xs
xsm
sm
md
lg

เปิดใจ “สมจิตต์ ช่อง 7” นักข่าวหญิงเหล็กผู้กล้าด่า “เฉลิม” ซัด “ยิ่งลักษณ์” โง่น่าอาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“สมจิตต์ นวเครือสุนทร” นักข่าวการเมืองหญิงเหล็กช่อง 7
เธอไม่ใช่ “อั้ม พัชราภา” แต่นาทีนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก “สมจิตต์ นวเครือสุนทร” นักข่าวการเมืองหญิงเหล็กช่อง 7 หลังเจ้าตัวเปิดศึกซัดกับ “ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง” แบบดุเด็ดเผ็ดถึงไส้ ขณะสัมภาษณ์เรื่อง “พ.ร.ฏ. อภัยโทษ” ด้วยการยิงคำถามที่แรงตรงประเด็นโดยไม่ลดละที่จะเอาคำตอบตามหน้าที่ของสื่อมวลชนที่ดี จนทำให้ผู้ถูกสัมภาษณ์อย่างท่านรองนายกฯฉุนแตก ตอกกลับว่าเธอฝักใฝ่พรรคประชาธิปัตย์ ด้านสมจิตต์ก็สวนกลับทันควันว่าจะฟ้องหมิ่นประมาท ก่อนจะปล่อยวลีเด็ดแห่งปี “ถ้าการที่ท่านกล่าวหาหนูว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การหมิ่นประมาท แล้วถ้าหนูเรียกท่านว่าขี้ข้าทักษิณ จะเป็นการหมิ่นประมาทหรือไม่” ทำเอาวงแตก งานนี้ก็เลยถูกอีกฝ่ายประกาศแบนจะไม่ยอมให้สัมภาษณ์ถ้าวงนั้นมีนักข่าวรายนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอตะบันหน้านักการเมือง ถ้ายังจำกันได้ สมจิตต์ เคยยิงคำถามจนนายกฯหญิง “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” เดินหนี จนเสื้อแดงโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ กล้าขนาดนี้จนปีที่แล้วหลายคนยกให้เธอเป็น “ผู้หญิงแห่งปี” แล้วเราจะพลาดไม่ไปทำความรู้จักได้อย่างไร

เธอคือรุ่นพี่ “อั้ม พัชราภา”

“เป็นคนจังหวัดฉะเชิงเทรา เรียนมัธยมที่โรงเรียนดัดดรุณี (เป็นรุ่นพี่อั้ม?) แต่รุ่นห่างไกลกันมาก (หัวเราะ) จบปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยราชภัฏบ้านสมเด็จเจ้าพระยา อยากเป็นนักข่าวมาตั้งแต่เด็ก แต่มาได้แรงบันดาลใจตอนเรียนอยู่ปี 2 เพราะพี่ชายเราขี่มอเตอร์ไซค์แล้วรถกระบะจอดอยู่แล้วเปิดประตูรถออกมาชน พี่เราหัวน็อคพื้นต้องผ่าตัดสมอง แต่ตำรวจไม่ยอมรับแจ้งความ ไม่ยอมลงบันทึกประจำวันไม่ยอมทำอะไรเลย แล้วก็กล่าวหาพี่ชายเราผิด”

“เราก็เลยเดินไปดูที่เกิดเหตุ พอไปดูมันจะมีรอยฉีดสีขาว แล้วที่ฉีดมอเตอร์ไซค์มันจะอยู่ตรงประตูเลย เราก็เลยเอ๊ะใจ เพราะเขาบอกว่าพี่ชายขับเร็ว แต่เราคิดว่าถ้าขับเร็วพี่ชายเราต้องกระเด็นไปไกลสิ ก็เลยกลับไปบอกตำรวจว่าไม่น่าจะใช่ขับเร็วนะ แต่ตำรวจก็ยืนยันว่ายังไงพี่ชายคุณก็ผิด เพราะว่าเข้าซ้าย เราก็บอกว่าถ้าพี่เราเข้าซ้าย แล้วเขาจะโดนประตูขวาเปิดมาชนได้ยังไง ตำรวจก็ขู่เราว่าถ้าขึ้นโรงขึ้นศาลยังไงคุณก็แพ้ แล้วมีปัญญาเหรอ นอกจากจะไม่รับแจ้งความยังปล่อยตัวผู้ต้องหาไปแล้ว”

