แก้วกลางดง ตอนที่ 25 อวสาน
เช้าวันใหม่ ทรงเผ่านั่งเลือกรูปดอกไม้อยู่ เมียวดีเข้ามามอง
“นายถ่ายเองทั้งหมดเหรอ”
“ใช่...จากที่ต่างๆในโลก รูปนี้เป็นดอกไม้ในทะเลทราย ส่วนรูปนี้ก็จากป่าดงดิบ กลางทวีปแอฟริกา สวยมั้ย”
“สวย...แต่มันไม่ได้กลิ่น สู้ของจริงไม่ได้”
“ก็จริง แต่ถ้ามีคนคิดแบบเธอทั้งหมด คงไม่มีใครมางานแสดงภาพของฉัน แล้วก็ซื้อรูปพวกนี้”
“จะมีคนมาซื้อเหรอนาย ทำไมเขาไม่ไปดูด้วยตัวเองล่ะ”
“ต้องมีซิ เธอรู้มั้ย บางที ภาพถ่ายมันก็บอกความรู้สึกได้เยอะแยะนะโดยที่ไม่ต้องไปดูจริง ๆ ก็ได้”
“เอาอีกแล้ว คนในเมืองนี้คิดแปลก ๆ ชอบใช้โน้นใช้นี่มาแทน แต่คนที่อยู่ตรงหน้า กับไม่ยอมพูด”
ทรงเผ่าวางมือมองหน้าเมียวดีเนิ่นนาน
“บางอย่าง มันก็เป็นเรื่องที่พูดยาก แต่ฉันต้องได้พูดแน่นอน เร็วๆนี้แหละ”
ทรงเผ่าสายตามุ่งมั่น
วงศ์คั้นน้ำส้มเสร็จแล้วเทใส่แก้ว เชอรี่เข้ามาถาม
“ใครมาเหรอค่ะคุณแม่บ้าน”
“คุณหวาน”
“มาทำไมอีก ก็ไหนบอกว่าเลิกกับคุณเผ่าแล้วไง”
“เธอรู้ได้ยังไง”
“โอ๊ย...เรื่องแบบนี้ ถ้าเชอรี่ไม่รู้ซิค่ะแปลก คุณแม่บ้านเชื่อจริงๆ เหรอว่ายายคุณหวานแต่เปลือกเนี่ย จะยอมมาเป็นเพื่อนคุณเผ่ากับคุณเหมียวจริงๆ หนูไม่เชื่อหรอก”
“นั้นมันเรื่องของเขา เราห้ามเขาไม่ได้ เอาไปเสิร์ฟได้แล้ว”
วงศ์ยกแก้วให้เชอรี่ แล้วหันไปทำอย่างอื่น เชอรี่หยิบถาดอย่างเสียไม่ได้แล้วก็คิดได้ แอบเอานิ้วใส่ปากให้เปื้อนน้ำลายแล้วก็เอามาคนในแก้วน้ำส้ม
“นี่สำหรับ ครีมหน้าเด้งที่ให้ฉัน”
เชอรี่สบายใจยกออกไป ไม่รู้ไม่ชี้
เชอรี่ถือแก้วเครื่องดื่มมาให้ อัญชิสายกขึ้นดื่ม
“อืม...สดชื่นดีจังจ๊ะเชอรี่”
“งั้นก็ดื่มให้หมดเลยซิคะ เชอรี่คั้นเองกับมือเลยค่ะ คุณหวาน”
เชอรี่มองอย่างสะใจ หันไปเห็นเห็นเมียวดีจับตาอยู่ ประมาณ ว่าต้องมีอะไรบางอย่างใช่มั้ย เชอรี่ยิ้มให้ไม่รู้ไม่ชี้ ทรงเผ่าหันไปถาม
“คุณหวานมีงานถ่ายภาพให้ผมเหรอครับ”
“ใช่ค่ะ...หวานแอบส่งรูปถ่ายฝีมือคุณเผ่าให้ปิแอร์ดู เขาสนใจมากอยากให้คุณเผ่า บินไปคุยกับเขา เขามีโปรเจคใหญ่ปลายปีนี้นะคะ”
บัวคลี่หันมายุทรงเผ่า
“น่าสนใจนะคะ คุณเผ่า หวานดิวให้แล้วเรียบร้อยแล้ว”
“เมื่อไหรครับ”
“อาทิตย์ค่ะ”
