xs
xsm
sm
md
lg

“อ๊อฟ” ผู้ประกาศ ThaiPBS ปิดปากชนวนโดนแทง อ้างผู้ใหญ่ขอ เตรียมกลับทำงาน ส.ค.นี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“อ๊อฟ” ผู้ประกาศ ThaiPBS เปิดใจครั้งแรกหลังโดนแทง เผยหายดีแล้ว เตรียมกลับเข้าทำงาน ส.ค.นี้ ส่วน “กิ๊บ อภิยา” คู่กรณีผู้ใหญ่ก็เรียกกลับมาทำงานแล้วเช่นกัน เจ้าตัวปิดปากไม่ตอบข่าวลือหนีงานหมั้น ทำฝ่ายหญิงท้องแล้วบอกเลิก จนเป็นชนวนเหตุของการวิวาท อ้างผู้ใหญ่ขอไว้ พร้อมบอกปล่อยวางแล้ว หากต้องเจอคู่กรณีอีกครั้ง ก่อนเปรยเหตุการณ์ครั้งนี้สอนให้รู้ว่า อย่าหลงในวงการบันเทิง ให้ทำแต่ความดีดีกว่า



หายดีกลับมารับงานได้ปกติแล้ว สำหรับ “อ๊อฟ อัครพล ทองธราดล” ผู้ประกาศข่าวสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส หลังตกเป็นข่าวมีเรื่องทะเลาะวิวาทกับ “กิ๊บ อภิยา ฉายจันทร์ทิพย์” ผู้ประกาศข่าวบันเทิงสถานีเดียวกัน เมื่อกลางดึกของวันที่ 10 มิ.ย.ที่ผ่านมา เป็นเหตุทำให้อ๊อฟถูกแทงด้วยกรรไกรขาเดียวได้รับบาดเจ็บสาหัส และต้องนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล โดยชนวนเหตุเกิดจากความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ไม่ราบรื่น กระทั่งทางสถานีต้นสังกัด มีคำสั่งพักงานทั้ง 2 ผู้ประกาศ จนกว่าทั้งคู่จะปรับความเข้าใจและหาทางออกของปัญหาที่เกิดขึ้นได้ จึงจะให้กลับมาทำงานใหม่
          
 โดยหลังจากนั้น ก็มีความเคลื่อนไหวของทางฝั่งหนุ่มอ๊อฟออกมา เพราะเมื่อวันที่ 18 มิ.ย.มีการโพสต์ภาพของเจ้าตัวลงในเฟซบุ๊ก Supanai Tongtharadol ของ นายศุภนัยน์ ทองธราดล ซึ่งเชื่อว่าเป็นญาติของอ๊อฟ ซึ่งภาพดังกล่าวเป็นภาพที่อ๊อฟนอนพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง โดยมีการดามเฝือกบริเวณดั้งจมูกและให้น้ำเกลือ ในสภาพสาหัส ท่ามกลางข่าวลือสะพัดว่า หลังจากหายดีแล้วอ๊อฟจะเป็นฝ่ายขอลาออกเพื่อยุติปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะที่ผู้ประกาศหญิงคู่กรณีเองก็ได้แต่เก็บตัวเงียบ ไม่ยอมให้สัมภาษณ์ใดๆ

ล่าสุด ช่วงบ่ายของวันนี้ (9 ก.ค.) อ๊อฟได้เดินทางมาร่วมงาน “Click for U ระเบิดความรู้ สู่มหาวิทยาลัย Season 2” ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา แจ้งวัฒนะ ซึ่งเป็นงานแรกหลังจากที่เจ้าตัวออกจากโรงพยาบาล โดยมีกองทัพสื่อมวลชนเดินทางไปติดตามทำข่าวจำนวนมาก ทว่า ทางฝ่ายของอ๊อฟกลับไม่สะดวกที่จะพูดถึงรายละเอียดของเหตุวิวาท ทั้งข่าวลือเป็นแฟนกัน แต่โดนอ๊อฟบอกเลิกทำให้ฝ่ายหญิงโกรธ เรื่องทำฝ่ายหญิงท้อง อ๊อฟหนีงานหมั้น ฯลฯ โดยอ้างว่าผู้ใหญ่ขอไว้ ก่อนเผยได้เข้าไปเคลียร์กับผู้ใหญ่ทางสถานีแล้ว รอตนหายดีร้อยเปอร์เซ็นต์จะกลับไปทำงานตามปกติในเดือน ส.ค.นี้  