“แต่เราก็ไม่ถอยเหมือนกัน ก็ไปโรงพักเพื่อพบตำรวจคนนั้นทุกวัน ประมาณเกือบ 2 อาทิตย์ แต่ไม่เจอเลย ก็เลยเขียนจดหมายร้องเรียนไปยังสารวัตรสน.นั้นว่าเกิดเรื่องแบบนี้ๆ แต่ไม่มีการรับแจ้งความ แต่เรื่องก็เงียบไปเป็นอาทิตย์ๆ อีก เราก็เลยเขียนจดหมายใหม่ คราวนี้เขียนถึงผู้กำกับ คือเลื่อนขั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ (ยิ้ม) ผู้กำกับท่านก็บอกว่าจะจัดการให้ แล้วหลังจากนั้นตำรวจคนนั้นก็มาหาเราที่บ้านเลย และยอมรับว่ารับเงินผู้ต้องหามา 4 หมื่น แล้วก็บอกว่าจะช่วยค่ารักษาพยาบาลเรา 6 หมื่น และขอให้เราเอาจดหมายร้องเรียนออกไป เพราะไม่อย่างนั้นเขาจะแป้ก 5 ปี เพราะเขากำลังจะย้ายไปเป็นสารวัตรสอบสวนที่จันทบุรี เราก็เป็นคนปากไม่ค่อยดี(หัวเราะ) ก็เลยบอกว่าไม่เอาเงิน และไม่ถอนจดหมายคืน เพราะว่าก็ดีแล้วที่ท่านไม่ได้ไปที่จันทบุรี แผ่นดินจะได้ไม่ทรุด เขาก็พยายามเกลี้ยกล่อม แต่เราไม่ยอม แล้วแม่เราก็กลัว เพราะหลังๆ เริ่มมีการข่มขู่ เราสงสารแม่ก็เลยยอมและจบเรื่องนี้ไป”

“เรื่องนี้ทำให้เราคิดว่ามันไม่มีความยุติธรรมเลยเหรอ แล้วคนๆ นึงถ้าจะหาความเป็นธรรมแล้วใจไม่สู้ เขาจะหาความเป็นธรรมได้จากไหน แล้วคนที่จะให้ความเป็นธรรมได้ดีที่สุดควรจะเป็นสื่อมวลชน แต่ตอนนั้นเราเรียนสื่อมวลชนอยู่แล้ว มันก็เลยยิ่งเป็นแรงขับให้อยากทำมากขึ้น”

เปิดตำนานบู๊ เรียนจบก็ฟัดกับเสธ.ทอ.

“พอเรียนจบก็ทำงานที่หนังสือพิมพ์แนวหน้าเป็นที่แรก ที่เลือกทำนักข่าวการเมือง เพราะคิดว่าถ้าเราได้ตรวจสอบอย่างเต็มที่ มันจะทำให้เกิดประโยชน์กับสังคมค่อนข้างมาก ตอนทำที่แนวหน้าก็มีปัญหา เพราะตอนนั้นเป็นช่วงเปลี่ยนถ่าย รสช. มีทั้งการปฏิวัติ มีการสืบทอดทายาททหาร เราก็สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์เสธ.ทอ.ท่านนึง ซึ่งโทรไปที่บ้าน แต่คนรับโทรศัพท์บอกว่าท่านไม่อยู่ แต่โดยเซ้นส์เรามั่นใจว่าเป็นท่านนั่นแหละ เราก็เลยชวนคุยไปเรื่อยๆ สุดท้ายเขาก็บอกจะไปถามนายก่อนว่าให้เราสัมภาษณ์มั้ย พอกลับมาก็เสียงเดิมเลย (หัวเราะ) เราก็คุยนานเป็นชั่วโมง เราก็เอากลับมาเขียน”

