ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา หนังใหม่เข้าโรงบ้านเรานั้นถือว่าไม่ค่อยมีอะไรน่าตื่นตาตื่นใจเท่าไรนัก ผมจึงขออนุญาตหยุดพักจากหนังโรงสักหนึ่งอาทิตย์ขณะรอการมาถึงของไอ้แมงมุมรีบู๊ตใหม่ใน The Amazing Spider-Man เพื่อแนะนำซีรี่ย์หรือ “หนังทีวี” เรื่องหนึ่งซึ่งทำให้ผมต้องอดตาหลับขับตานอนต่อกันหลายวัน เพราะความสนุกสนานและน่าติดตามของเนื้อเรื่องจนหลับไม่ลง เบื้องต้น บอกก่อนครับว่า ซีรี่ย์เรื่องนี้ได้คะแนนจากเว็บ Imdb ซึ่งเป็นเว็บหนังระดับโลก มากถึง 9.4 เต็ม 10 คะแนน!!
อันที่จริง ตอนแรก กะว่าจะเขียนถึง The Walking Dead ซีรีย์ซอมบี้ที่ถือว่ายอดเยี่ยมอีกเรื่องหนึ่ง ด้วยการดำเนินเรื่อง บท ตลอดจนเนื้อหาอันเข้มข้น กระทั่งทำให้หลายคนจดจ่อรอคอยว่าเมื่อไหร่ ซีซั่นที่สามจะออกมาเสียที อย่างไรก็ดี พอได้ดู Game of Thrones แล้ว เรื่องราวของมันก็ดูจะวนๆ เวียนๆ อยู่ในหัวจนไม่พูดถึงไม่ได้
Game of Thrones นั้นออกฉายเป็นตอนๆ ทางช่อง HBO เนื้อเรื่องของมันสร้างมาจากนวนิยายชุด A Song of Ice and Fire ของ “จอร์จ อาร์.อาร์. มาร์ติน” ซึ่งใช้รูปแบบของความเป็นแฟนตาซีผจญภัยผสมผสานเข้ากับอารมณ์ดราม่าเพื่อเล่าเรื่องราวการแย่งชิงบัลลังก์ความเป็นใหญ่ในอาณาจักรโบราณแห่งหนึ่ง หนังสือชุดนี้ได้รับการแปลไปแล้วกว่า 20 ภาษาทั่วโลก (สำหรับบ้านเรา แว่วๆ มาว่าฉบับแปลไทยน่าจะออกราวๆ ปลายปีนี้) และดำเนินมาจนถึงเล่มที่ห้าแล้ว อย่างไรก็ตาม กล่าวสำหรับฉบับที่เป็นซีรี่ย์ ตอนนี้ มีให้ดูในรูปแบบดีวีดีแล้วสองซีซั่น
ความมหัศจรรย์ของซีรี่ย์ (รวมทั้งหนังสือ) เรื่องนี้ อยู่ที่โครงสร้างอันมหึมาระดับมหากาพย์ของตัวเรื่อง โดยตั้งสมมติว่ามีดินแดนโบราณนามว่าเวสเทอรอสอันประกอบไปด้วย 7 อาณาจักรใหญ่ซึ่งแต่ละอาณาจักรก็ปกครองโดย 7 ตระกูลสำคัญ ปฐมบทของเรื่องราวเริ่มต้นที่กษัตริย์นามว่า “โรเบิร์ต บาราธอร์น” แห่งคิงส์ แลนดิ้ง อันเปรียบเสมือนเหมือนเมืองหลวงที่อาณาจักรอื่นๆ จะต้องขึ้นตรงต่อพระองค์ และก็เป็นที่แน่นอนว่า ด้วยขนาดพื้นที่ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลและผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย รวมไปจนถึงปมแค้นที่สะสมบ่มเพาะมาแต่กาลก่อน เรื่องที่ว่าจะหลีกเลี่ยงการต่อสู้แย่งชิง ย่อมเป็นไปได้ยาก ดังนั้น ตลอดทั้งเรื่อง เราจะพบว่า สิ่งที่นำพาตัวเรื่องให้ดำเนินไปข้างหน้า ก็คือ สงครามการต่อสู้ชิงชัยของบรรดาผู้นำตระกูลต่างๆ เพื่อที่ว่าตนเองจะได้ก้าวขึ้นมาเป็นใหญ่เหนืออาณาจักรทั้ง 7
