“ปลื้ม สุรบถ” ลูกชาย “ชวน หลีกภัย” เผยถึงความฝันการเป็นนักการเมือง ว่า ยังห่างไกล เพราะการเมืองตอนนี้มีแต่วงจรอุบาทว์ สกปรก ถ้าต้องเข้าไปอยู่ในวังวนเก่าๆ ขอไปเป็นคนกวาดถนนดีกว่า ลั่นถึงเป็นลูกนักการเมือง แต่ก็ไม่ได้แปลว่าอยู่พรรคเดียวกับพ่อ ไม่คิดจะเดินตามรอยพ่อ
เห็น “โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร” ออกมาชักดิ้นชักงอ ตอบโต้พรรคประชาธิปัตย์ ที่ดาหน้าขึ้นเวทีแฉแหลกถึง พ.ร.บ.ปรองดอง ที่แฝงซ่อนเร้นการอภัยโทษให้กับ “ทักษิณ ชินวัตร” แล้วก็อดคิดถึง “ปลื้ม สุรบท หลีกภัย” ไม่ได้ ที่ครั้งหนึ่งปลื้มก็เคยมีพฤติกรรมแบบโอ๊ค เห็นใครมาวิพากษ์วิจารณ์ “ชวน หลีกภัย” ผู้เป็นพ่อไม่ได้ ปลื้มจะต้องออกมาตอบโต้ด้วยวาจาที่เผ็ดร้อน จนได้ฉายา “มีดโกนน้อย”
แต่นั่นเป็นพฤติกรรมของปลื้มในวัยเด็ก ต่างกับโอ๊คในวัย 30 กว่าที่ยังเต้นแร้งเต้นกาอยู่บนโลกไซเบอร์ แสดงความคิดเห็นฟาดฟันกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ออกมาตั้งเวทีปราศรัยเปิดโปง พ.ร.บ.ปรองดอง ทั้งที่เสื้อแดงก็ชอบตั้งเวทีปราศรัยในลักษณะดังกล่าวเช่นกัน
งานนี้โอ๊คฟาดงวงฟาดงาไปทั่ว ทั้งประชาธิปัตย์ ไม่ว่าจะเป็น อภิสิทธิ์ เวชาชีวะ, ชวน หลีกภัย,สุเทพ เทือกสุบรรณ โดยเฉพาะ “ชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต” โฆษกประชาธิปัตย์โดนหนักสุด ถึงขั้นขึ้นเฟซบุ๊กประชดประชัน “พ่อมึงตายเหรอชวนนท์” ตอบโต้กรณีชวนนท์ กล่าวว่า โอ๊คทำปิตุฆาตพ่อตนเอง ที่ออกมาบอกว่า ทักษิณรวย 6 หมื่นล้าน ตั้งแต่ก่อนเล่นการเมือง แต่ในความเป็นจริงกลับแสดงทรัพย์สินแค่หมื่นล้านเท่านั้น
นี่ถ้าเป็นปลื้มในวัยละอ่อนแล้วต้องมาเจอแบบโอ๊คในวันนี้ ก็คงจะออกมากวัดแกว่งใบมีดโกนน้อยเข้าให้แล้ว แต่สำหรับปลื้มในวันนี้กลับนิ่งขึ้น เพราะเบื่อกับวงจรอุบาทว์ของนักการเมืองที่สกปรก มักสร้างแต่ปัญหา ปลื้มจึงหันมาทำรายการ “VRZO” วัยรุ่นออกอากาศผ่านยูทิวบ์ เพื่อที่จะปลูกฝังและเปลี่ยนแปลงวัยรุ่นให้เป็นไปในทางที่ดี และเมื่อไหร่ที่การเมืองน้ำเก่าหมดไป ปลื้มจะกลับมาเล่นการเมืองตามที่ตัวเองตั้งใจเอาไว้