“แต่ที่เป็นปัญหาเพราะวันรุ่งขึ้นมันเป็นพาดหัวแนวหน้า ประมาณว่าเสธ.ท่านนี้พูดว่าการปฏิวัติเมืองไทย ไม่เป็นไรไม่เสียเลือดเนื้อ แล้วคอลัมนิสต์ต่างๆ ก็จะขยายผลจากตัวข่าว วิจารณ์ตัวของเสธ.ท่านนี้ แล้วช่วงนั้นท่านกำลังจะแคนดิเดตจะเป็น ผบ.ทอ. หลังจากนั้นประมาณอาทิตย์นึง สมัยนั้นจะเป็นเพจเจอร์ ไม่มีโทรศัพท์ ก็มีข้อความเข้ามาว่าให้เราไปพบเสธ.ท่านนี้ที่กองทัพอากาศ ตอน 10 โมงเช้า นี่คือเคสแรกที่เราโดน”

“พี่นักข่าวที่อยู่แนวหน้าจะไปเป็นเพื่อน แต่วันนั้นพี่เขาสาย แล้วเรากลัวไปไม่ทัน ก็เลยนั่งแท็กซี่ไปคนเดียว ถามว่ากลัวมั้ย ตอนนั้นมันเด็กก็เลยไม่คิดอะไร แต่พอไม่ถึงเรารู้ได้ทันทีว่ามาคุแล้ว เพราะพอเราเดินเข้าไปก็จะมีทหารที่อยู่ตรงป้อม เรียกชื่อเราเลย นั่นแสดงให้เห็นว่าน่าจะมีอะไรแน่ๆ ไม่อย่างนั้นเขาจะรู้จักหน้าเรารู้ชื่อเราได้ยังไง พอเดินเข้าไปก็มีทหารยศใหญ่เหมือนกัน ถามว่ากล้ามากนะที่มาคนเดียว เราก็เลยตอบไปแต่ไม่ได้พูดก้าวร้าวนะ เราก็เลยตอบว่าที่นี่มีอะไรน่ากลัวเหรอคะ ทำไมถึงมาคนเดียวไม่ได้ แล้วก็พาเราไปข้างบน แล้วรอนานมาก เหมือนใช้จิตวิทยากับเรา แล้วก็ให้เราเข้าไปในห้องประชุม แล้วก็มีนายทหารยศตั้งแต่พลตรีนั่งล้อมอยู่ แต่เสธ.ยังไม่มานะคะ แล้วก็มีทหารเอาเทปมาวางตรงหน้าเรา เราก็เลยบอกว่าจะสัมภาษณ์หนูไปลงศาลทอ.เหรอคะ(หัวเราะ)”

“เขาก็พยายามจะพูดให้เรารู้ว่าข่าวที่ออกไปมันส่งผลกระทบยังไงกับเสธ. เราก็บอกว่าไม่รู้ สักพักเสธ.ก็เข้ามา แล้วบรรยากาศก็เปลี่ยนไปเลย เพราะท่านก็จะพูดเล่นกับเรา แล้วก็บอกว่าเห็นเสียงหวานก็เลยหลงพูดไปไม่คิดว่าจะเอาไปเขียน ท่านก็ขอว่าเขียนแก้ข่าวให้หน่อยได้มั้ย เราก็ถามกลับไปว่าเนื้อหาข่าวที่ลงมีตรงไหนที่เขียนผิดไปมั้ย ท่านก็บอกว่าไม่ผิดหรอก แต่ไม่คิดว่าเราจะเอาไปเขียน เราก็เลยบอกว่าถ้าเป็นอย่างนี้อาจจะเป็นความผิดพลาดของหนูส่วนหนึ่ง เพราะปกติเวลาสัมภาษณ์แหล่งข่าวคนอื่นถ้าเขาไม่ให้ลงเขาจะบอกว่าออฟเรคคอร์ด แต่ตอนที่สัมภาษณ์ท่านก็ไม่ได้บอกว่าออฟเรคคอร์ดตรงไหน แต่เราก็ผิดที่ไม่ถาม เราก็เลยยืนยันไปว่าคงแก้ข่าวให้ไม่ได้ เพราะข้อมูลนั้นไม่ผิด แต่จะเขียนลงคอลัมน์อื่นในมุมนี้ของท่านที่เราเห็นละกัน”

“ตอนนั้นเราคิดว่าเราควรจะรับผิดชอบกับสิ่งที่ท่านได้รับผลกระทบยังไง ก็หาทางออกให้ท่านด้วย แต่จะให้แก้ข่าวคงไม่ได้เพราะเท่ากับเราหลอกประชาชน เราก็เรียนท่านว่าถ้าท่านอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับนึงท่านอยากได้ความจริงหรือความเท็จ ท่านก็เลยเข้าใจและไม่คาดคั้นให้เราแก้ข่าว พอคุยเสร็จท่านก็ให้พระรอดมาองค์นึง (หัวเราะ)”