เนื้อเรื่องหลักๆ ถูกผลักไปข้างหน้า ด้วยตัวละครสำคัญๆ 3-4 ตระกูล ทั้งตระกูลบาราธอร์นอันนำโดยกษัตริย์โรเบิร์ต, ตระกูลสตาร์คซึ่งมีหัวเรือใหญ่เป็นอดีตผู้ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับกษัตริย์โรเบิร์ตสมัยแย่งชิงราชบัลลังก์, ตระกูลทาร์เกเรียนผู้ตกต่ำเพราะถูกแย่งชิงราชบัลลังก์ และตระกูลเลนนิสเตอร์ซึ่งดูเหมือนว่าจะพยายามอย่างถึงที่สุดเพื่อรอวันที่หวัง แม้จำต้องเก็บกลั้นความขมขื่นเพียงใดก็ตาม แต่ไม่ว่าจะอย่างไร สุดท้ายแล้ว ตัวละครทั้งหมดเหล่านี้ก็ถูกดึงให้เข้ามาร่วมใน Game of Thrones หรือ “สงครามแย่งชิงบัลลังก์” โดยมีเสียงลือเสียงเล่าอ้างอย่างหนึ่งก่อตัวอยู่รอบนอก นั่นก็คือเสียงลือเกี่ยวกับพวกไวท์วอล์คเกอร์ที่ถูกวาดภาพให้ดูเหมือนภูติผีปีศาจที่เพียงเอ่ยชื่อ ทุกคนจะต้องแสดงสีหน้าประหวั่นพรั่นพรึง
สำหรับคนดูหนังหรือละคร เสน่ห์อย่างหนึ่งซึ่งจะดึงดูดให้เราตัดสินใจว่าจะดูหนังหรือละครเรื่องนั้นๆ ต่อไปหรือไม่ก็คือตัวละคร Game of Thrones มีสิ่งนี้พร้อมสรรพ แม้ว่าเนื้อเรื่องจะประกอบไปด้วยกลุ่มก้อนตัวละครที่หลากหลาย แต่ทว่าก็มีการเกลี่ยเวลาและฉากการแสดงให้อย่างเท่าเทียมจนคนดูจะรับรู้ได้ถึงความสำคัญในบทบาทของพวกเขา และที่สำคัญคือมิติเชิงลึกของตัวละครต่างๆ ที่ท้าทายต่อความรู้สึก “รัก-ชอบ-เกลียด-ชัง” ของคนดูผู้ชม เพราะทันทีที่เราอาจจะเผลอชิงชังตัวละครสักตัวเพราะเห็น “กรรมชั่ว” ที่เขาทำ แต่พอผ่านไปสักพัก เราก็อาจจะถูกผลักไปสู่ความรู้สึกแบบใหม่ เมื่อได้รู้เห็น “ที่มาที่ไป” หรือแรงจูงใจในการกระทำของพวกเขา พูดสั้นๆ ก็คือ ตัวละครทุกตัว ไม่ว่าจะเป็นที่รักหรือที่ไม่รัก ล้วนแล้วแต่มีพื้นฐานที่แข็งแกร่งรองรับอยู่
โดยส่วนตัว ผมรู้สึกว่า กลุ่มคนที่น่าจะได้ดูและสนุกกับซีรี่ย์เรื่องนี้ได้ดีที่สุด น่าจะเป็นคนที่สนใจการเมืองการปกครองเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ตัวเรื่องสามารถสะท้อนให้เห็นวิถีแห่งการเมืองได้อย่างเด่นชัด ผ่านตัวละครที่หลากหลายรูปแบบ ทั้งจิตใจดีงามและแพรวพราวด้วยเหลี่ยมเล่ห์กลโกง คนบางคนรักเกียรติหวงแหนศักดิ์ศรียิ่งกว่าชีวิตและยอมสละได้แม้ชีวิตเพื่อดำรงเกียรติและศักดิ์ศรีไว้ แต่ก็มีจำนวนไม่น้อยที่ยอมถอยให้กับความเลว ตวัดลิ้นพันเล่ห์เป็นว่าเล่นเพราะมองเห็นผลประโยชน์ส่วนตนเป็นที่ตั้ง ไม่แตกต่างจากเรื่องราวทางการเมืองในทุกยุคทุกสมัย
