xs
xsm
sm
md
lg

Homeland : แผ่นดินแม่ที่กำลังล่มสลาย

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


Facebook : teelao1979@hotmail.com

(1)
นับตั้งแต่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์อันเป็นสัญลักษณ์ของมหาอำนาจด้านทุนนิยมถูกถล่มพังทลายโดยขบวนการก่อการร้ายเมื่อปี ค.ศ.2001 คำว่า “ผู้ก่อการร้าย” ก็เหมือนกับปีศาจที่ถูกปลุกเรียกขึ้นมาหลอกหลอนผู้คน กลายเป็นฝันร้ายไม่เฉพาะแค่กับประชากรในอเมริกา แต่ยังรวมไปถึงทั่วโลก ตามมาด้วยสงครามซึ่งนำโดยสหรัฐฯ พากองทัพเข้าประหัตประหารกับบรรดาผู้ก่อการร้าย

ในฟากฝั่งของความบันเทิงอย่างภาพยนตร์ก็ไม่น้อยหน้า บรรดาผู้ผลิตต่างพากันสร้างผลงานซึ่งถ่ายทอดเนื้อหาอันว่าด้วยการก่อการร้ายกันอย่างคึกคัก ด้วยมุมมองที่แตกต่างหลากหลาย ซึ่งมีแม้กระทั่งหนังอย่าง United 93 ที่จำลองภาพเหตุการณ์ก่อนเครื่องบินพุ่งชนตึกมาให้ดู น่าหดหู่สะเทือนใจ อย่างไรก็ดี มุมมองที่ผมคิดว่าน่าสนใจมากอย่างหนึ่งก็คือ การนำเสนอทัศนะอีกด้านซึ่งเป็นการตั้งคำถามว่า ที่สุดแล้ว บรรดาการก่อการร้ายนั้น มีสาเหตุต้นตอมาจากจุดไหนอย่างไร

สารคดีชิ้นหนึ่งของไมเคิล มัวร์ เรื่อง Fahrenheit 9/11 ก่อให้เกิดคำถามในใจว่า เอาเข้าจริง ผู้นำของอเมริกาก็มีส่วนเกี่ยวพันกับขบวนการก่อการร้าย ใช่หรือไม่? หรือหนังเรื่อง Body of Lies ของโทนี่ สก็อตต์ ที่ถ่ายทอดประเด็นคล้ายๆ กันนี้ เพียงแต่พุ่งประเด็นไปยังเจ้าหน้าที่ซีไอเอบางคนซึ่งขายตัวให้กับขบวนการก่อการร้ายไปเสียเอง นั่นยังไม่ต้องเอ่ยถึงหนังตลาดๆ อย่าง Avatar ที่ถ้าจะวิเคราะห์กันจริงๆ ก็สามารถพาดพิงเชื่อมโยงกับโลกทุนนิยมซึ่งเป็นที่มาอย่างหนึ่งของการก่อการร้ายได้เช่นกัน

ว่ากันอย่างถึงที่สุด หากต้องเอ่ยถึงผลงานที่สะท้อนถึงเรื่องราวก่อการร้าย คงใช้พื้นที่อีกหลายบรรทัด แต่ถ้าจะกล่าวอย่างรวบรัด ผมคิดว่าบรรดาหนังทั้งหลายเหล่านั้น ต่างเพียรพยายามที่จะตั้งคำถามถึงความถูกต้องชอบธรรมในสงครามก่อการร้าย โดยความคิดหนึ่งซึ่งจะเกิดขึ้นตามมาในใจของคนดูผู้ชมก็คือ มันเหมือนไม่มีผู้ใดที่ขาวสะอาดหมดจด ไม่มีใครเป็นเทพ ไม่มีใครเป็นมาร อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่ว่าฝ่ายที่ก่อหรือต่อต้านการก่อการร้าย เราต่างต้องร่วมกันแบกรับและชดใช้ในบาปเวรที่เกิดขึ้นแก่โลกใบนี้ ไม่มากไม่น้อยไปกว่ากัน

และไม่แน่นะครับว่า หลังจากรับรู้เบื้องลึกเบื้องหลังอะไรต่างๆ แล้ว เราอาจจะเกิดความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่ตัวละครในซีรีย์เรื่องนี้กำลังรู้สึกอยู่ก็เป็นได้