(อ่านต่อหน้า2)


เจอใบมีดโกน “ชวน หลีกภัย” ซัดให้กลับไปถามคำถาม “พ่อแม่” ดู

“เป็นนักข่าวการเมืองมา 20 ปี ทำที่แนวหน้าได้ 2 ปี ก็ไปทำที่ช่อง7 เข้าไปก็มีปัญหากับคุณชวน หลีกภัย เพราะตอนนั้นสัมภาษณ์เรื่อง ส.ป.ก 4-01 เราก็ไปถามว่าปัญหา ส.ป.ก 4-01 ท่านจะแก้ปัญหาด้วยการแก้กฎหมายรึเปล่า ท่านก็บอกว่าคำถามมาจากที่บ้าน ให้กลับไปถามคุณพ่อคุณแม่หนูดู เราก็ตกใจ แต่เราก็รู้สึกได้นะว่าท่านเสียใจที่พูดแบบนั้นออกมา เพราะตอนที่ท่านขึ้นรถท่านก็เปิดประตูออกมาแล้วบอกว่าผมไม่รู้จริงๆ นะจิตต์”

“พอวันรุ่งขึ้นเราก็ถามคำถามเดิมกับท่านอีก เพราะเรายังไม่ได้คำตอบ และมันไม่ใช่คำถามที่จะตอบไม่ได้ มันเป็นเรื่องที่ประชาชนควรรู้ เราก็บอกว่าไปถามแม่มาแล้ว แต่แม่ตอบไม่ได้เพราะแม่บอกว่าไม่ใช่นายกฯ แต่ถามไปรอบสองท่านก็ตอบนะ และไม่เคยมีปัญหาอะไรในการทำงาน และยังคงตามคุณชวนได้เหมือนเดิม ยังสัมภาษณ์ได้เหมือนเดิม และคุณชวนก็ตอบเราเหมือนเดิม”

โดน “บรรหาร ศิลปอาชา” สั่งย้ายพ้นทำเนียบ

“แต่มามีปัญหาตอนยุคคุณบรรหาร เพราะท่านไปคุยกับทางสถานีเลยว่าขอให้ย้ายเราออกจากทำเนียบ และมีการระบุด้วยว่าให้นักข่าวอีกคนมาทำแทน แต่เราก็ไม่รู้ว่าเขาให้เหตุผลในการขอย้ายเราว่ายังไง แต่ตามความเข้าใจของเราคิดว่าคุณบรรหารไม่ต้องการตอบคำถามเรา ซึ่งที่ผ่านมาที่สถานีไม่เคยมีปัญหานี้ ตอนนั้นจำไม่ได้ว่าตอนนั้นถามเรื่องอะไรถึงมีปัญหา เพราะมันเยอะมาก เราเป็นคนที่ถามต่อเนื่อง บางคนอาจจะตั้งคำถามจากบ้าน สมมติ 4 คำถามแล้วก็จบ ถามให้ได้พาดหัวแล้วพอ แต่เราจะตามคำตอบน่ะ เขาตอบมายังไงเราก็จะไล่ตามคำตอบไปเรื่อยๆ นี่คือการทำงานของเรา”

“เวลาเราตั้งคำถามมันก็คือการตั้งคำถามแทนประชาชน ประชาชนอยากรู้อะไรเราก็ต้องตั้งคำถามแบบนั้น บก.ที่ช่อง 7 ก็บอกว่าเราถามเหมือนไล่ต้อน แล้วก็สอนเราว่าต้องเปิดทางอย่าให้เขาจนมุม เพราะแหล่งข่าวกับนักข่าวไม่ว่ายังไงก็ยังจะต้องมีความสัมพันธ์กันอยู่ เพราะถ้าคุณทำให้เขาจนมุมคุณอาจจะไม่เหลือแหล่งข่าวที่คุณจะสัมภาษณ์ได้เลย แต่เราก็คิดว่าไม่จริง แต่มาจริงตอนคุณเฉลิม(หัวเราะ) แต่สุดท้ายสถานีก็ไม่ย้ายเรานะ ก็ยังให้เราทำที่ทำเนียบต่อไป ช่วงนั้นพอมันมีเรื่องมันก็เป็นข่าว พอเป็นข่าวคุณบรรหารก็ปฏิเสธ อะไรก็แล้วแต่ถ้ามันเป็นข่าวมันจะทำให้เรื่องอยู่บนโต๊ะ และทำให้เรื่องใต้โต๊ะหายไป แล้วช่วงนั้นก็จะมีแถลงการณ์ของสมาคมต่างๆ ออกมาด้วย”