“ตอนนี้ผมทำรายการของตัวเองอยู่ชื่อ วีอาร์โซ ทางยูทิวบ์ เป็นรายการวัยรุ่นที่ได้รับโหวตเป็นอันดับ 1 ของเมืองไทยทางอินเทอร์เน็ต ยอดวิวเกือบจะ 60 ล้าน รายการก็จะพูดถึงประเด็นสังคมในปัจจุบันทุกอย่างที่เป็นปัญหาวัยรุ่น ที่ไม่เกี่ยวกับการเมือง จริงๆ ก็มีรายการอื่นมาเชิญไปเป็นพิธีกรเยอะมากนะ แต่ผมก็จะบอกไปตามตรงว่า ผมไม่ว่างจริงๆ เพราะแค่เป็นพิธีกรรายการตัวเองก็ยุ่งมากแล้ว”
“ถามว่า สนใจเอามาลงฟรีทีวีมั้ย ก็ไม่ครับ จริงๆ ก็มีหลายช่องที่ให้ความสนใจ แต่เราก็ปฏิเสธไป เพราะเราอยากทำลงยูทิวบ์ เพราะอยากจะทำอะไรที่เป็นความคิดของตัวเองจริงๆ ถ้าอยู่ในฟรีทีวีข้อจำกัดจะเยอะ เดี๋ยวจะเสียเนื้อหารายการ เพราะรายการเราเป็นรายการที่ตรงไปตรงมา”
“อีกอย่างผมไม่ได้สนใจอยากจะเข้าวงการบันเทิงด้วย ที่ทำนี่ทำเพื่อความสนุกของตัวเอง ผมไม่เคยคิดจะเป็นดาราแม้แต่นิดเดียว ผมคิดว่าผมไม่สามารถเป็นดาราได้ เพราะผมไม่ถนัดที่จะไปเป็นคนอื่น ถ้าให้เป็นพิธีกรรายการตัวเองหรืองานอีเว้นต์ผมโอเค แต่ถ้าไปเป็นคนอื่น ผมไม่เอา”
บอกยังคงชื่นชอบในเรื่องการเมืองและเป็นสิ่งที่ถนัดที่สุด ลั่นโอกาสเหมาะตนลงสมัครการเมืองแน่นอน แต่เป็นในฐานะนักรัฐศาสตร์ไม่ใช่นักการเมือง
“เรื่องการเมืองเป็นสิ่งที่ผมสนใจมาตลอดครับ เป็นความถนัดที่สุดของผม ยังไงก็เป็นการเมือง แต่ผมเกลียดการเมือง เพราะการเมืองคือการทำอะไรก็ได้ที่เป็นผลประโยชน์กับตัวเองหรือกลุ่มพวกพ้อง ผมรักในรัฐศาสตร์ ผมชอบในรัฐศาสตร์ ผมอยากจะเป็นนักการเมืองที่ทำเพื่อรัฐศาสตร์ เพราะรัฐศาตร์คือการทำอะไรก็ได้ที่ทำให้บ้านเมือง หรือชุมชนของตัวเองดีขึ้น”
“แต่อย่างรายการของผมเอง ผมไม่เอาเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องนะ รายการผมทำเพื่อสังคมวัยรุ่น ผมมองว่า การเมืองสมัยนี้มันสกปรกเกินไป ที่จะนำมาเป็นประเด็นยุ่งกับเรื่องอื่นได้ ถ้าจะทำการเมืองก็ทำรายการการเมืองจ๋าไปเลย อย่าเอาการเมืองมารวมกับธุรกิจ มารวมกับการค้าขาย บันเทิง กีฬา เพราะการเมืองเป็นสิ่งที่เอามารวมกับอย่างอื่นไม่ได้เลย ผมเลยแยกมันออกอย่างชัดเจน”
“อย่างในรายการผม ผมยังไม่เคยแนะนำตัวเองว่า ผมปลื้ม สุรบถ หลีกภัย แต่ผมจะแนะนำตัวเองว่าปลื้มรับหน้าที่ดำเนินรายการ เพราะผมมองว่า การที่ผมนามสกุลนี้ซึ่งเป็นนามสกุลเดียวกับคุณพ่อ ไม่อยากให้มันมีผลกระทบ ผมจึงแยกมันออกมาอย่างชัดเจน”
