ในปี 2006 เหอเซิ่งเหอก็เข้ายึดฐานธุรกิจใหม่ในฮ่องกงนั่นคือการขายของมือสองในฮ่องกง...คำว่ามือสองที่ว่านี้รวมไปถึงของโจรที่ถูกโขมยมาด้วยนะครับ ไล่ตั้งแต่โทรศัพท์มือถือ สินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้า รถยนตร์มือสองที่ถูกเปลี่ยนสีและสวมทะเบียนปลอม และแน่นอนที่สุดก็คือ ซีดีผี หนังแผ่นละเมิดลิขสิทธิ์ จนกระทั่งการค้าอาวุธเก่าซึ่งทั้งหมดนี้เกิดในเขตมองก๊ก ในปีนี้เองที่พวกเขากลายเป็นข่าวอีกครั้งเมื่อสมาชิกคนสำคัญของแก๊งค์โดนแก๊ง Wo On Lok ซึ่งทางเหอเซิ่งเหอเคยไปลุยเขาก่อน การเข้าโจมตีทำให้มีคนตายและบาดเจ็บกันระนาวเพราะล่อกันด้วยปืนจริงและระเบิด มิได้ใช้มีดปังตอ หรือ อีดาบแบบที่คุ้นเคย สงครามแก๊งค์ยังคงดุเดือดและหลายแก๊งค์ก็จ้องจะโค่นพวกเขาลงให้ได้เพื่อยึดพื้นที่ทำกิน
คราวที่แล้วผมได้นำเรื่องของการที่ทางการจีนแผ่นดินใหญ่หาทางที่จะหยุดการเติบโตของแก๊งค์อาชญากรรมนี้ในฮ่องกงให้ได้ ด้วยการออกนโยบายปราบปรามอย่างเฉียบขาดและต้องการลดจำนวนอาชญากรและอาชญากรรมให้ได้อย่างน้อยปีละ 10 เปอร์เซนต์ โดยการใช้ทุกวิธีโดยเฉพาะการส่งลายลับเข้าไปหาข่าวจากฝ่ายตรงข้าม กว่านโยบายและแผนดังกล่าวจะออกผลก็คือในราวๆ ปี 2010 นี่เอง เพราะมีการจับหัวหน้าแก๊งค์ใหญ่ของแกงค์ซินอี้ผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้สำเร็จ นอกจากนั้นก็ยังมีแก๊งค์อื่นอีกที่โดนเล่นในระดับหัวหน้า พวกเขาถูกส่งไปที่จีนแผ่นดินใหญ่และถูกประหารชีวิตไปอย่างรวดเร็ว…และหนึ่งในหัวหน้าแก๊งค์คนสำคัญที่โดนปราบก็มี “ไอ้ฟันหลอปุ่น (Broken Mouth Poon)” หัวหน้าแก๊งค์เหอเซิ่งเหอรวมอยู่ด้วยครับ
เรื่องราวของมาเฟียแต่ละชาตินั้นมีความแปลกอยู่อย่างหนึ่งว่าบทจะตายก็ตายกันน้ำตื้นมาก กรณีของเหอเซิ่งเหอที่ยิ่งใหญ่จากการค้ายาเสพติดและสิ่งผิดกฏหมายอีกมากมายนั้น แม้ว่าทางการจีนพยายามจะจับให้ได้ด้วยข้อหาหนักๆ ดังกล่าว แต่ก็หลุดไปทุกครั้ง แต่จู่ๆ ก็กลับมาเสร็จและกลายเป็นการสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์ของแก๊งค์ก็ว่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ทางแก๊งค์เรียกร้องขอค่าคุ้มครองจากเจ้าของสัมปทานเส้นทางเดินรถเมล์แดงในฮ่องกงจำนวนสามเส้นทาง โดยเรียกเงินจากผู้ที่ถือสัมปทานถึง 14 ล้านเหรียญฮ่องกงต่อปี ต่อ 1 เส้นทาง แถมคนขับรถอีก 30 คนที่ขับบนเส้นทาง Tsuen Wan – Kwun Tong ยังต้องจ่ายค่าต๋งหรือค่าผ่านทางอีกคนละอย่างน้อย 10000 เหรียญฮ่องกง จากเงินเดือนราวๆ 20000-30000 เหรียญ เรื่องของการยึดเส้นทางและเรียกค่าคุ้มครองนี้ทางการอ้างว่ามันมีมาตั้งแต่ปี 2006 