“อาการตอนนี้ดีขึ้นมากแล้วครับ เกือบหายดีแล้ว ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วครับ โดนเย็บไม่เป็นไรแล้วครับ ถือว่าร่างกายกลับมาฟิตแล้ว พร้อมที่จะกลับไปประกาศข่าวเหมือนเดิม เพราะข่าวที่ออกไป มันก็ไม่ค่อยที่จะถูกต้องเท่าไหร่ จริงๆ แล้วยังไม่ได้ลาออกครับ คือ ตอนนี้พักรักษาตัว แล้วก็จะกลับไปทำงาน เพราะทางที่บ้านก็ได้มีการพูดคุยกับทางผู้ใหญ่อยู่แล้ว ตั้งแต่วันที่ 6กรฎาคม ที่ผ่านมา ประมาณสิงหาคมคงจะกลับไปทำงานยังทำหน้าที่เหมือนเดิมครับ ทั้งข่าวเช้าสุดสัปดาห์ และข่าวเศรษฐกิจไทยพีบีเอสด้วยครับ”

 “ส่วนที่มีข่าวว่าเราขอลาออก แล้วเราจะบินหนีไปอเมริกา คือ ข่าวมันค่อนข้างที่จะสับสน และผิดเยอะ เพราะว่าหลายๆ ท่านเรียนนิเทศศาสตร์ก็รู้วิธีทำข่าว ช่องผมจะอิงมากเรื่องแหล่งข่าวที่ไหนอย่างไร ใครสัมภาษณ์ต้องขึ้นด้วยว่าใคร แต่ไม่เป็นไร ผมยอม ครอบครัวผมยอมเจ็บ ไม่เป็นไรครับ ยืนยันว่ายังอยู่ที่ไทยพีบีเอสครับ ยังลาออกไม่ได้ เพราะที่นี่เป็นงานที่รักจริงๆ ครับ ผมรู้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วครับว่าผู้ใหญ่ให้เรากลับไปทำงานได้ เพราะว่าเรามีการคุยกันตลอดกับที่บ้าน เพราะว่าผมก็พักผ่อนดูแลสุขภาพ”

“จริงๆ ก็ต้องขอโทษสื่อมวลชนด้วย ที่ตอนแรกไมได้ออกมาพูดอะไรเลย หลังที่เห็นว่ามีเหตุการณ์ออกไปแล้ว ข่าวจริงๆ ออกไปผมมีการพูดคุยกันเรียบร้อยดีแล้วครับ เรียบร้อยหมดทุกอย่าง ตอนที่มีข่าาวออกมา ตอนแรกก็ค่อนข้างงงครับ ว่าอะไรยังไงกัน แต่ก็ไม่เป็นไรครับ เข้าใจพี่ๆ สื่อมวลชนทุกคนพยายามหาเรื่อง ช่วงนั้นอาจจะยังไม่มีข่าว เพราะว่าเราก็เป็นสื่อมวลชนด้วยกัน”

เจ้าตัวปัดไม่ขอลงลึกถึงรายละเอียดปมปัญหาที่เกิดขึ้น เหตุผู้ใหญ่ขอไว้

“จริงๆ ผู้ใหญ่ทางช่องได้ขอไว้ครับ เขาอยากให้จบดีกว่า อยากให้อยู่เงียบๆ ดีกว่า เพราะว่ามันไม่มีอะไรแล้ว ว่าเราคุยกันหมดทุกคนแล้ว ทุกคนก็โอเค ผมก็ยอมรับ ผมยอมเจ็บครับไม่เป็นไร เรื่องคดีไม่มีอะไรครับ ทุกอย่างเรียบร้อย เป็นเรื่องของผู้ใหญ่ครับ เรียบร้อยครับ”
 