( (2)
โดยพื้นฐานเรื่องราว Homeland เป็นซีรีย์ที่ดัดแปลงมาจากหนังทีวีของอิสราเอลเรื่อง Hatufim ความดีงามของมันได้รับการยืนยันโดยรางวัลลูกโลกทองคำ 2 รางวัล ทั้งการเป็นผู้ชนะในสาขาซีรีย์ทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม (ชนะทั้ง The Walking Dead และ Game of Throne ที่แข็งแรงกว่าในแง่ความดัง) และสาขานักแสดงนำหญิงของซีรีย์ทางโทรทัศน์ยอดเยี่ยม

สิ่งที่น่าสนใจอันดับแรกสุด ถ้าไม่นับรวมคำโปรยอย่าง The Nation sees a hero. She sees a threat. ซึ่งสร้างความรู้สึกเชิงขัดแย้งได้อย่างน่าสนใจใคร่รู้ ภาพผู้ชายบนโปสเตอร์ซึ่งใบหน้าซีกขวาถูกแต่งให้ดูฟุ้งๆ ก็เป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดความคลุมเครือ น่าพิสูจน์ให้รู้ชัด การวางอักษรตัว E ให้หันกลับด้าน ก็ดูจะบอกถึงอะไรบางสิ่ง ขณะที่ภาพของหญิงสาวซึ่งซ้อนทับขึ้นมาในฉากหลัง สายตาคมกล้าของเธอ ก็เพ่งมองราวกับว่ากำลังจ้องจับผิดอะไรบางอย่าง ทั้งหมดนี้ผมคิดว่าเป็นการออกแบบโปสเตอร์ให้สื่อสะท้อนถึงประเด็นของเรื่องราวได้ดีเป็นอย่างยิ่ง

แน่นอนครับ เมื่อเปิดหนังทีวีเรื่องนี้ขึ้นมาดู คุณก็จะพบว่า สิ่งที่หญิงสาวคนนั้นพยายามเกาะติดไม่วางตา ก็ไม่ใช่อะไรอื่น หากแต่เป็นจ่าสิบเอกนิโคลัส โบรดี้ ทหารอเมริกันที่ถูกจับและกักขังเป็นเชลยศึกอยู่ในดินแดนอัฟกานิสถานยาวนานถึง 8 ปี และกลับบ้านมาในสถานะวีรบุรุษของประชาชนทั้งชาติ แต่สำหรับหญิงสาวอย่าง “แคร์รี่” ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ซีไอเอแล้ว นิโคลัส โบรดี้ เหมือนจะมีความซับซ้อนน่าสงสัย เพราะหลายเดือนก่อนหน้านี้ เธอได้ข้อมูลมาว่า POW (Prisoner of War) หรือเชลยศึกอเมริกันคนหนึ่งได้ย้ายข้างไปอยู่ฝั่งผู้ก่อการร้าย และเธอคิดว่าโบรดี้นี่แหละ คือเชลยศึกคนนั้น

โดยพื้นฐานงานสร้าง แม้หนังทีวีเรื่องนี้จะมีชื่อโฮเวิร์ด กอร์ดอน และอเล็กซ์ กันซ่า สองในทีมผู้ผลิตซีรีย์แอ็กชั่นมันสุดใจอย่าง 24 แต่ Homeland ก็ดูจะแตกต่างออกไป เพราะจุดขายของซีรีย์อยู่ที่เรื่องราวอันซับซ้อนซ่อนปม กระบวนการคลี่คลายปริศนา ซึ่ง

(3)
จุดใหญ่ใจกลางของหนังซีรีย์ชุดนี้ อยู่ที่จ่าสิบเอกโบรดี้ ฮีโร่ของคนทั้งชาติ ซีรีย์สามารถนำเสนอตัวละครตัวนี้ออกมาได้ลุ่มลึก เขาคือทหารผ่านศึกที่กลับมายัง Homeland หรือแผ่นดินแห่งมาตุภูมิ พร้อมกับบาดแผลจากดินแดนสงครามที่คนอื่นยากจะเข้าถึงและเข้าใจ

บุคลิกและท่าทางของโบรดี้ที่นิ่งเงียบเรียบเฉยหรือกระทั่งสั่นประหม่าในหลายๆ ฉาก บ่งบอกอย่างเด่นชัดถึงความไม่ชอบมาพากลในตัวละครตัวนี้ซึ่งยากจะตัดสินได้ อย่างน้อยที่สุด เราก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกับที่แคร์รี่เชื่อ ว่าเขาจะกลายเป็นสายลับของผู้ก่อการร้ายจริง ในทางตรงกันข้าม เขาดูเศร้าหมองหดหู่เหมือนผู้ป่วยทางจิต ต่อกับโลกไม่ค่อยจะติด แม้กระทั่งลูกเมีย ก็เหมือนจะมี “เส้นแบ่งที่มองไม่เห็น” ขวางกั้นระหว่างกันอยู่เสมอ