จนสุดท้ายเมื่อคนขับทนไม่ไหวกับการรีดไถดังกล่าว ก็เลยมีการส่งจดหมายร้องเรียนและนำหลักฐานส่งให้กับเจ้าหน้าที่และเป็นที่มาของการเข้าจับกุมไอ้หลอปุ่นซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งค์ในวันที่ 21 มีนาคม 2010 หลังถูกจับได้ไม่นานเขาก็โดนส่งตัวไปจีนแผ่นดินใหญ่เช่นเดียวกับมาเฟียแก๊งค์อื่นๆ ทำเอาหลายคนเชื่อว่าทุกอย่างมันคงจะจบแล้ว

ว่ากันว่าจริงๆ คนที่ส่งหลักฐานและนำมาสู่การจับกุมแก๊งค์ครั้งใหญ่ก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฝีมือของสายลับที่ทางการส่งเข้าไปแฝงตัวอยู่ในแก๊งค์ตั้งแต่ยังหนุ่มนั่นเองครับ เพราะเอาเข้าจริงไม่มีทางที่คนขับรถเมล์จะมากล้าทำอะไรเช่นนั้นแน่นอน
พูดถึงตรงนี้ใครเคยดูหนังฮ่องกงในปี 2007 เรื่อง Protégé (ชื่อไทยคือ เกมคนเหนือคน) ที่แดเนี่ยล วู กู่เทียนเล่อ แสดง โดยมีหลิวเต๋อหัวแสดงเป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติดคนสำคัญ ว่ากันว่าผู้กำกับและทีมสร้างก็เอาแรงบันดาลในเรื่องของการส่งสายลับจากทางการเข้าไปเขียนเป็นพล็อตนี่แหล่ะครับ แถมเรื่องราวหนังมาเฟียฮ่องกงตั้งแต่ปี 2006 นั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของสายลับรัฐบาลเข้าไปถล่มมาเฟียซะเป็นส่วนใหญ่ ก็คงสะท้อนนโยบายดังกล่าวของจีนแผ่นดินใหญ่นะครับ
สำหรับแก๊งค์นี้ เพราะ เศียรมังกร โดนตัดไปเรียบร้อยแล้ว การทำกิจกรรมของแก๊งค์ก็เลยดูจะเพลาๆ มือลงไปในสายตาของสาธารณะชน ว่ากันว่าพวกเขาขยายตัวไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่แทนที่พื้นที่ซึ่งโดนปราบ แต่คนทำมาหากินในฮ่องกงนั้นเบาใจอยู่ได้ไม่นาน เพราะ หนึ่งในเศียรมังกรที่โด่งดังที่สุดของแก๊งค์เหอเซิ่งเหอมีชื่อว่า “กู่หลงหง” เจ้าของชื่อเล่นที่เรียกกันทั่วไปในฮ่องกงว่า “ไอ้หนุ่มเซี่ยงไฮ้" (Shanghai Boy) ด้วยประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างลับเฉพาะ จู่ๆ ก็โด่งดังจากการเปิดบริษัททำธุรกิจบันเทิง และดังยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อกลายมาเป็นคู่เดตของ “คิวท์ตี้หมุย หรือ “เหมยเสี่ยวฮุ่ย” ดาราฮ่องกงชื่อไม่เล็กอีกคนหนึ่ง ซึ่งดาราสาวก็เคยยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นจริง แต่ตรงกันข้ามกับกู่หลงหงที่บอกว่า เขาไม่ได้สนิทอะไรมาก ส่วนตัวของเขาๆ ชอบเคทฉี มากกว่า แต่เคทไม่ชอบเขา