ทรงเผ่าคิดๆ
“อาทิตย์หน้า ตรงกับงานนิทรรศการของผมเสียด้วย”
“แต่ปิแอร์เขาก็ว่างแค่อาทิตย์หน้าเท่านั้นนะคะ เลื่อนไปก่อนไม่ได้หรือค่ะ”
“คงไม่ได้ครับ เพราะผมส่งบัตรเชิญไปแล้ว อีกอย่าง ผมก็ไม่อยากรับงานต่างประเทศอีกแล้ว อยากจะปักหลักจริงๆจังๆเสียที”
ทรงเผ่ามองไปที่เมียวดี อัญชิสามองตาม
ห้องจัดแสดงภาพ เป็นห้องโล่ง ๆ ยังไม่ได้ทำอะไร ยังรกๆอยู่บ้าง เมียวดีช่วยทรงเผ่า ขนลัง ใส่พวกผ้าที่ใช้ตกแต่ง มา...ทรงเผ่ากำลังตอกผ้าติดผนังเป็นระยะ เมียวดีเข้ามาช่วยตอก
“ไอ้ฝรั่งเศส นี่มันอยู่ไหนอ่ะนาย ไกลมากมั้ย”
“ถามทำไม อยากไปเหรอ”
เมียวดีส่ายหน้า
“นายไม่เสียดายเหรอ”
“ไม่ ฉันว่าเมืองไทยก็มีหลายแห่งที่น่าสนใจ”
เมียวดีเห็นด้วย
“จริง ขนาดป่าบ้านเรายังไม่เคยย่ำหมดเลย พ่อบอกว่าถ้าย่ำป่าได้หมดทุกที่ ก็เหมือนกับเรานับเส้นผมตัวเองนั้นแหละ แต่เราคิดว่าเราอยากลองทำดูนะ พรานที่ดีควรทำ”
“ฉันไปด้วยได้มั้ย”
เมียวดีชะงักสะดุดกับคำถามของเขาไปนิด ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ ทำงานต่อ
“นายไม่ได้เป็นพรานจะไปได้ไง”
“เธอก็นำทางให้ฉันซิ อยู่ในป่าคอนกรีตฉันเป็นคนนำทางให้เธอ แต่ที่ป่าเธอ เธอก็ต้องนำทางฉัน ฉันพูดเรื่องจริง ๆ นะเมียวดี”
บัวคลี่กับทนง ถือถุงขนมมาฝาก
“พักก่อนเถอะ เจ้าเผ่า คุณบัวคลี่ แวะซื้อขนมมาฝาก”
ทรงเผ่าวางมือ
“ขอบคุณครับ พ่อ คุณน้า”
บัวคลี่มองไปรอบๆ
“โอ้โห นี่จะทำทุกอย่างด้วยตัวเองเลยหรือคะ คุณเผ่า”
“นี่เป็นงานแสดงครั้งแรกของผม ผมอยากทำทุกอย่างเองนะครับ”
“เข้าใจค่ะ แต่แหม อ้าว...เมียวดี มาเร็ว มาทางขนมกัน”
เมียวดี วางมือ ตั้งท่าจะหยิบเลย แต่บัวคลี่กระแอม เมียวดีเลยมองมือตัวเอง นึกได้
“เราขอไปล้างมือก่อนนะเมียพ่อนาย”
บัวคลี่ยิ้มพอใจ
“ดีมากจ๊ะ”
บัวคลี่หันไปมองโชว์ทุกคนว่าเป็นไง ฝีมือการอบรมของฉัน ทรงเผ่ากับทนงมองหน้ากันแล้วก็ขำๆ
เมียวดีล้างมือเรียบร้อย เดินเข้ามามองซ้ายมองขวาไม่เห็นใคร ก็เช็ดมือเอากลับกางเกง ที่ใส่ เดินเข้าไป แต่ได้ยินเสียงคุยกันก็ชะงัก
“ถ้าคุณเผ่ารับงานของคุณหวานคงดีกว่านี้นะคะ”
ทนงถอนใจ
“ผมคิดว่าเราเลิกพูดเรื่องนี้กันแล้วเสียอีก”