Homeland ที่เราเห็น จึงคล้ายกับดินแดนที่กำลัง “กลายเป็นอื่น” มันไม่เหมือนผืนดินผืนเดิมที่รู้จักอีกต่อไป เพราะนอกเหนือไปจากภัยก่อการร้าย เราจะพบว่า รายละเอียดต่างๆ ที่พ่วงมากับตัวละครแต่ละตัว ก็ชวนให้น่าหวั่นวิตกได้ไม่น้อยไปกว่ากัน

“แคร์รี่” เจ้าหน้าที่ซีไอเอที่ดูเหมือนจะไม่คำนึงถึงจริยธรรมใดๆ อีกต่อไป เมื่อ “เป้าหมาย” ยิ่งใหญ่กว่า “วิธีการ” เธอดึงดันที่จะสอดแนมจ่าสิบเอกโบรดี้อย่างถึงที่สุด แม้มันจะไม่ถูกต้องทำนองคลองธรรมหรือล่วงล้ำขอบเขตทางกฎหมายอย่างไรก็ตาม ขณะที่โดยส่วนตัว เธอก็มีจุดบอดรอยรั่วที่เก็บงำไว้ เช่น การเป็นโรคทางประสาทซึ่งต้องพึ่งพายาบางชนิดที่ถือเป็นความผิดต่อกฎขององค์กร

“เจสสิก้า” ภรรยาของโบรดี้ หลังจากสามีหายตัวไปเป็นเวลาหลายปีและเข้าใจว่าคงตายไปแล้วในสนามรบ เธอก็คบหาสร้างสัมพันธ์กับเพื่อนรักคนหนึ่งของโบรดี้ เมื่อสามีกลับมา สถานการณ์ที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกจึงเกิดขึ้น และดูเหมือนจะเป็นอีกหนึ่งความรุงรังของชีวิตที่ยากจะหาวิธีเยียวยาแก้ไข

“ดาน่า” ลูกสาวของโบรดี้และเจสสิก้า ซึ่งกำลังเติบโตเป็นวัยรุ่นที่กำลังอยู่ในวัยเปลี่ยนผ่าน ก็แสดงอาการแปลกแยกกับครอบครัว โดยเฉพาะกับแม่นั้น ดูจะไปด้วยกันไม่ได้เลย ทั้งนี้ เหตุผลอย่างหนึ่งคงเป็นเพราะว่า ที่ผ่านมา เธอพบเห็นความสัมพันธ์ระหว่างแม่กับเพื่อนของพ่อขณะที่พ่อไม่อยู่โดยตลอด เธอเก็บความรู้สึกนั้นไว้จนบ่มเพาะกลับกลายเป็นความไม่พอใจในตัวแม่แล้วแสดงออกมาผ่านความก้าวร้าวเอาแต่ใจ สร้างกำแพงขึ้นมาปิดกั้นตัวเองจากคนรอบข้าง และยิ่งผสมโรงกับการได้เห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของพ่อด้วยแล้ว ก็ยิ่งทำให้สภาวะจิตใจแบบวัยรุ่นที่ไม่ค่อยมั่นคงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว กระเจิดกระเจิงไปไกล

พ้นไปจากตัวละครที่ว่ามาทั้งหมดนั้น ก็ยังมี “ซอล” ชายสูงวัยผู้เป็นหัวหน้าของแคร์รี่ ที่นอกจากจะต้องคอยแบกรับความรับผิดชอบต่อความทะเยอทะยานอันดันทุรังของลูกน้องแล้ว โดยส่วนตัวเขาก็กำลังปวดร้าวอย่างสาหัสกับการพลัดพรากจากคนที่รัก

เมื่อพิจารณาจากบริบทดังกล่าว เราจะพบว่า Homeland แห่งนี้ มันดูไม่มีความน่าอภิรมย์เอาซะเลย เพราะความรู้สึกกดดันบีบคั้นจากปัญหาที่อัดแน่นอยู่ในดินแดนผืนนี้ แต่ละคนต่างก็มีปัญหาของตัวเอง จะว่าไป มันคงคล้ายๆ กับผืนแผ่นดินที่แตกร้าว ย่อมปริแยกมาจากข้างในก่อนจะเผยให้เห็นบนหน้าดิน เค้าลางความล่มสลายของ Homeland แห่งนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้น เพราะถึงแม้ไม่มีภัยจากภายนอก แต่ทุกๆ ปัญหาที่กำลังรุมเร้าอยู่ภายใน ก็น่าหวั่นใจไม่แพ้กัน