ความจริงเซี่ยงไฮ้บอยนั้นเป็นมาเฟียรุ่นกลางที่อยู่ในตำแหน่งมานานแล้ว รายงานข่าวยังบอกด้วยว่า เขานั้นไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเศียรมังกรตั้งแต่ปี 2008 โดยผู้ที่ได้รับเลือกใหม่เป็นหัวหน้าแทนเขาก็คือ “ไอ้หลอปุ่น” เพราะฟันหน้าที่หลอ ประมาณว่าผ่านสงครามโหดระหว่างแก๊งค์มาเยอะ ในสองปีต่อมาตำแหน่งนี้ก็เปลี่ยนอีก หลังจากโดนจับกรณีอยู่เบื้องหลังการรีดไถรถมินิบัสดังกล่าว หัวหน้าแก๊งค์กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ชื่อว่า “ฉู่” ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2010 แต่เก็บตัวเงียบไม่พบสื่อ
ฝันร้ายของคนฮ่องกงจากเหอเซิ่งเหอกลับมาเพราะอดีตเศียรมังกรอย่างไอ้หนุ่มเซี่ยงไฮ้ซึ่งปัจจุบันก็กลายเป็นผู้ใหญ่ในแก๊งค์ตกเป็นข่าวว่าเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ให้กับ “เหลียงเจิ้นอิง” ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารของเกาะฮ่องกงเมื่อปี 2012 โดยข่าวในช่วงเวลานั้นเปิดโปงว่าตัวของสต๊าฟฟ์ทีมงานของเหลียงเจิ้นอิงขอแรงสนับสนุนและร่วมรับประทานอาหารค่ำกับบรรดาหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียทั้งหลายในฮ่องกงในเหลาที่ชื่อฝอซาน ตัวตั้งตัวตีของงานนี้ก็คือ หัวหน้าฝ่ายหาเสียงเลือกตั้งของเขานั่นเอง
การกินอาหารค่ำครั้งนี้เปรียบเสมือนการประชุมใหญ่ของแก๊งค์มาเฟียฮ่องกงไปโดยปริยาย หลายคนไม่ได้เปิดตัวให้เป็นที่รู้จักต่อสังคมนัก ยกเว้นแต่เซี่ยงไฮ้บอยที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเหอเซิ่งเหอมาร่วมประชุมด้วย กรณีนี้ถูกสื่อในฮ่องกงเรียกมันว่า “การเมืองฝิ่น” เพราะทุนที่จะนำมาใช้เลือกตั้งนั้นมาจากผลผลิตของยาเสพติดและมั่นใจต่อไปว่ามันคงจะอุดมไปด้วยการคอรัปชั่นอีกมากมายมหาศาลทั้งสิ้น แต่ในเวลาไม่นานเหลียงเจิ้นอิงก็ออกมาให้ข่าวว่า เขาไม่รู้จักกับเซี่ยงไฮ้บอยเป็นการส่วนตัว แต่หนังสือพิมพ์อีสต์วีคลงหลักฐานว่า ทั้งคู่ไปสนทนาลับกันในรถเสียด้วยซ้ำไป แถมมีรูปลับๆ ระหว่างการดินเนอร์หาทุนดังกล่าวว่า ผู้ลงสมัครในตำแหน่งผู้บริหารเกาะฮ่องกงท่านนี้ยังนั่งติดกับหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียอีกหลายแก๊งค์เสียด้วย
เมื่อมีคนไปสัมภาษณ์เซียงไฮ้บอย เจ้าตัวก็เลยบอกว่าไม่ใช่แค่รู่จักเหลียงเจิ้นอิงเท่านั้น กับ “เฮนรี่ ถัง” ซึ่งเป็นผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเช่นเดียวกับเหลียงเจิ้นอิงเขาก็รู้จักกันตั้งแต่ปี 2002 แถมยังมีรูปถ่ายคู่กันด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้เฮนรี่ ถังต้องเข้าแจ้งความต่อตำรวจในเวลาถัดมาว่า ไม่รู้จักเซี่ยงไฮ้บอยเป็นการส่วนตัวและคำพูดถึงเขาดังกล่าวดูจะเป็นการคุกคามและทำลายชื่อเสียงมากกว่า เรื่องราวที่ว่าทำให้หลายคนมั่นใจว่าบรรดามาเฟียทั้งหลายอยู่เบื้องหลังนักการเมืองและผู้บริหารเกาะฮ่องกงนั่นเอง การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ได้ชือว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกและมีการเอาเรื่องฉาวของฝ่ายตรงข้ามมาลุยกันมากที่สุด
