน์ไทยทีวีสีช่อง 3 เป็นหนึ่งในผู้ร่วมเสวนาด้วย แต่จนแล้วจนรอดนายสมรักษ์ก็ไม่ยอมโผล่หัวไปร่วมการเสวนา ปล่อยให้ กสทช. โซโลอยู่ฝ่ายเดียว จนเป็นที่มาของการสรุปว่าช่อง 3 สั่งแบนตัวเองโดยที่ไม่ยอมบอกถึงเหตุผลที่แท้จริง แล้วจบด้วยการแนะนำให้ช่อง 3 ส่งเทปละครเรื่องนี้มาให้ กสทช.พิจารณาตามอำนาจเพื่อจะหาข้อสรุปว่าละครเรื่องนี้สมควรถูกระงับการฉายจริงหรือไม่
ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ช่อง 3 จะใช้กลยุทธ์ใดในการกอบกู้ชื่อเสียงที่นับวันจะพังลงเรื่อยๆ เช่นนี้ ตราบใดที่ยังไม่ยอมพูดความจริงก็คงยากที่จะฟื้นกลับมาเหมือนเดิม ไม่รู้ว่า 10 กว่าวันที่ช่อง 3 ใช้วิชาใบ้ชั่วคราวนั้นก็เพื่อที่จะรอให้เรื่องนี้คลายความเข้มข้นไป แล้วกลับมาผลิตละครบั่นทอนปัญญากล่อมสังคมได้เหมือนเดิมหรือเปล่า
..........................................................................
นานาทรรศนะคนบันเทิง ที่มีต่อการแบนเหนือเมฆ
อำนาจมืดที่เกี่ยวข้องกับการระงับการออกอากาศเหนือเมฆอาจจะทำให้คนบันเทิงที่เกี่ยวข้องบางคนไม่กล้าปริปากพูดอะไร แต่ก็ยังมีคนบันเทิงจำนวนไม่น้อยที่หาญกล้าลุกขึ้นมาต่อสู้กับความอยุติธรรม และการแทรกแซงสัมมาอาชีพของพวกเขา ต่อไปนี้คือตัวอย่างความคิดเห็นที่มีต่อกรณีที่ช่อง 3 ระงับการออกอากาศละครเหนือเมฆกะทันหันที่คนบันเทิงนำเสนอไว้ในเฟซบุ๊ก ทวิตเตอร์ และอินสตาแกรมส่วนตัวของพวกเขา
นนทรีย์ นิมิบุตร ผู้กำกับละครเรื่องดังกล่าวโพสต์ข้อความสั้นๆ ในอินสตาแกรมของเขาว่า “RIP | เหนือเมฆ2 ตอนมือปราบจอมขมังเวทย์ | หลับให้สบายนะ"
“หนุ่ม อรรภพร ธีมากร” นักแสดงและผู้กำกับชื่อดังโพสต์ว่า "ผมรักและนับถือใจครอบครัวนี้มากครับ นี่เป็นกรณีศึกษาหนึ่งของสังคมไทยระหว่างผู้มีอำนาจกับคนทำงานสื่อสะท้อนสังคม เรามีแค่มือกับสมองเค้ามีอำนาจ นี่คือสังคมประชาธิปไตยของคนไทยในยุคนี้ครับ ... ขอคารวะ"
“มาริสา แอนนิต้า” นักแสดง นางแบบที่เรียนจบปริญญาตรีคณะนิเทศศาสตร์ ด้วยเกียรตินิยมอันดับที่ 1 จบปริญญาโท สื่อสารมวลชน แล้วยังกำลังศึกษาปริญญาโทนิเทศศาสตร์และนวัตกรรมการจัดการ โพสต์เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “ทำงานในแวดวงสื่อสารมวลชนมานานกว่า 18 ปี มั่นใจว่า เป็นคนหนึ่งที่เข้าใจถึงคำว่า บทบาทหน้าที่ของสื่อมวลชน ในยุคประชาธิปไตยเป็นอย่างดี แต่ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับละคร “เหนือเมฆ 2” นั้น กลับไม่สอดคล้องกับทฤษฎีทางการเมืองและการสื่อสารใดๆ จากนี้ไปเราคงพูดไม่ได้เต็มปาก ว่า “ประเทศไทยเป็นประเทศประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ที่ให้อิสระ เสรีภาพแก่สื่อมวลชนตามระบอบประชาธิปไตย” ขอไว้อาลัยแก่ระบบการเมืองสร้างภาพประชาธิปไตย”