“คนที่มาดูรายการอย่างเด็กเขาก็จะไม่รู้ว่าผมเป็นใคร เขาก็จะเรียกกันว่าพี่ปลื้ม วีอาร์โซ แต่ถ้าเป็นผู้ใหญ่ก็จะรู้ว่านี่ไอ้ปลื้ม สุรบถ หลีกภัย แต่เขาก็ไม่ได้อะไรนะจะมีบ้างส่วนน้อย ด้วยความที่รายการเราไม่เคยไปยุ่งกับการเมือง ผมเองไม่คิดจะทำรายการเกี่ยวกับการเมืองเลยนะ เพราะผมมองว่าการเมืองเอามาพูดให้น้ำลายท่วมทุ่งก็ไม่เกิดอะไร”
“ปัญหามันอยู่ที่ตัวนักการเมือง พูดกันให้ตายนักการเมืองก็ไม่เปลี่ยนความคิด ที่ผมมาทำรายการวัยรุ่น เพราะอย่างน้อยการพูดของผมก็ทำให้วัยรุ่นมีการเปลี่ยนแปลงได้ชักจูงเขาได้ ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ต้องอยู่ในกรอบ ในความคิดของเขา ของกฎระเบียนสังคม ผมอยากให้คนอื่นเห็นว่าวัยรุ่นมีความคิดเป็นของตัวเอง”
“ถามผมว่า การเมืองไทยจะเปลี่ยนแปลงได้มั้ย อันนี้คงต้องใช้เวลา การเปลี่ยนแปลงมันเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและยาก ผมมองว่ามันจะต้องช่วยกันทุกฝ่าย มันไม่สามารถจะเกิดได้ข้างเดียว อย่างปรบมือมันปรบข้างเดียวไม่ได้ มันต้องปรบมือ 2 ข้าง แล้วการเมืองมันยิ่งกว่าการปรบมือ 2 ข้าง มันต้องพร้อมๆ กันหลายๆ คู่ ก็เป็นเรื่องที่ยากครับ”
“ในอนาคตผมอยากจะเล่นการเมือง แต่ก็คงต้องดูอนาคตก่อน ถ้าอนาคตผมมีสิทธิ์ที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม หรือเปลี่ยนแปลงอะไรได้ผมจะทำ แต่ถ้าผมต้องเข้าไปอยู่ในกลุ่มของน้ำเก่า ผมต้องเข้าไปอยู่ในวงจรอุบาทว์ ในการทำอะไรที่เป็นสิ่งที่แย่กับประชาชน ผมก็ไม่คิดจะเข้าไป ผมไปเป็นคนกวาดถนนดีกว่า”
วอนอย่าเอาตนไปเหมารวม หรือคิดเป็นตัวตายตัวแทนผู้เป็นพ่อ ในฐานะนักการเมืองพรรคประชาธิปัตย์
“ผมไม่คิดที่จะเจริญรอยตามพ่อของผม คุณพ่อผมอยู่พรรคไหน ก็ไม่ได้แปลว่าผมจะชอบพรรคนั้น ไม่เกี่ยวเลยครับ ผมเป็นหนึ่งคนที่มองเรื่องการเมืองเป็นกลาง ผมเป็นกลางมาก แต่ไม่ใช่ว่าผมจะอยู่ตรงข้ามกับคุณพ่อนะ ผมไม่เคยแยกว่าฝ่ายไหนเป็นฝ่ายไหน ผมเป็นลูกนักการเมือง แต่ไม่ได้แปลว่าผมต้องเป็นนักการเมือง ไม่ได้แปลว่าผมจะต้องชอบพรรคไหน”
“ผมเป็นนักรัฐศาสตร์ ผมอยู่ในหลักของรัฐศาสตร์ ฉะนั้น ผมมองในสิ่งที่ส่วนของตัวเองเท่านั้น เรื่องประสบการณ์ ความรู้ด้านการเมือง ผลเก็บเกี่ยวมันมาตั้งแต่ผมจำความได้ ฉะนั้นทุกอย่างมันสั่งสมเรามาตลอด ก็คงรอจังหวะที่ผมสามารถเข้าไปมีส่วนร่วมได้ แต่ผมไม่คิดเป็นตัวแทนของคุณพ่อ ขอร้องว่าอย่าเอาผมไปร่วมกับคุณพ่อ”