(4)
อย่างไรก็ดี ในสถานะของการเป็นซีรีย์ที่ตั้งโจทย์ให้ตัวเองว่าต้องพูดเรื่องก่อการร้าย ซีรีย์เรื่องนี้ก็นำเสนอได้อย่างน่าคิด แม้พูดกันอย่างถึงที่สุด ประเด็นที่ถูกเอ่ยถึง อย่าง “การย้ายข้าง” จะไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรนัก แต่เหตุการณ์อันถือเป็นจุดพลิกผันทางความคิดของตัวละครอย่างการโจมตีด้วยระเบิดซึ่งไม่นำพาต่อชีวิตของเด็กตัวเล็กๆ 82 คนนั้น ก็เท่ากับเป็นการโยนคำถามให้คนดูช่วยกันขบคิดว่า ตกลง ใครกันแน่ที่สมควรถูกเรียกว่าผู้ก่อการร้าย

เอาเข้าจริง ผมคิดว่าตัวละครอย่างแคร์รี่นั้น ถูกวางไว้ให้มีบทบาทที่แทบไม่แตกต่างไปจากอเมริกาหรือบรรดาประเทศมหาอำนาจทั้งหลายซึ่งพอได้ยินคำว่า “ก่อการร้าย” ก็ใจสั่นเนื้อเต้น ต้องเร่งรีบบีบเค้นกันให้ตาย แน่นอนว่า ความตั้งใจเบื้องต้นนั้นดีอยู่แล้ว เพราะการปกปักพิทักษ์ Homeland หรือ “มาตุภูมิ” คือภารกิจที่ลูกหลานของแผ่นดินพึงกระทำ อย่างไรก็ตาม ถ้าการให้ความสำคัญกับอุดมการณ์อันสูงส่งแล้วทำให้ผู้คนบาดเจ็บล้มตายหรือต้องดำรงชีวิตอยู่อย่างหวาดผวา ถือว่าเป็นการก่อการร้าย การคิดถึงแต่เป้าหมายโดยไม่ใส่ใจในวิธีการว่าจะถูกต้องดีงามหรือไม่นั้น ก็ไม่น่าจะทำให้ตัวเองถูกเรียกขานว่า “ผู้ก่อการดี” แต่อย่างใด

และก็อย่างที่กล่าวไว้แล้วครับว่า ถึงแม้ผู้สร้างสองคนจะเคยผลิตผลงานแอ็กชั่นมันๆ มาแล้วอย่าง 24 แต่ซีรีย์ชุดนี้กลับมีฉากแอ็กชั่นน้อยเต็มที กระนั้นก็ดี ถ้าจะมองหาสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ของทั้งสองคนนี้ ก็น่าจะได้แก่การพยายามที่จะตีแผ่ให้เห็นถึงความไม่โปร่งใสที่ซุกซ่อนอยู่ในองค์กรสำคัญอันเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ เพราะใครก็ตามที่ได้ดูซีรีย์เรื่อง 24 จะพบว่า ตัวร้ายๆ ของเรื่องซึ่งพระเอกนักบู๊อย่างแจ็ค บาวเออร์ ต้องไล่ล่าฉีกหน้ากากถลกความจอมปลอมออกมานั้น แทบทั้งหมดก็ล้วนเป็นกลุ่มคนที่มีอำนาจบาตรใหญ่ในบ้านเมือง แน่นอนว่า เมื่อทั้งสองคนมาทำ Homeland ประเด็นเช่นนั้นก็ยังตามมาด้วย

ถ้าเปรียบประเทศเป็นครอบครัว ก็คงเหมือนครอบครัวของโบรดี้ ซึ่งแสดงภาวะระส่ำระสายให้เห็นตั้งแต่ต้นเรื่อง ปมปัญหาตัวเขื่องที่กำลังกัดกินความมั่นคงภายในครอบครัวของอดีตทหารผ่านศึก ล้วนแล้วแต่เกิดจากผู้หลักผู้ใหญ่ที่มีบทบาทภายในบ้าน และนั่นก็ไม่น่าจะต่างอะไรกันเลยกับ “แผ่นดินมารดา” ที่ซีรีย์เรื่องนี้เอ่ยถึง

เพราะถ้า Homeland หรือแผ่นดินแม่ กำลังจะล่มสลาย มันก็คงไม่ใช่เพราะภัยจากใครอื่น หากแต่เกิดจากคนประเภทเดียวกันกับที่แจ็ค บาวเออร์ ต้องเหน็ดเหนื่อยเมื่อยล้าออกล่าตามล้างตามเช็ดอยู่นั่นเอง!!







กำลังโหลดความคิดเห็น