เมื่อแย็บถามว่า ตั้งแต่มีข่าวทางฝ่ายของผู้หญิงติดต่อมาบ้างไหม? เจ้าตัวก็บอกเพียงว่า..
“ตอนนี้ไม่มีอะไรแล้วครับ ตอนนี้โอเคแล้วครับ แล้วอย่างแรกก็ได้ทำงาน เราก็สบายๆ ไม่ติดใจเอาความ สบายๆ ครับ จริงๆ อยากทำงานมากกว่าครับ ไม่มีการฟ้องร้อง ขึ้นศาลอะไรครับ ไม่มีอะไรเลย (เราทำงานต่อ ไม่ได้ลาออกแล้วอีกฝ่ายล่ะ?) ทางนู้นไม่ทราบเลยครับ ไม่ได้ติดต่อเลย เพราะว่าจริงๆ ผมก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์เลยจริงๆ เพราะว่าค่อนข้างที่จะพักรักษาตัว ต้องการสงบ แล้วก็เพิ่งจะบวชสึกมาด้วย ส่วนใหญ่เวลาว่างพระอาจารย์ที่คอยสอน จะให้นั่งสมาธิปฏิบัติธรรมอย่างเดียวเท่านั้น ก็เลยไม่ได้สนใจ ไม่ได้ทำอะไรเลย”

หลังจากสึกออกมามีคุยกันมั้ย?
“ไปบวชหนึ่งเดือน หลังจากสึกออกมา ผมก็ยังทำเหมือนเดิมครับ เพื่อนๆ ในช่องก็ยังเห็นอยู่ว่าผมปฏิบัติ ไปถ่ายรายการด้วยกันเพื่อนๆ ในช่องนั่งอยู่บนรถตู้ด้วยกัน ผมยังนั่งข้างหลัง ไม่นั่งข้างผู้หญิง คือถึงแม้ว่าเราเป็นฆราวาสแล้ว เราก็ยังปฏิบัติได้เหมือนเดิม”
 
ทำไมถึงตัดสินใจบวชเร็ว?
“จริงๆ จะบวชตั้งแต่ปีที่แล้ว เพราะเราไปที่พม่า 10 กว่าวัน แล้วเราได้เห็น ความศรัทธาในพระพุทธศาสนาต่อพม่า แล้วจริงๆ บอกกับคุณแม่ว่าจะบวชตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ว่าติดน้ำท่วม ติดเรื่องงานหลายเรื่อง มีหมายไปต่างประเทศ ไปเยอรมันไปทำข่าวด้วย เลยไม่ได้บวช”

“แต่ไม่ได้เป็นการบวชล้างเคราะห์ จริงๆ แล้วเป็นการบวชให้คุณแม่มากกว่า เป็นลูกคนเล็กด้วยพี่ชายก็บวชไปแล้ว เราก็เลยอยากจะทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ก็เลยปฏิบัติด้วยการปฏิบัติธรรม ด้วยการปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างเต็มที่ นั่นคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุดที่พระพุทธเจ้าท่านได้ให้เรานำมาปฏิบัติ นับถือเป็นศาสนาครับ”
 
ข่าวออกมาถึงขนาดทะเลาะแทงกัน กลัวมันจะทำลายภาพลักษณ์ผู้ประกาศข่าวทำให้เราไม่น่าเชื่อถือ?
“ไม่เป็นไรครับ มันผ่านไปแล้ว มันเป็นอดีต ปัจจุบันเราทำให้ดีที่สุดดีกว่า แล้วสุดท้ายเราทำงาน เรารักในอาชีพที่ทำ เราทำความรู้ทำปฏิบัติสิ่งที่เราถือว่า ฆราวาส5 ข้อ ถือให้ได้แค่นี้ก็จะมีความสุขแล้วครับ”
 
“เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีผลกระทบต่อการทำงานครั้งต่อไปครับ เพราะว่าทางผู้ใหญ่ในช่องพี่จบ รอง ผอ.ผู้อำนวยการทางไทยพีบีเอสก็ยืนยัน หลายๆ ฝ่ายได้พูดคุยกันแล้วว่าไม่เป็นไร เรายังได้ทำงานเหมือนเดิม แต่ว่าพักก่อน พักผ่อนให้แข็งแรงก่อน แล้วค่อยกลับมา”
 