“แหม มันเป็นงานระดับโลกนะคะ พูดแล้วก็ยิ่งเสียดาย คุณหวาน คุณเผ่านะถ้าได้คุณหวานเป็นภรรยา คงก้าวหน้ากว่านี้เยอะ เธอสามารถซับพอร์ทคุณเผ่าได้สบายเลยนะคะ”
ทนงเซ็งๆ
“เด็กเขาเป็นเพื่อนกันแล้ว เพื่อนกันก็ช่วยเหลือกันได้นะ”
“ไม่เหมือนกันหรอกค่ะ คุณพี่ก็รู้...เอาเถอะค่ะ ดิฉันไม่พูดแล้ว”
เมียวดียืนอึ้งไป เหมือนโดนตบหน้า ด้านหลังเมียวดี อัญชิสายืนอยู่ ยิ้มอย่างสะใจ
อัญชิสาชวนเมียวดีมาคุยที่มุมหนึ่งลับตา อัญชิสาพูดหยั่งเชิง
“อย่าไปถือสาคำพูด คุณน้าเลยนะ”
“เราไม่ได้คิดอะไร”
อัญชิสายิ้มเยาะตรงเข้าเป้าทันที
“เราเป็นผู้หญิงด้วยกันทำไมฉันจะดูไม่ออกว่าเธอรู้สึกยังไงกับคุณเผ่า เธอตามเขามาจากป่า จากบ้านของเธอ ผู้หญิงที่ไหนกันที่จะยอมทิ้งถิ่นที่ตัวเองคุ้นเคยมา ถ้าไม่ใช่เพราะชายคนรัก”
เมียวดีอึ้งเพราะอัญชิสาพูดถูก
“ยอมรับเถอะเมียวดี...เหมือนกับที่ฉันยอมรับไง ว่ายังไงฉันก็ยัง รักคุณเผ่า อยู่ และคงเลิกรักไม่ได้เธอเห็นมั้ย”
อัญชิสาเปิดข้อมือให้ดู เห็นเป็นรอยกรีดๆ
“คุณทำอะไรมานะ”
“ฉันบอกเธออย่างไม่อาย ฉันยังเลิกยานรกนั้นไม่ได้”
“คุณมาบอกเราทำไม”
“เมียวดีฉันขอร้องล่ะนะ คืนคุณเผ่าให้ฉันได้มั้ย ไม่มีคุณเผ่า ฉันก็ไม่รู้จะเลิกมันไปได้ยังไง ในเมื่อไม่มีคุณเผ่าแล้ว ฉันจะทำไปเพื่ออะไร”
“ก็เพื่อตัวคุณเองไง เราไม่ต้องทำเพื่อใคร”
เมียวดีเดินออกไป
“ใช่ เธอพูดถูกทั้งหมดมันเป็นแค่ข้ออ้างของฉัน แล้วเธอล่ะ ที่เธอทำกำลังทำอยู่ พยายามเป็นสาวชาวเมือง เธอทำเพื่อใคร ไม่เธอก็ทำเพื่อตัวเองทั้งนั้น หรือเพื่อคุณเผ่า...เด็กสาวชาวป่ากับหนุ่มไฮโซคนเมือง มันเป็นสิ่งแค่เพ้อฝันเท่านั้น ในชีวิตจริงมันไม่มีทาง”
เมียวดีจะเดินออกไป อัญชิสาเดินไปดักหน้า
“กฎของสังคมมีมากมาย ชีวิตของคนที่นี่ ไม่ได้หมายความกินอยู่หลับ นอน แค่หมายถึง หน้าตา และเกียรติยศด้วย ผู้หญิงที่จะยืนเคียงข้างทรงเผ่า จะต้องมีพร้อม แต่เธอไม่มีอะไรซักอย่าง เธอจะเป็นตัวถ่วงเขา เป็นตัวตลกให้ทุกคนหัวเราะเยาะ เธอไม่พร้อมจะเดินไปกับเขาหรอก”
“เราไม่มีเวลาฟังเรื่องไร้สาระพวกนี้ นายรอเราอยู่”
เมียวดีรีบเดินไป
“เธอมันคนเห็นแก่ตัว เมียวดี ถ้าเธอรักคุณเผ่าจริง เธอจะไม่ทำแบบนี้หรอก คนเห็นแก่ตัว”