“เพียงแต่ว่าสิ่งที่ผมดูดซับมาจากคุณพ่อ คือ เรื่องคำสอนของความซื่อสัตย์ วาจานี้ไม่ตายแน่นอน ผมจำคำสอนของคุณพ่อผมแทบทุกอย่าง แต่ไม่ใช่ว่าความคิดของผมต้องเหมือนคุณพ่อนะ เพียงแต่คำสอน ผมมองว่ามันถูกต้อง แล้วผมนับถือคำสอนนั้นผมจึงจำเอามาหมด”
ลั่นพอโตแล้วไม่คิดจะออกมาตอบโต้ หากมีใครมากล่าวว่าพ่อของตน มองเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่ควรมีข้อมูลที่แน่นและตรงประเด็น ส่วนตนนั้นขอเลือกไม่ออกมาแสดงความคิดเห็นเหมือนที่ผ่านๆ มาดีกว่า
“ใครจะพูดอะไรก็ได้ ผมมองว่า มันเป็นสิทธิ์ส่วนบุคคล แต่ก็ต้องเคารพอีกฝ่ายนึงด้วย จะพูดอะไรก็พูดได้ แล้วก็ต้องดูด้วยว่าที่พูดนี่ข้อมูลแน่นรึเปล่า เป็นความจริงมั้ย หรือเรื่องที่พูดทำให้ใครเสียหายรึเปล่า ไม่ได้ยกตัวอย่างเรื่องพี่โอ๊ค (พานทองแท้ ชินวัตร) กับคุณพ่อนะครับ ผมแค่อยากจะบอกว่า การจะพูดไม่ใช่เรื่องผิด การแสดงความคิดเห็นไม่ใช่เรื่องผิด แต่ต้องตรงประเด็น และตรงไปตรงมาถึงจะถูกต้อง”
“อย่างตอนเด็กๆ ผมอาจจะเป็นนะ ที่เวลาใครมาว่าร้ายคุณพ่อ แล้วผมจะโกรธ แล้วผู้ใหญ่ก็จะมองว่าก้าวร้าว ซึ่งนั้นเป็นสาเหตุที่ผมทำรายการ เพราะผมอยากให้เด็กมีปากมีเสียง ไม่ใช่ว่าพูดอะไรก็มองว่าเป็นการก้าวร้าว ตั้งแต่เด็กมาแล้ว ผมไม่เคยยุ่งเรื่องการเมืองเลยแม้แต่นิดเดียว”
“อย่างที่บอก ตอนเด็กถ้ามีใครมาว่าคุณพ่อเสียๆ หายๆ ไม่ตรงกับความจริง ใส่ร้ายกันหน้าด้านๆ เหมือนเอาสีมาสาดใส่หน้า ผมเป็นลูก ผมฟัง ผมมีความรู้สึก ผมต้องอยากจะออกมาปกป้องคุณพ่อ ในเมื่อคุณพ่อไม่คิดจะออกมาพูดหรือชี้แจงอะไร ผมเชื่อว่าลูกที่เห็นคุณพ่อคุณแม่โดนทำร้าย แล้วยังนั่งอยู่นิ่งๆ ได้ คงไม่ปกติแล้ว ตอนเด็กๆ ผมเป็นแบบนั้นครับ”
“แต่พอผมโตมาอีกจุด มันทำให้ผมรู้ว่า อะไรบางอย่างมันเป็นสิทธิ์ของเขา ที่จะมาเย็บปากห้ามพูดอะไรอย่างนั้น คิดอะไรก็พูดไปเถอะ เพียงแต่ว่าสิ่งที่พูดมันต้องถูกต้อง และตรงประเด็นมากน้อยแค่ไหน พูดมันออกมาแล้ว มันดีมันถูกต้อง ผลก็จะกลับมาสู่ตัวคน ถ้าคุณพูดในสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ผลนั้นก็จะกลับมาเหมือนกัน”