แต่ผลสรุปก็คือ “เหลียงเจิ้นอิง” ซึ่งสะบักสะบอมจากกรณีกินเลี้ยงกับมาเฟียก็ได้เป็นผู้บริหารคนใหม่ของฮ่องกงนะครับ ขณะที่ เฮนรี่ ถัง ก็โดนเล่นงานและเปิดโปงเรื่องการต่อเติมบ้านไปจนกระทั่งเรื่องการแยกบ้านกับภรรยาและพ่ายในการเลือกตั้งในที่สุด
และเงาทมึนของมาเฟียฮ่องกงก็ยังสยายปีกปกคลุมเกาะนี้อยู่ตลอดกาล
คราวที่แล้วผมได้นำเรื่องของการที่ทางการจีนแผ่นดินใหญ่หาทางที่จะหยุดการเติบโตของแก๊งค์อาชญากรรมนี้ในฮ่องกงให้ได้ ด้วยการออกนโยบายปราบปรามอย่างเฉียบขาดและต้องการลดจำนวนอาชญากรและอาชญากรรมให้ได้อย่างน้อยปีละ 10 เปอร์เซนต์ โดยการใช้ทุกวิธีโดยเฉพาะการส่งลายลับเข้าไปหาข่าวจากฝ่ายตรงข้าม กว่านโยบายและแผนดังกล่าวจะออกผลก็คือในราวๆ ปี 2010 นี่เอง เพราะมีการจับหัวหน้าแก๊งค์ใหญ่ของแกงค์ซินอี้ผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมาได้สำเร็จ นอกจากนั้นก็ยังมีแก๊งค์อื่นอีกที่โดนเล่นในระดับหัวหน้า พวกเขาถูกส่งไปที่จีนแผ่นดินใหญ่และถูกประหารชีวิตไปอย่างรวดเร็ว…และหนึ่งในหัวหน้าแก๊งค์คนสำคัญที่โดนปราบก็มี “ไอ้ฟันหลอปุ่น (Broken Mouth Poon)” หัวหน้าแก๊งค์เหอเซิ่งเหอรวมอยู่ด้วยครับ
เรื่องราวของมาเฟียแต่ละชาตินั้นมีความแปลกอยู่อย่างหนึ่งว่าบทจะตายก็ตายกันน้ำตื้นมาก กรณีของเหอเซิ่งเหอที่ยิ่งใหญ่จากการค้ายาเสพติดและสิ่งผิดกฏหมายอีกมากมายนั้น แม้ว่าทางการจีนพยายามจะจับให้ได้ด้วยข้อหาหนักๆ ดังกล่าว แต่ก็หลุดไปทุกครั้ง แต่จู่ๆ ก็กลับมาเสร็จและกลายเป็นการสูญเสียครั้งประวัติศาสตร์ของแก๊งค์ก็ว่าได้อย่างไม่น่าเชื่อ
เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า ทางแก๊งค์เรียกร้องขอค่าคุ้มครองจากเจ้าของสัมปทานเส้นทางเดินรถเมล์แดงในฮ่องกงจำนวนสามเส้นทาง โดยเรียกเงินจากผู้ที่ถือสัมปทานถึง 14 ล้านเหรียญฮ่องกงต่อปี ต่อ 1 เส้นทาง แถมคนขับรถอีก 30 คนที่ขับบนเส้นทาง Tsuen Wan – Kwun Tong ยังต้องจ่ายค่าต๋งหรือค่าผ่านทางอีกคนละอย่างน้อย 10000 เหรียญฮ่องกง จากเงินเดือนราวๆ 20000-30000 เหรียญ เรื่องของการยึดเส้นทางและเรียกค่าคุ้มครองนี้ทางการอ้างว่ามันมีมาตั้งแต่ปี 2006 จนสุดท้ายเมื่อคนขับทนไม่ไหวกับการรีดไถดังกล่าว ก็เลยมีการส่งจดหมายร้องเรียนและนำหลักฐานส่งให้กับเจ้าหน้าที่และเป็นที่มาของการเข้าจับกุมไอ้หลอปุ่นซึ่งเป็นหัวหน้าแก๊งค์ในวันที่ 21 มีนาคม 2010 หลังถูกจับได้ไม่นานเขาก็โดนส่งตัวไปจีนแผ่นดินใหญ่เช่นเดียวกับมาเฟียแก๊งค์อื่นๆ ทำเอาหลายคนเชื่อว่าทุกอย่างมันคงจะจบแล้ว
