ย้อนกลับไปราว 15 ปีที่แล้ว แวดวงการวิทยุของเราเคยมีดีเจหนุ่มไฟแรงคนหนึ่งที่มีชื่อว่า “วินัย สุขแสวง” หรือ “ดีเจหน่อง”
ถึงวันนี้ ลือกันว่าบุคคลดังกล่าวได้ตายไปแล้ว! หากแต่เป็นการตายที่ไม่ได้ตายแล้วตายลับ เพราะเขาได้เกิดใหม่กลายเป็นเธอ ภายใต้นาม “ดีเจเจ๊แหม่ม” เจ้าของวลีติดปาก...อย่าได้แคร์...แห่งคลื่นกรีนเวฟ (FM 106.5) นั่นเอง
ฟังแล้วอาจจะเวอร์ แต่ก็คงไม่ใช่เรื่องที่เกินความจริงไปมากนักแต่อย่างใด หากจะบอกว่าถ้าถามถึงหนึ่งในผู้ที่มีอาชีพดีเจที่ถือได้ว่ามีสีสันโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ และงานชุกคนหนึ่งของบ้านเรา ณ เวลาปัจจุบันแล้ว? เชื่อเถอะว่า ชื่อของเธอคนนี้จะต้องถูกรวมอยู่ด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย ถ้ามองไปถึงบทบาทหลากหลายนอกจากงานหลัก ทั้ง พิธีกร, นักแสดง, นักร้อง รวมถึงล่าสุด ก็คือ การรับหน้าที่เป็นคอมเมนเตตอร์ ในรายการประกวดร้องเพลงอย่างเคพีเอ็น
“ก็เป็นครั้งแรกของการทำงานแบบนี้ พอดีปีนี้เคพีเอ็นเขาเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ ทางทีมงานเขาคงอยากได้อะไรที่แรง จริง สัมผัสได้ ไม่ก้าวร้าว พูดตรง ไม่ต้องอวย เขาเลยเลือกเรา เขามองว่า เราคือชีวิตจริงมากกว่า ตอนที่เขาติดต่อมาเราก็ถามว่าแน่ใจหรือที่จะเอาเรามาทำแบบนี้”
“การทำการบ้านมันก็ลืมความยากไปเลย เพราะเราต้องเก็บรายละเอียดของผู้เข้าแข่งขันให้หมดตามเวลาที่เขากำหนดให้ เรื่องการสร้างคาแรกเตอร์ความแตกต่างให้ตัวเองด้วยความที่เราตรงอยู่แล้วก็คงทำให้มันชัดขึ้นมากกว่าเพราะเราอยากให้มันเป็นธรรมชาติ”
ว่ากันว่า มิใช่เพียงแต่หน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายเท่านั้น ที่ดีเจคนดังคนนี้ให้ความเพียรพยายามเอาจริงเอาจังกระทั่งมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมา หากแต่เรื่องของความสวยความงามเธอคนนี้ก็ต้องถือว่าไม่เป็นสองรองใครและไม่ง้อเวลา จนเป็นที่มาของสโลแกนประจำตัวของเธอที่ว่า “ทำบุญสวยชาติหน้า ทำหน้าสวยชาตินี้”
หลายคนเห็นภาพในอินสตาแกรมที่มีเข็มเสียบอยู่ที่หน้าแล้วเสียแทน มันคือ..?
“มันคือการร้อยไหม ภาพที่เห็นเป็นต้นทางของเข็ม จะมีเข็มกับไหมพุ่งเข้าไปที่หน้าเพื่อส่งไหมเข้าสู่ชั้นผิวหนัง เพื่อช่วยในเรื่องของการยกกระชับหน้าให้อ่อนเยาว์ หรือคนที่มีปัญหาเรื่องเหนียง แก้มห้อย หย่อนยานต่างๆ ตรงนี้ช่วยได้”
ชอบโพสต์รูปอวดโฉมความงาม?