“หลังจากคุณบรรหารก็มีอีกหลายครั้ง เดี๋ยวก็มีคนโทรเข้ามาที่สถานีและก็เป็นชื่อเราตลอด(หัวเราะ) แล้วคุณแดง สุรางค์ ท่านก็เรียกไปพบ ท่านก็อธิบายให้ฟังว่าสถานีก็มีส่วนหนึ่งที่ต้องทำเป็นธุรกิจ แต่ในการเป็นสื่อท่านก็นับถือในการทำงานของเรา แล้วก็ถามเราว่าจะสามารถหาความสมดุลได้หรือเปล่า ท่านก็บอกว่าไม่ได้ห่วงสถานีนะ แต่ห่วงเราด้วย เพราะการทำอะไรถ้าไม่มีผลกระทบอะไรเลยมันน่าจะดีที่สุด และรักษาหน้าที่ของตัวเองเอาไว้ หลังจากนั้นก็กลับไปคิดว่าเราทำไม่ได้หรอก เพราะทำอะไรมันต้องเต็ม เพราะไม่งั้นมันก็เหมือนติดค้างกับตัวเอง หลังจากนั้น 2 เดือนก็ยื่นใบลาออก คุณแดงก็เรียกไปพบ และบอกว่าช่อง 7 ไม่ได้มีปัญหากับหนูนะ จะลาออกทำไม แล้วจะไปทำอะไรก็ตอบท่านไปว่ายังไม่รู้จะไปทำอะไร แต่ถ้าอยู่ต่อก็จะเป็นภาระของสถานี และไม่วันใดวันนึงก็ต้องเกิดปัญหาอีก เพราะหนูเปลี่ยนตัวเองไม่ได้ ท่านก็บอกถ้าตัดสินใจแล้วก็ตามใจ แต่เมื่อไหร่อยากทำงานอีกที่นี่ก็ต้อนรับนะ”

“หลังจากนั้นก็ไปทำหลายที่ แต่ก็ลาออก และปิดตัวไปบ้าง แล้วก็เลยกลับแปดริ้วไปขายของ ขายโจ๊ก ขายก๋วยจั๊บ แล้วอาจารย์ที่เคยสอนก็แนะนำให้ไปเป็นอาจารย์อัตราจ้าง เราก็ไปทำอยู่ตรงนั้นประมาณ 2 ปี แล้ววันนึงพี่ที่ช่อง 7 ก็มาชวนกลับมาทำงาน เราก็เลยตัดสินใจกลับมาทำข่าวจนถึงทุกวันนี้ รวมๆ แล้วก็ออกไปทำอย่างอื่นอยู่เกือบ 5 ปี ซึ่งก็ต้องขอบพระคุณคุณแดง เพราะท่านรู้ว่าเราทำงานแบบนี้ แต่ก็ยังรับเราเข้าทำงาน ที่ผ่านมาเวลามีเรื่องท่านก็ปกป้องเรา เราก็รู้สึกขอบพระคุณจนถึงทุกวันนี้”

คัมแบ็คอีกครั้งก็ลุยแหลกเหมือนเดิม คราวนี้ถึงกับโดนการ์ด “ทักษิณ ชินวัตร” หิ้วจากวงสัมภาษณ์