เมียวดีพยายามไม่ฟัง เดินออกไป ทั้งๆที่จริง หวั่นไหวมาก
เมียวดีเดินกลับมาคิดถึง เหตุการณ์ระหว่างตัวเองกับทรงเผ่า ที่เกิดขึ้น คิดถึงคำพูดของอัญชิสา
"ชีวิตของคนที่นี่ ไม่ได้หมายความกินอยู่หลับ นอน แค่หมายถึง หน้าตา และเกียรติยศด้วย ผู้หญิงที่จะยืนเคียงข้างทรงเผ่า จะต้องมีพร้อม แต่เธอไม่มีอะไรซักอย่าง"
เมียวดีนึกถึงคำพูดของบัวคลี่
‘พูดแล้วก็ยิ่งเสียดาย คุณหวาน คุณเผ่านะถ้าได้คุณหวานเป็นภรรยา คงก้าวหน้ากว่านี้เยอะ เธอสามารถซับพอร์ทคุณเผ่าได้สบายเลยนะคะ’
คำพูดของอัญชิสาแว่บเข้ามาอีก
‘ถ้าเธอรักคุณเผ่าจริง เธอจะไม่ทำแบบนี้หรอก คนเห็นแก่ตัว’
เมียวดีรู้สึกทนไม่ไหวปิดหูวิ่งออกไป ชนกับคนที่ถือกาแฟ เดินมา
“ขอโทษ”
ปรากฏว่าคนที่เธอชนเป็นฝรั่ง โวยวายใหญ่ เมียวดีงงเพราะฟังไม่รู้เรื่อง
“ก็เราขอโทษ จะเอาอย่างไงอีก”
ฝรั่งดึงเมียวดีไว้เพื่อถามทาง เมียวดีคิดว่าจะทำร้ายก็เลยสะบัดแขน พร้อมกับต่อยหน้าไป ฝรั่งล้มไปชนถังขยะคนแถวนั้นเลยหันมาดูเมียวดี กันใหญ่ ผู้หญิงคนหนึ่งมองเมียวดีอย่างไม่พอใจ
“ทำร้ายฝรั่งทำไม”
ผู้หญิงอีกคนโวยใส่
“เขาเป็นนักท่องเที่ยว มาเที่ยวเมืองเรา”
ผู้คนแถวนั้นเข้ามาดู เมียวดีตกอยู่ในวงล้อมโดนสายตา ตำหนิ และประณาม เมียวดียกมือกั้น
“ไม่...อย่ามายุ่งกับเรา”
ทันใดนั้นมีมือมาจับ ไหล่เธอเขย่า
“เมียวดี! นี่ฉันเอง”
เมียวดีเงยหน้าดู เพิ่งเห็นว่าเป็นทรงเผ่า
“นาย!”
เมียวดียืนรออยู่ ทรงเผ่าคุยกับฝรั่ง จับมือเข้าใจกัน ฝรั่งแยกย้าย ไป ทรงเผ่าเดินกลับมาหาเมียวดี
“ฉันเคลียร์เรียบร้อยแล้ว เขาไม่ได้จะทำร้ายเธอ เขาแค่ต้องการจะถามทางเท่านั้นเอง”
เมียวดีหน้าเสีย
“งั้นเหรอ เพราะเราไม่รู้ เราฟังไม่ออก”
เมียวดียิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองไม่เท่าทรงเผ่า
“ฉันอธิบายไปแล้วล่ะ เขาเองก็ไม่รู้ว่าเธอฟังภาษาอังกฤษไม่ออกนะ ไม่มีอะไรแล้ว เรื่องนิดเดียวเท่านั้นเอง”
ทรงเผ่ายิ้มให้อย่างเอ็นดู เมียวดีมองหน้าเขาโผเข้ากอด รู้สึกตัวเองช่างก่อเรื่องและไม่คู่ควร น้ำตาไหลพราก ทรงเผ่าไม่รู้เรื่องรู้ราวคิดว่าเธอกลัว
“กลัวเหรอ ไม่ต้องกลัว ฉันอยู่นี่...”