“ที่ขึ้นรูปเพราะเรารู้สึกว่าเราทำแล้วมันดี เราก็ไม่อยากจะปิด เราก็อยากแชร์ให้มันเป็นความรู้กับคนอื่นๆ ด้วย เราก็ทำมาเป็นปีแล้วตั้งแต่เทคโนโลยีนี้ได้รับการยอมรับ เราเอารูปเก่ากับหน้าปัจจุบันมาเปรียบเทียบทีละข้างเลยนะเราจะเห็นชัดเจน และอีกสิ่งนึงที่มันได้มากกว่านั้นคือเรื่องของคอลลาเจนตกใจ เหมือนวงจรของมันก็ทำงานอยู่แต่เราเหมือนไปกระตุ้นให้มันตกใจ มันก็จะผลิตคอลลาเจนออกมามากขึ้น”
ไม่กลัวจะมีผลข้างเคียงจากการทำ?
“คือ มันก็ไม่เชิงศัลยกรรม เป็นกึ่งๆ ถือว่าเป็นนวัตกรรมความงามมากกว่า...ผลข้างเคียงของมันแทบจะไม่มีนอกจากทำมาใหม่ๆ ก็จะมีเขียว บวม พอกินยาลดบวมก็จะดีขึ้น ระยะยาวยังไม่ปรากฏ คือ มันเหมือนเป็นทางลัดสำหรับความงาม เพราะแค่ทาครีมมันก็ยังได้ผลไม่เท่ากับการทำทำตัวนี้”
อย่างเราพอจะเรียกว่าเสพติดทำสวยหรือยัง?
“เราก็มาคิดเหมือนกันนะว่าเราทำบ่อยอย่างนี้เสพติดรึเปล่า แต่การเสพติดมันคือการทำแบบไม่บันยะบันยัง ไม่ได้ดูว่าสิ่งที่ทำมันได้ผลมากน้อยยังไง ถามว่าเราทำบ่อยไหมเราทำบ่อยแต่เราทำในส่วนของที่จะทำ ก็จะทำ 1-2 เดือนครั้ง เพราะเราชอบอะไรที่มันเป็นทางลัด เราก็ทำมันอยู่ตลอดสม่ำเสมอ เราก็มองอย่างตระหนักชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียแล้วว่ามันเหมาะกับการแก้ปัญหาบนใบหน้าของเรา”
ตอนนี้มีข่าวลือว่าจะออกจากเอไทม์
“ตายแล้ว....จะตอบว่าไรดี ณ วันนี้เรายังทำงานอยู่ที่เอไทม์ แต่ถามว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันก็เป็นเรื่องปกติที่เราทำงานแล้วจะมีปัญหา แต่ปัญหานี้มันไม่สามารถแก้ไขได้เพราะมันไม่ได้อยู่ที่ตัวเรา เราได้รับผลกระทบจากคนบางคนที่ไม่ใช่หัวหน้าเราที่จะมาพูดจาแบบนั้นได้”
“เราเลยมองว่าเป็นเราเองที่ควรจะจบปัญหาด้วยการจากไปดีกว่าไหม แต่ด้วยเราเจอปัญหาที่นี้มาหลายสิบปีแล้ว ซึ่งเราก็พยายามแก้ไขอยู่ตลอด แต่เราก็โดนเยอะขึ้น เราก็บอกหัวหน้าที่ดูแลเรามันก็ดีขึ้น แต่มันก็ยังมีปัญหาอยู่ คือมันทนมาชนิดที่ไม่เอาแล้วดีกว่า เราตัดแก้ปัญหาที่ตัวเราเอง”
“เราก็เลยเดินเข้าไปบอกเจ้านาย เราเองก็ไม่อยาก เพราะเรามองว่าเรื่องนี้มันเป็นเรื่อง nonsense แต่เราก็ทำใจได้และตัดสินใจแล้วว่าเราจะไปลาออกเลยเดินเข้าไปหานาย เขาก็รับฟังแล้วก็บอกว่านอนเซ้นส์ไปรึเปล่า เราก็บอกว่าคงเป็นอย่างนั้นแต่เรารู้สึกว่าเราไม่สบายใจ เรารู้คำตอบอยู่แล้วว่านายจะต้องบอกว่าทำไมคนๆ นี้ถึงมีอิทธิพลกับชีวิตเราได้ขนาดนี้ เราก็บอกว่าแต่มันมีผลกระทบในเรื่องอารมณ์การทำงานของเรา ซึ่งเราเองก็ทนมานานแสนนานมากแล้วง่ายสุดก็คือตัดที่ตัวเรา”
แล้วนายว่ายังไงบ้าง?