“พอกลับมาก็มีปัญหากับคุณทักษิณ สมัยพรรคไทยรักไทย ตอนนั้นคุณทักษิณเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศก่อน ตอนนั้นคุณทักษิณให้ฉายาเราว่านกแก้ว แต่พอเริ่มไม่โปรดตอนที่มีปัญหาเรื่องหุ้นเกิน และจะขาดคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรี แล้วตอนนั้นก็มีแต่ช่อง 7 ที่นำเสนอเรื่องนี้ พอเราไปสัมภาษณ์เราก็เห็นว่ามันเริ่มมีปฏิกิริยาจากคนรอบข้างคุณทักษิณ แต่ตอนที่ท่านโกรธมากๆ น่าจะเรื่อง 6 เดือนแก้จราจรได้ เพราะท่านเป็นรองนายกฯอยู่ พอครบ 6 เดือนเราก็ไปถามว่าการจราจรมันก็ยังแก้ไม่ได้ แล้วความรับผิดชอบที่ให้ไว้กับประชาชนจะทำยังไง ก็เริ่มมีสัญญาณจากตอนนั้น จนกระทั่งท่านได้เป็นนายกฯเราก็ได้ตามอยู่แค่ประมาณ 2 อาทิตย์ ทางบก.ก็ไม่ได้บอกเราว่ามันเกี่ยวกับการเมืองหรือเปล่า แต่บอกว่าให้เราย้ายไปทำข่าวอื่น”

“แล้วก็มีอยู่ครั้งนึงเรามีโอกาสได้สัมภาษณ์คุณทักษิณอีกครั้ง ก็คือช่วงซุกหุ้น เราก็ไปสัมภาษณ์ที่สภา เพราะนักข่าวของช่องไม่อยู่ เราก็ถามไปหลายคำถาม แล้วคุณทักษิณก็พูดขึ้นมาว่าสมจิตต์ถามคำถามธรรมดาๆ เหมือนคนอื่นเป็นมั้ย(หัวเราะ) แต่เราก็ถามต่อ ท่านก็พูดคำเดิมอีก แต่คราวนี้เราก็กระเด็นออกจากวงสัมภาษณ์แล้ว เพราะการ์ดกันออกไป ตอนนั้นน่าจะมีไทยโพสต์ฉบับเดียวที่มีการรายงานว่ามีบรรยากาศแบบนี้เกิดขึ้น หลังจากนั้นก็ไม่ได้ตามคุณทักษิณอีกเลย”

(อ่านต่อหน้า3)


แหกกับ “เฉลิม อยู่บำรุง” จนวงแตก

“กรณีของคุณเฉลิมเราคิดว่าเป็นการท้าทายวงการสื่อสารมวลชนนะ เรามองว่าเคสที่เราเจอมันไม่ใช่เคสเดียวที่คุณเฉลิมทำหรอก เพราะบุคลิกของคุณเฉลิมมันจะใช้วิธีการดิสเครดิตนักข่าวเวลาเป็นเรื่องที่ถามไม่ได้ เพราะฉะนั้นก็คงเคยเกิดขึ้นกับนักข่าวคนอื่นด้วย แต่มันไม่มีปฏิกิริยาอะไรตอบโต้กลับมา แต่ครั้งนั้นเราโกรธเพราะมันเกินเลยสิทธิความเป็นคน ในระหว่างสัมภาษณ์คุณเฉลิมก็พูดหลายครั้งว่าคุณอยู่ประชาธิปัตย์นานเกินไป จนกระทั่งเขาใช้คำว่าฝักใฝ่ประชาธิปัตย์ เราก็เลยบอกว่าท่านคะท่านใช้คำนี้หนูฟ้องท่านได้นะ แล้วท่านก็ตอบเหมือนที่เห็นในคลิปนะคะ”

“จริงๆ คิดจะสวนตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่คิดว่าตัวเองกำลังทำหน้าที่อยู่ ก็เลยอยากให้การสัมภาษณ์จบไปก่อน และอีกอย่างนึงการไปพูดแบบนั้นกับคนที่เป็นรองนายกฯยังไงก็ไม่สมควร เราต้องให้เกียรติ และเราก็คิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัวระหว่างเรากับเขา ไม่ใช่เรื่องสาธารณะ เขาทำเหมือนเย้ยหยันเหยียดหยาม เรามั่นใจว่าสิ่งที่เราทำตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เราไม่เคยผิดต่อจรรยาบรรณวิชาชีพ แล้วไม่ว่าใครจะมองยังไง จะคิดยังไงเราบังคับไม่ได้ แค่เราส่องกระจกแล้วเราตอบตัวเองในแต่ละเรื่องที่เราทำมันก็จบ เรื่องนี้ไม่มีฟีดแบคจากทางช่อง ให้เราทำหน้าที่ต่อไปเหมือนเดิม แต่ทางเฟซบุ๊กกระหน่ำมาก เข้ามาขอเป็นเพื่อนวันเดียวเกือบ 2 พัน ตอนนี้เพื่อนก็เลยเปิดแฟนเพจให้ ส่วนใหญ่ให้กำลังใจ เอาดอกไม้ไปให้ที่ช่อง 7 ก็มี”