“ป้าแจ๋ว ยุทธนา ลอพันธ์ไพบูลย์” ที่กำกับละครแรงปรารถนาซึ่งฉายแทนเรื่องเหนือเมฆโพสต์ว่า “"เสียใจแทนทีมงานละครเหนือเมฆที่ไม่สามารถออกอากาศผลงานที่สร้างสรรค์มาอย่างตั้งใจให้จบด้วยเหตุผลที่ไม่เห็นจะมีเหตุผลอะไรเลย เป็นกำลังใจให้นะครับ"
ด้าน “พิง ลำพระเพลิง” ผู้กำกับและคนเขียนบทชื่อดัง บอกว่า “เรื่องนี้ผิดที่พี่อุ๋ยให้นักการเมืองเป็นคนเลว เพราะนักการเมืองไทยไม่มีคนไหนที่เลว”
นี่เป็นเพียงบางส่วนของคนบันเทิงที่ กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็นในบ้านเมืองที่อำนาจมืดกำลังแทรกแซงไปทั่วทุกที่ เช่นเดียวกับ นพ. กัมปนาทที่ถอนตัวจากช่อง 3 และประกาศไม่ร่วมสังฆกรรมใดๆกับสถานีนี้อีก ซึ่ง นพ. กัมปนาทเองก็ยอมรับว่าเพราะเขาเป็นแพทย์ที่ทำมาหากินด้วยการรักษาคนไข้เป็นหลัก ไม่ใช่ดารา นักร้องที่อยู่ภายใต้สังกัดช่อง 3 ที่ต้องทนก้มหน้าก้มตาทำงานรับใช้ช่องต่อไป ไม่กล้าลุกขึ้นมาพูดหรือเปิดโปงใดๆ เพราะกลัวว่าจะไม่มีงานทำ
ปิดท้ายด้วยโพสต์จากคนข่าวคุณภาพ “กนก รัตน์วงศ์สกุล” ที่ออกมาเชิญชวนให้ชาวโซเชียลเน็ตเวิร์กแสดงพลังในเรื่องนี้ ส่วนแฟนละครตามล่า “จอมขมังเวทย์” ที่มีอำนาจเหนือนายกฯ..ซึ่งคงไม่มีวันหาพบ ไม่ใช่เพราะมันอยู่ไกล แต่เพราะมันไม่มีทางยอมรับ และจะไม่มีคำชี้แจงอะไรออกมามากกว่านี้จากทางสถานี
พวกเราพลัง “สังคมออนไลน์” ต้องอย่าปล่อยให้กรณีนี้ เงียบหายไปเหมือนไร่ส้ม หรือเต้านมทาสี! มิฉะนั้น เขาจะดูแคลนได้ว่า เรามันก็แค่วูบวาบ คุยกันมันปากไปตามกระแส ทุกคนทำให้เห็นเป็นรูปธรรมได้ เหมือนคุณหมอกัมปนาทถอนตัวจากรายการทางสถานี
“แม้เราไม่ได้จัดรายการ “เราก็อย่าชมรายการที่มัวหมอง อย่าสนับสนุนสินค้าหรือบริการที่ยังลงโฆษณา” ช่วยกันส่งข่าว เริ่มจากครอบครัวตัวเอง อย่าอุดหนุนสินค้าที่ยังเป็นสปอนเซอร์รายการนั้นๆ แสดงให้นายทุนเห็นว่า พลังโซเชียล..ไม่ใช่พลังวูบวาบไปตามกระแส”
..................................................
ที่มานิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 171 วันที่ 12 - 18 มกราคม 2556