เมียวดียิ่งกอดแน่น ทรงเผ่ารับรู้ การกอดเป็นอีกอย่างที่รู้สึกดี
ค่ำนั้น...ทรงเผ่ายืนมองดาว ความรู้สึกดี ยังกรุ่นอยู่ ทนงเดินเข้ามาหา
“ดาวเต็มฟ้าเชียวนะ สวยจริงๆ”
“ใช่ครับ พ่อเห็นนั้นมั้ย มีดาวเล็กๆ ซ่อนอยู่ตรงดาวนายพราน เมียวดีบอกผมว่าเป็นดาวประจำตัวเขา”
ทนงมองหน้าลูกชาย รู้สึกอยู่ว่าลูกชักจะยังไง
“งั้นเหรอ...ตื่นเต้นมั้ย พรุ่งนี้ก็จะเปิดงานแล้ว”
“มากครับ เพราะนี่การแสดงภาพครั้งแรกของผม ตั้งแต่ครั้งแรกที่ผมจับกล้องบันทึกภาพต่างๆ ดอกไม้ พรรณไม้ต่าง ๆ...จนถึงภาพที่ผมประทับใจที่สุด”
ทนงแปลกใจ
“มีด้วยเหรอ พ่อไม่ยังรู้”
ทรงเผ่าเขิน
“ผมเก็บไว้เป็นไฮไลท์นะครับ ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่ามันเป็นภาพที่ผม...ชอบมากในชีวิต”
ทนงหันมามองหน้า
“ภาพดอกไม้หายากที่ขึ้นในป่าดงดิบที่ไหนซักแห่งในโลก ใช่มั้ย”
“เปล่าครับ...อีกตั้งหลายชั่วโมงกว่าจะถึงพรุ่งนี้เช้า เช้าแล้วก็ต้องรอจนถึงพิธีเปิด” ทรงเผ่าถอนหายใจ “ผมจะทนไหวมั้ยเนี่ย”
ทนงไม่มองหน้าแต่มองดูดาวแทน
“พิธีมันก็มันก็เป็นเรื่องที่เรากะเกณฑ์เอาเองทั้งนั้น ถ้าแกรู้อยู่แล้วว่ามันสำคัญ จะต้องรอทำไม...”
ทรงเผ่ามองหน้าพ่อ ไม่แน่ใจว่าพูดเป็นนัยหรือรู้อะไรหรือเปล่า ทนงไม่ตอบแต่ยิ้ม ๆ ให้ไปคิดเอาเอง ทรงเผ่าคิดขึ้นได้ ยิ้มอย่างดีใจ
“ขอบคุณครับพ่อ”
ชายหนุ่มโผเข้ามากอดพ่อแล้วรีบวิ่งออกไป
เมียวดีนอนไม่หลับ ทันใดนั้นมีกระดาษก้อนกลมๆถูกขว้างเข้ามาในห้อง เธอรีบออกไปที่หน้าต่างเห็นทรงเผ่าที่คึกมากอยู่ไกล ๆ หันมายิ้มแล้ววิ่งออกไป เมียวดีก้มลงหยิบกระดาษเปิดดู
วันใหม่...ในห้องนิทรรศการ ทรงเผ่ายืนหันหลังมีภาพบนขาตั้งคลุมผ้าเอาไว้ เท้าใครคนหนึ่งก้าวเดินเข้ามา
“ขอโทษนะที่ต้องนัดมาที่นี่ ฉันตื่นเต้นจนนอนไม่หลับนะเลยต้องลุกขึ้นกวนเธอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
ทรงเผ่ารู้แล้วว่าไม่ใช่เสียงเมียวดีหันไป เจออัญชิสา
“คุณหวาน...ทำไมคุณมาที่นี่”
“ไม่สำคัญหรอกค่ะ”
ทรงเผ่างงๆ หวานเดินเข้ามาใกล้ๆไล้ไปตามไหล่ของเขา