กระนั้นก็ตาม ถึงแม้จะไม่ใช่คอการเมือง มันก็ยังจะเป็นซีรีย์ที่ดูสนุกสำหรับคุณอยู่ดี ทั้งนี้เพราะตัวเรื่องที่มีพัฒนาการและทำให้เราติดตามได้ตลอด สอดแทรกไปกับฉากการต่อสู้และสงคราม ถึงแม้ว่า เมื่อพูดกันอย่างถึงที่สุด ซีรี่ย์ชุดนี้มันจะไม่ได้เน้นแอ็กชั่นโครมครามอะไรมาก โดยเฉพาะซีซั่นแรกที่เน้นขายบทและการเดินเรื่องอันน่าตื่นเต้นติดตามมากกว่า นี่ก็สะท้อนให้เห็นว่าถ้าบทดีซะอย่าง ที่เหลือก็ให้อภัยได้ อย่างไรก็ดี แม้จะไม่เน้นแอ็กชั่นมาก แต่พอถึงฉากแอ็กชั่นครั้งใด เป็นอันได้ลุ้นและมันได้ใจไปทุกครั้ง
และบอกไว้ก่อนเลยนะครับว่า ซีรีย์ชิ้นนี้ค่อนข้างโหด ฉากตัดคอ, ฉากฆ่าฟัน อวัยวะเครื่องในกระจัดกระจาย ฯลฯ ถูกนำเสนอให้เห็นกันจะๆ แต่นี่ก็ควรรู้ว่า เป็นความจงใจมาตั้งแต่คนเขียนนิยายแล้วที่ประสงค์ให้มันเป็นนิยายที่สะท้อนความดิบ ความรุนแรง เหนืออื่นใดคือ การเปิดเปลือยเนื้อหนังมังสาของดาราตัวละครตลอดจนฉากเลิฟซีนชนิดที่เรียกได้ว่าโจ่งแจ้ง ถ้าเป็นบ้านเราก็น่าจะกดเรต 18+ บวกขึ้นไปได้เลย
แต่ก็อย่างที่บอกนั่นแหละครับว่า ถ้าคุณสามารถก้าวข้ามรายละเอียดตรงนี้ไปได้ แล้วมองไปที่แก่นแท้เนื้อในของมันจริงๆ หนังทีวีเรื่องนี้จะทำให้คุณจมดิ่งไปกับการตีแผ่ความงดงามและความอัปลักษณ์ของมนุษย์โดยมีการเมืองการปกครองเป็นแบ็กกราวน์ฉากหลัง
บอกกล่าวอย่างเปิดใจครับว่า ตอนแรก ผมก็ไม่กระหายใคร่ดูซีรีย์เรื่องนี้เท่าไรนัก แต่ดูแล้วกลับติดจนหยุดไม่ได้ และที่ไม่อยากดูในตอนแรกก็เพราะคิดว่ามันคงไม่ต่างไปจากละครจักรๆ วงศ์ๆ ของบ้านเรา ซึ่งก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะว่ากันโดยสัดส่วนเนื้อเรื่องและรายละเอียดด้านตัวละครก็ชวนให้นึกถึงอะไรแบบนั้นอยู่ อย่างเช่น ชะตากรรมของเจ้าหญิงองค์น้อยในเรื่องอย่างอาร์ย่า ก็ดูคล้ายกับเจ้าหญิงตกยากสักองค์ในละครจักรๆ วงศ์ๆ วันหยุด นั่นยังไม่ต้องพูดถึงพวกสัตว์ประหลาด ก็มีให้เห็นในละครแบบที่ว่าของบ้านเรา ผมยังคิดนะครับว่า ถ้าละครพีเรียดย้อนยุคที่แต่งองค์ทรงเครื่องเหมือนลิเกอย่าง Game of Thrones ขายได้ในอเมริกา ละครจักรๆ วงศ์ๆ บ้านเราก็น่าจะขายได้ในบ้านเขาด้วย หรือเปล่า?
อย่างไรก็ตาม แม้จะรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องแฟนตาซีย้อนยุคและมีกลิ่นอายบรรยากาศที่หนักไปทางโบราณค่อนข้างเยอะ แต่โดยเนื้อหาแล้ว มันไม่เคย “ตกยุค” แต่อย่างใด เพราะไม่ว่ายุคก่อนหรือยุคนี้ สิ่งที่เราได้เห็นใน Game of Thrones ก็จะยังมีให้เห็นและเป็นจริงไปทุกยุคทุกสมัย และบางที เกิดใหม่อีกร้อยชาติ สิ่งเหล่านี้ก็น่าจะยังไม่หมดสิ้น