“เราอยากให้เคสนี้เป็นแรงบันดาลใจ คนดีมีเยอะแล้ว แต่คนกล้ามีน้อย มันถูกผลัก แม้แต่ผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองเราจะเห็นเลยว่าไม่กล้าออกมาแสดงความเห็น ทั้งที่บางเรื่องก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นอันตราย แต่ก็ไม่กล้าออกมาเพราะกลัวถูกผลักไปอยู่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ของคนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงประเทศ แล้วเราทำไมไม่สู้ล่ะ แล้วจะปล่อยให้ประเทศชาติเป็นแบบนี้เหรอ เราก็อยากให้เป็นแรงบันดาลใจสำหรับทุกคน ตายมันก็ตายครั้งเดียว ตายไปแล้วก็ไม่รู้ไปอยู่ไหน ห่วงอย่างเดียวว่าถ้าเราตายไปใครจะดูแลครอบครัวเท่านั้นเอง ใครจะดูแลแม่ เราเคยแต่งงานแต่เลิกกันแล้ว ตอนนี้อยู่กับแม่ พี่ชาย แล้วก็หลาน เราตั้งใจตั้งแต่แรกว่าจะไม่มีลูก เพราะชีวิตเราครึ่งแรกให้แม่ให้ครอบครัว ครึ่งที่เหลือเราก็เลยอยากให้ตัวเอง เพราะถ้ามีลูกเราก็ต้องทุ่มให้ลูกทั้งหมด เราก็เลยขอให้ตัวเองสำหรับการใช้ชีวิตที่อยากทำละกัน”

“ถามว่ากลัวมั้ย มันใช้คำว่ากลัวไม่ได้ เราจะเป็นคนบ้าบิ่นนิดนึง และมีความเชื่ออย่างนึงว่า ถ้าเราทำความดี ยังไงความดีก็คุ้มครอง แต่ถ้าสมมติว่ามันจะเกิดเหตุอะไรกับเราจริงๆ มันก็เป็นชะตากรรมของเรา”

ที่สุดในดวงใจ “สมจิตต์” ผู้หญิงแห่งปี

ชวน หลีกภัย รอบคอบที่สุด
“เวลาจะทำอะไรจะรอบคอบมาก แม้ว่าจะถูกคนอื่นบอกว่าช้าก็ตาม และทุกอย่างจะต้องไม่ผิดกฎหมาย และวาทะที่ท่านพูดก็คือ ไม่สามารถทำให้ทุกคนเท่าเทียมกันได้ แต่จะทำให้ทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมายเท่าเทียมกัน”

บรรหาร ศิลปอาชา ชอบล้วงลูกที่สุด
“ถึงได้ฉายาว่าหลงจู๊ไง เพราะชอบไปยุ่งการทำงานของรัฐมนตรี นายกฯที่ไม่ประทับใจก็มีคุณบรรหารกับคุณทักษิณ คุณบรรหารจำได้เลยว่าวันที่ยุบสภา วันนั้นท่านเจอเราท่านเดินเข้ามาถามเลยว่าสะใจเธอแล้วใช่มั้ยที่ฉันยุบสภา”

ทักษิณ ชินวัตร ไม่เป็นประชาธิปไตยที่สุด
“เพราะว่าคนที่เป็นนักประชาธิปไตยต้องพร้อมที่จะตอบคำถาม ต้องพร้อมที่จะให้ตรวจสอบ แต่คุณไม่พร้อมทั้งสองอย่างเลย แล้วยังมีการข่มขู่ด้วย อย่างเช่นนักข่าวช่อง 11 ท่านนึงถาม แล้วคุณทักษิณก็ตอบกลับมาว่าคุณเป็นนักข่าวรัฐ แล้วคุณถามคำถามแบบนี้ได้ยังไง”