“นายก็รับฟัง นายก็บอกว่าเขาจะจัดการให้ เราก็บอกว่าไม่เป็นไรขอแค่ทำยังไงก็ได้ให้เราทำงานแบบสบายใจ เราอยู่ที่นี้มา 20 กว่าปีเรารัก เราไม่ได้อยากจากไปเพราะเรื่องแค่นี้ แต่เราก็ไม่อยากไปทำให้ชีวิตใครเขามาสะเทือนเพราะเรา เราไม่อยากไปทำงานด้วยอารมณ์เซ็ง ไม่อยากไปทำงาน นายก็รับปากว่าจะเคลียร์ให้ ตอนนี้ก็รอดูว่านายจะจัดการให้เรายังไงบ้าง”
“ตอนนี้เราเองก็ยังทำงานปกติ ก็รอดู สำหรับเรื่องของใจเราเคยคิดไว้แล้วเมื่อ 6เดือนก่อน เราก็เลือกที่จะให้อภัย ไม่สนใจ แต่พอมาถึง ณ วันนี้เราก็ตัดสินใจได้ง่ายว่าจะไปหรือไม่ไป ไม่ใช่ว่าเราไม่รักเจ้านาย หรือรักองค์การ เพียงแค่เราไม่แฮปปี้กับสิ่งที่เราเจอ ก็ไม่เป็น ถ้าเราจะไปจริงๆ เขาก็ต้องหาคนมาแทนเราอยู่แล้ว เราก็พยายามจะทำให้ดีที่สุด ณ ปัจจุบันที่เรายังแฮปปี้กับองค์กร กับคนรอบๆ ตัวเราที่พูดจาดีให้พลังกับเราไม่ใช่คนที่คอยพูดจาเสียดสี เราเงียบแล้วก็ยังพร้อมที่จะต่อยเราตลอดเวลา เราก็มองตัวเรานะว่าเราเป็นคนเลวร้ายอะไรรึเปล่า ซึ่งเราว่าเราไม่ใช่คนเลวร้ายอะไรที่จะต้องมาเจอเรื่องแบบนี้”
วางแผนไว้เรียบร้อยแล้วใช่ไหมว่าถ้าไปจากตรงนี้จะไปทำอะไรต่อ?
“ถ้าไม่ได้อยู่เอไทม์เราก็คงไปขายส้มตำของเราต่อ ละครก็สนุกอยากเล่นอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นดีเจยังเป็นอะไรที่เรารัก มันไม่ใช่ว่าเกิดจากการอิ่มตัวกับอาชีพ แต่มันเกิดจากการที่เราอิ่มตัวกับปัญหาที่เจอมากกว่า ไม่ได้อิ่มตัวกับองค์กรด้วย เรารักเอไทม์ เรารักพี่ฉอด ก็ไม่น่าเชื่อตัวเองเหมือนกันว่าคนๆ นึง แต่เป็นผลต่อการตัดสินชีวิตเราถึงขนาดนี้ แต่เราคิดทบทวนมานานแล้ว เราคิดมาเป็นอย่างดีเราจึงตัดสินใจได้แล้ว”
ติดตามความเคลื่อนไหวอินสตาแกรมดาราทั้งไทยและเทศตลอด 24 ชั่วโมงได้ที่ ซูเปอร์สตาแกรม