ที่ไม่พูดวันนี้อาจจะทำให้เรื่องดูคลุมเครือ?
“ไม่หรอกครับผมว่า ผมแข็งแรงก็พอแล้วครับ อยู่กับปัจจุบันดีที่สุดครับ”
 
เลี่ยงตอบไม่ตรงคำถาม เมื่อถูกถามว่า คู่กรณีได้แสดงความรับผิดชอบอะไรมาหรือไม่?
“ผมก็ไม่ได้ใช้โทรศัพท์เลย ผมค่อนข้างป่วยเลยไม่ได้ใช้ มันค่อนเจ็บเลยไม่ได้ใช้อะไร ทางฝั่งนู้นจะเป็นยังไงบ้าง ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ (จะขอเคลียร์ส่วนตัวมั้ย?) ที่ช่องขอไว้นะครับ ก็เลยต้องปฏิบัติตามหน้าที่ เดี๋ยวไม่ได้ เพราะผู้ใหญ่ทางช่องขอไว้ ผมเลยพูดไม่ได้”

สรุปเป็นเรื่องหึงหวงใช่มั้ย?
“เอ่อ อันนี้ไม่ใช่หรอกครับ ไม่มีอะไหรอกครับ ก็ไม่มีอะไรครับ”
 
มีข่าวว่าฝ่ายหญิงท้อง?
“โอ้... อันนี้ไม่ทราบเลยครับ เพราะว่าผมไปบวชมา ผมไม่รู้เลยครับ ผมไม่รู้อะไรจริงๆ บวชธรรมดาก็ให้ใช้โทรศัพท์ดูทีวี แต่ที่นั่นห้ามทุกอย่าง จะได้ถือทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ปฏิบัติจริงๆ เราเลยไม่รู้เหมือนกัน”
 
การบอกว่าเรายอมเจ็บ อาจทำให้คนมองว่าเป็นการพูดกระทบกระทั่งฝ่ายหญิง ไม่กลัวอีกฝ่ายออกมาพูดบ้างหรือ?
“ไม่เป็นไรครับ แล้วแต่เลยครับ เราไม่ได้แดกดัน เพราะข่าวมันก็ผิดหลายๆ คนอาจจะตีความที่แตกต่างกันไป แล้วแต่มุมมองเพราะเราไปห้ามความคิดใครไม่ได้ แต่ทางที่ดีเราทำดีก็พอ”
 
ไม่อยากให้สังคมรับทราบความจริงหรือ?
“ไม่เป็นไรครับ ลองดู ลองพิจารณาดูว่า ถ้าความคิดมันเกิดจากหลายๆ เรื่อง เกิดจากที่ข้อมูลที่เราได้รับ แต่ผมว่าจริงๆ แล้วเราก็รู้อยู่แล้วว่าความจริงคืออะไร ผมว่าอันนั้นมันสำคัญกว่า แล้วเราพูดดี ทำดีคิดดี รักษาศีล 5 แค่นี้พอแล้ว”
 
จะบอกว่าเหตุการณ์ไม่ได้รุนแรงตามข่าว?
“แล้วแต่วิจารณญาณครับ”
 
มาอ่านข่าวย้อนหลัง ตอนออกจากโรงพยาบาลแล้วรู้สึกยังไง?
“ผมว่าความคิดคนก็คือคนที่มองอยู่ข้างนอก แต่แตกต่างไปจากข้อมูลที่มีครับ เขาไม่รู้ดีเท่าคนที่ใกล้ตัว คนที่อยู่กับเรา”
 