สมัคร สุนทรเวช เสียดายที่สุดที่มาเป็นนายกฯให้ทักษิณ
“เราได้ตามตอนท่านเป็นรองนายกฯ คุณสมัครเป็นคนมีหลายมิติ คนอาจจะมองว่าท่านปากจัด ดุ แต่จริงๆ แล้วท่านใจดี แต่น่าเสียดายที่เลือกตัดสินใจมาเป็นนายกฯให้กับคุณทักษิณ คือกิเลสน่ะนะ แต่เราคิดว่าถ้าตอนนั้นไม่ใช่คุณสมัครบ้านเมืองอาจจะแย่กว่านี้ เพราะคุณสมัครยังมีความเป็นตัวของตัวเองไม่ได้ทำตามซะทั้งหมด”

อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ รอบรู้ เป็นนักประชาธิปไตยที่สุด
“ในการตั้งคำถามตอบคำถาม พร้อมที่จะพูดทุกเรื่อง มีคนบอกว่าตอนมีอำนาจทำไมไม่ย้ายคนนั้นคนนี้ คำถามก็คือว่าถ้าทำแบบนั้นต่างอะไรกับทักษิณ แล้วก็มีคนบอกว่าทำไมไม่ช่วยกลุ่มนี้ในทางคดี คำถามคือถ้าเข้าไปก้าวก่ายแบบนั้น ต่างอะไรกับทักษิณที่ทำกับกระบวนการยุติธรรม”

ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เคารพสภาที่สุด ทำให้ผู้หญิงไทยน่าอายที่สุด โง่ยังไม่น่าอายเท่านี้
“ถ่ายรูปขึ้นกล้องดี (หัวเราะ) แต่ถ้าถามว่าอะไรที่ทำให้เรารู้สึกอายที่มีคุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯก็คือครั้งหลังสุดกับโอบามา เพราะการที่ท่านเป็นนายกฯผู้หญิงคนแรกของไทย แต่กลับกลายเป็นผู้นำที่ทำลายภาพลักษณ์สตรีไทยได้อย่างสิ้นเชิง พฤติกรรมแบบนั้นมันเป็นพฤติกรรมของ...พูดไปก็แรงไป ฝรั่งเขาก็มองผู้หญิงไทยในทางที่ไม่ดีอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้มันก็มีภาพจับมือถือแขนกับประธานาธิบดีเกาหลี แล้วมาเจอครั้งนี้อีก มันก็น่าเศร้าสำหรับประเทศไทย”

น่าอายกว่าโง่? “มันน่าอายกว่าโง่นะ เพราะความโง่มันเป็นเรื่องเฉพาะตัวแต่พฤติกรรมมันกระทบภาพลักษณ์ของประเทศชาติ ถามว่าเขาโง่จริงมั้ย... (ถอนหายใจและเงียบไปนานก่อนตอบ) เอาเป็นว่าท่านไม่มีภูมิความรู้มากพอที่จะบริหารประเทศ และตอบคำถามในเชิงบริหารได้ (โง่หรือไม่?) แค่นี้ก็น่าจะชัดแล้วนะ(หัวเราะ)”

“ที่แน่ๆ นารีขี่ม้าขาวถ้าสมมติว่าจะมี ก็ไม่ใช่คุณยิ่งลักษณ์ค่ะ และคนที่ไม่เคารพสภาที่สุดก็คุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่เข้าสภา พยายามหางานมาคร่อมการที่จะเข้าไปตอบกระทู้ฝ่ายค้าน และมักอ้างว่าให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกสภา แต่ตัวเองไม่เคยเข้าสภา ปีก่อนก็ได้ฉายาจากนักข่าวว่าดาวดับ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่ให้ความสำคัญกับสภา คุณทักษิณก็ไม่ค่อยเข้าค่ะ แต่ยิ่งลักษณ์จะเป็นลักษณะของการหนี แต่ทักษิณเป็นในลักษณะไม่แคร์ ทักษิณกับยิ่งลักษณ์ใช้วิธีเดียวกัน คือใช้สภาเป็นเครื่องมือ ไม่ได้ใช้สภาด้วยความเคารพในแง่ที่ว่าเป็นกระบวนการตรวจสอบตามระบอบประชาธิปไตย”

ที่มา : นสพ.Superบันเทิง






กำลังโหลดความคิดเห็น