ว่ากันว่าจริงๆ คนที่ส่งหลักฐานและนำมาสู่การจับกุมแก๊งค์ครั้งใหญ่ก็ไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นฝีมือของสายลับที่ทางการส่งเข้าไปแฝงตัวอยู่ในแก๊งค์ตั้งแต่ยังหนุ่มนั่นเองครับ เพราะเอาเข้าจริงไม่มีทางที่คนขับรถเมล์จะมากล้าทำอะไรเช่นนั้นแน่นอน
พูดถึงตรงนี้ใครเคยดูหนังฮ่องกงในปี 2007 เรื่อง Protégé (ชื่อไทยคือ เกมคนเหนือคน) ที่แดเนี่ยล วู กู่เทียนเล่อ แสดง โดยมีหลิวเต๋อหัวแสดงเป็นเจ้าพ่อค้ายาเสพติดคนสำคัญ ว่ากันว่าผู้กำกับและทีมสร้างก็เอาแรงบันดาลในเรื่องของการส่งสายลับจากทางการเข้าไปเขียนเป็นพล็อตนี่แหล่ะครับ แถมเรื่องราวหนังมาเฟียฮ่องกงตั้งแต่ปี 2006 นั้นส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องของสายลับรัฐบาลเข้าไปถล่มมาเฟียซะเป็นส่วนใหญ่ ก็คงสะท้อนนโยบายดังกล่าวของจีนแผ่นดินใหญ่นะครับ
สำหรับแก๊งค์นี้ เพราะ เศียรมังกร โดนตัดไปเรียบร้อยแล้ว การทำกิจกรรมของแก๊งค์ก็เลยดูจะเพลาๆ มือลงไปในสายตาของสาธารณะชน ว่ากันว่าพวกเขาขยายตัวไปสู่จีนแผ่นดินใหญ่แทนที่พื้นที่ซึ่งโดนปราบ แต่คนทำมาหากินในฮ่องกงนั้นเบาใจอยู่ได้ไม่นาน เพราะ หนึ่งในเศียรมังกรที่โด่งดังที่สุดของแก๊งค์เหอเซิ่งเหอมีชื่อว่า “กู่หลงหง” เจ้าของชื่อเล่นที่เรียกกันทั่วไปในฮ่องกงว่า “ไอ้หนุ่มเซี่ยงไฮ้" (Shanghai Boy) ด้วยประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างลับเฉพาะ จู่ๆ ก็โด่งดังจากการเปิดบริษัททำธุรกิจบันเทิง และดังยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อกลายมาเป็นคู่เดตของ “คิวท์ตี้หมุย หรือ “เหมยเสี่ยวฮุ่ย” ดาราฮ่องกงชื่อไม่เล็กอีกคนหนึ่ง ซึ่งดาราสาวก็เคยยอมรับว่าเรื่องนี้เป็นจริง แต่ตรงกันข้ามกับกู่หลงหงที่บอกว่า เขาไม่ได้สนิทอะไรมาก ส่วนตัวของเขาๆ ชอบเคทฉี มากกว่า แต่เคทไม่ชอบเขา
ความจริงเซี่ยงไฮ้บอยนั้นเป็นมาเฟียรุ่นกลางที่อยู่ในตำแหน่งมานานแล้ว รายงานข่าวยังบอกด้วยว่า เขานั้นไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเศียรมังกรตั้งแต่ปี 2008 โดยผู้ที่ได้รับเลือกใหม่เป็นหัวหน้าแทนเขาก็คือ “ไอ้หลอปุ่น” เพราะฟันหน้าที่หลอ ประมาณว่าผ่านสงครามโหดระหว่างแก๊งค์มาเยอะ ในสองปีต่อมาตำแหน่งนี้ก็เปลี่ยนอีก หลังจากโดนจับกรณีอยู่เบื้องหลังการรีดไถรถมินิบัสดังกล่าว หัวหน้าแก๊งค์กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ชื่อว่า “ฉู่” ซึ่งดำรงตำแหน่งตั้งแต่ปี 2010 แต่เก็บตัวเงียบไม่พบสื่อ