แต่ข่าวบอกว่าเราคบกันแล้วขอเลิก เลยทำให้ฝ่ายหญิงโมโห?
“ไม่หรอกครับๆๆ ไม่ได้มีอะไร ก็สนิทกันครับ เพราะว่าเราทำงานอยู่ที่เดียวกัน เป็นเพื่อนๆ กันหมดที่ทำงาน มีเพื่อนสนิทบ้าง เพราะผมก็มีเพื่อนสนิทผู้หญิงค่อนข้างเยอะ เพราะก็เป็นเพื่อนกัน แล้วเวลาทำข่าวก็จะมีสัมภาษณ์กัน ความสำเร็จของคนในปัจจุบัน วัยรุ่นความสำเร็จจะมีอยู่สองอย่าง ก็คือเพื่อนกับการเรียนรู้ พี่ๆ เวลามีอะไรก็ช่วยๆ กันดึงกันไปทำงาน เราก็เหมือนกันครับ มีอะไรเราก็ช่วยๆ กัน เลี้ยงชีพชอบ เราก็จะมีสัมมาอาชีพชอบ เราก็จะได้ไม่ต้องไปโกงใคร เพื่อนจะช่วยเราได้ พอมีโปรเจกต์อะไรใหม่ๆ เราก็ดึงกันเข้าไปช่วยได้ มันเป็นสิทธิ์ของหน้าที่ที่เราต้องมีเพื่อนเยอะ เป็นเพื่อนร่วมงานที่สนิท เพราะว่าเราอยู่โต๊ะเดียวกัน มีหัวหน้าเดียวกัน”
 
ข่าวออกมาว่าเป็นแฟนกัน?
“ไม่มีอะไรหรอกครับ เดี๋ยวผู้ใหญ่จะติเอา”

 ปฏิเสธหนีงานหมั้นจนฝ่ายหญิงโกรธ
“ไม่หรอกครับ ไม่ใช่หรอกครับ ไม่มีอะไรครับ ผู้ใหญ่ทางช่องขอไว้จริงๆ เนอะ ถ้าเกิดมีอะไรที่พูดได้ก็จะพูด ขอพูดเท่านี้ดีกว่าผู้ใหญ่ทางช่องขอไว้ครับ (สามารถพูดหรือเล่าอะไรได้บ้าง?) ก็ทางผู้ใหญ่ขอไว้เนอะ ท่านเลือกเราให้ทำงานด้วย เราก็เลยอยากให้ความเคารพตรงนี้ เพราะผู้ใหญ่ก็เป็นผู้ใหญ่ที่เรานับถือ ท่านสอนเรามาให้มีวันนี้ได้”

เราจะกลับไปทำงานอีก แล้วถ้าต้องเจอกัน?
“อ๋อไม่เป็นไรครับ ธรรมดา ธรรมชาติ ปล่อยวาง เราต้องปล่อยวาง เรื่องเหตุการณ์ซ้ำสอง ไม่หรอกครับ ผมว่ามันอยู่ที่ใจเรามากกว่าครับ ผมเฉยๆ ผมสามารถร่วมงานกันได้ทุกคนครับ ไม่ว่าจะเป็นใครชอบไม่ชอบ รักเราหรือไม่ชอบเรา เพราะจริงๆ เราก็ไปห้ามความรู้สึกคนไม่ได้ครับ เราต้องดูใจของเราครับ”
 
แล้วเท่าที่ทราบฝ่ายหญิงกลับมาทำงานกับเราหรือเปล่า?
“เห็นผู้ใหญ่บอกว่าน่าจะนะครับ ก็เป็นธรรมดาปกติ ผู้ใหญ่โอเค ผู้ใหญ่เข้าใจทุกอย่าง ผู้ใหญ่โอเคมากๆ ผู้ใหญ่น่ารัก”
 
เจอกันแล้วโอเคมั้ย?
“ผมว่าร่างกายก็เหมือนใจครับ เราก็รักษาร่างกายของเรา และใจของเราไปให้อยู่ในที่สูง ให้บริสุทธิ์ดีกว่า”
 
 สำหรับบทเรียนที่ได้รับจากเหตุการณ์ครั้งนี้ เจ้าตัวบอกว่า...
“มันทำให้เราเห็นว่า วันนี้เราอาจจะหลงในวงการบันเทิงอะไรต่างๆ เราอาจจะหลงยึดติดกับสิ่งที่เรามีตัวตน แต่สุดท้ายแล้วเราไม่มีตัวตนครับ ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา อะไรที่ไม่ใช่ของเราเลยให้วางไว้ เพราะว่าเราเอาไปไม่ได้ เราเอาความดีไปได้อย่างเดียวครับ เพราะฉะนั้นเราปฏิบัติดี ดีกว่าครับ”
 


กำลังโหลดความคิดเห็น