ฝันร้ายของคนฮ่องกงจากเหอเซิ่งเหอกลับมาเพราะอดีตเศียรมังกรอย่างไอ้หนุ่มเซี่ยงไฮ้ซึ่งปัจจุบันก็กลายเป็นผู้ใหญ่ในแก๊งค์ตกเป็นข่าวว่าเป็นผู้สนับสนุนรายใหญ่ให้กับ “เหลียงเจิ้นอิง” ผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเป็นหัวหน้าคณะผู้บริหารของเกาะฮ่องกงเมื่อปี 2012 โดยข่าวในช่วงเวลานั้นเปิดโปงว่าตัวของสต๊าฟฟ์ทีมงานของเหลียงเจิ้นอิงขอแรงสนับสนุนและร่วมรับประทานอาหารค่ำกับบรรดาหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียทั้งหลายในฮ่องกงในเหลาที่ชื่อฝอซาน ตัวตั้งตัวตีของงานนี้ก็คือ หัวหน้าฝ่ายหาเสียงเลือกตั้งของเขานั่นเอง
การกินอาหารค่ำครั้งนี้เปรียบเสมือนการประชุมใหญ่ของแก๊งค์มาเฟียฮ่องกงไปโดยปริยาย หลายคนไม่ได้เปิดตัวให้เป็นที่รู้จักต่อสังคมนัก ยกเว้นแต่เซี่ยงไฮ้บอยที่เป็นตัวแทนของกลุ่มเหอเซิ่งเหอมาร่วมประชุมด้วย กรณีนี้ถูกสื่อในฮ่องกงเรียกมันว่า “การเมืองฝิ่น” เพราะทุนที่จะนำมาใช้เลือกตั้งนั้นมาจากผลผลิตของยาเสพติดและมั่นใจต่อไปว่ามันคงจะอุดมไปด้วยการคอรัปชั่นอีกมากมายมหาศาลทั้งสิ้น แต่ในเวลาไม่นานเหลียงเจิ้นอิงก็ออกมาให้ข่าวว่า เขาไม่รู้จักกับเซี่ยงไฮ้บอยเป็นการส่วนตัว แต่หนังสือพิมพ์อีสต์วีคลงหลักฐานว่า ทั้งคู่ไปสนทนาลับกันในรถเสียด้วยซ้ำไป แถมมีรูปลับๆ ระหว่างการดินเนอร์หาทุนดังกล่าวว่า ผู้ลงสมัครในตำแหน่งผู้บริหารเกาะฮ่องกงท่านนี้ยังนั่งติดกับหัวหน้าแก๊งค์มาเฟียอีกหลายแก๊งค์เสียด้วย
เมื่อมีคนไปสัมภาษณ์เซียงไฮ้บอย เจ้าตัวก็เลยบอกว่าไม่ใช่แค่รู่จักเหลียงเจิ้นอิงเท่านั้น กับ “เฮนรี่ ถัง” ซึ่งเป็นผู้สมัครลงรับเลือกตั้งเช่นเดียวกับเหลียงเจิ้นอิงเขาก็รู้จักกันตั้งแต่ปี 2002 แถมยังมีรูปถ่ายคู่กันด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้เฮนรี่ ถังต้องเข้าแจ้งความต่อตำรวจในเวลาถัดมาว่า ไม่รู้จักเซี่ยงไฮ้บอยเป็นการส่วนตัวและคำพูดถึงเขาดังกล่าวดูจะเป็นการคุกคามและทำลายชื่อเสียงมากกว่า เรื่องราวที่ว่าทำให้หลายคนมั่นใจว่าบรรดามาเฟียทั้งหลายอยู่เบื้องหลังนักการเมืองและผู้บริหารเกาะฮ่องกงนั่นเอง การเลือกตั้งครั้งนี้ก็ได้ชือว่าเป็นการเลือกตั้งที่สกปรกและมีการเอาเรื่องฉาวของฝ่ายตรงข้ามมาลุยกันมากที่สุด
แต่ผลสรุปก็คือ “เหลียงเจิ้นอิง” ซึ่งสะบักสะบอมจากกรณีกินเลี้ยงกับมาเฟียก็ได้เป็นผู้บริหารคนใหม่ของฮ่องกงนะครับ ขณะที่ เฮนรี่ ถัง ก็โดนเล่นงานและเปิดโปงเรื่องการต่อเติมบ้านไปจนกระทั่งเรื่องการแยกบ้านกับภรรยาและพ่ายในการเลือกตั้งในที่สุด
และเงาทมึนของมาเฟียฮ่องกงก็ยังสยายปีกปกคลุมเกาะนี้อยู่ตลอดกาล