“ก็ดีนะคะ ที่คุณเลือกจะเปิดงานนี้ แทนจ็อบที่หวานติดต่อให้ เพราะมันจะเป็นเครดิตให้คุณในวันข้างหน้า ไม่ต้องห่วงค่ะ หวานจะหาจ็อบใหม่ ให้คุณเอง”
“ผมคิดว่าเราคุยเรื่องนี้กันรู้เรื่องแล้วเสียอีก ขอโทษนะ ผมกำลังรอคนอยู่ ถ้าคุณไม่มีธุระอะไร ผมว่าคุณกลับไปเถอะ”
“เมียวดีไม่มาหรอกคะ”
ทรงเผ่าชะงัก
“คุณรู้ได้ยังไง ว่าผมรอเขา”
“ก็เขาเป็นคนบอกหวานเอง เผ่าค่ะ ยอมรับเสียทีเถอะคะ ว่าเรื่องระหว่างคุณกับเมียวดีมันเป็นไปไม่ได้ เด็กนั้นนะ ไม่เหมาะกับคนอย่างคุณ อย่างพวกเรา กับสังคมเมืองอย่างนี้ ปล่อยให้แกกลับไปอยู่ป่าของแกดีแล้ว คุณรู้มั้ยค่ะ ว่าทำไมคุณถึงจองที่นี้ได้อย่างง่ายดาย แถมยังไม่คิดค่าเช่าอีกด้วย”
“เขาเห็นว่างานนี้เป็นงานการกุศล รายได้จะหักเข้ากองทุนรักษาป่าและต้นน้ำ”
“โถเผ่า นี่คุณเชื่อเหรอค่ะ เพราะเจ้าของเป็นเพื่อนกับคุณแม่ต่างหาก หวานเป็นคนบอกเขาเองไม่ให้เก็บค่าใช้ เห็นมั้ยค่ะ ว่าใครคือผู้หญิงที่คุณควรเลือก เราคือคู่ที่เหมาะสมกัน ซึ่งเป็นมาตลอด และก็ต่อๆไปด้วย หวานไม่ถือสาเรื่องเมียวดี ขอให้มันแล้วก็แล้วไป ต่อแต่นี้ไปเราจะมาเริ่มต้นกันใหม่ นะคะ”
ทรงเผ่าชะงัก
“ผมขอบคุณสำหรับน้ำใจที่คุณช่วยเหลือ แต่คุณคงไม่รู้ วัตถุประสงค์จริงๆ ที่ผมต้องการจัดงาน ทั้งหมดเป็นเพราะภาพนี้”
ทรงเผ่าเดินไปดึงผ้าออก เป็นรูปเมียวดีหน้าตามอมแมม ตอนอยู่ในป่า
“นี่เป็นรูปที่ผมชอบมากที่สุดในชีวิต ตั้งแต่ถ่ายภาพมาก เพราะเป็นรูปของคนที่ผมรัก ซึ่งผมอยากแสดงให้ทุกคนได้เห็น”
อัญชิสาอึ้ง
“คุณไม่อายเหรอที่เอายายเด็กชาวป่า หลังเขา มาเชิดชู”
“ผมต้องการเมีย ที่เป็นคู่คิด คู่ยาก รวมทุกข์ รวมสุขกับผม ไม่ใช่เป็นแค่เครื่องประดับ หรือแค่ความเหมาะสมทางสังคม”
อัญชิสาเจ็บจี๊ด ถึงกับทนไม่ได้ ทรงเผ่าเดินออกไป อัญชิสายังพยายามยื้อไว้
“แต่ฉันรักคุณนะ ทรงเผ่า ไม่น้อยไปกว่า...”
ทรงเผ่าสวนทันที
“คุณไม่ได้รักผมหรอก คุณรักหน้าตาของตัวเองต่างหาก”
ทรงเผ่าเดินออกไปจากห้อง ทิ้งให้อัญชิสาร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดอยู่คนเดียว
ทรงเผ่าเปิดห้องเมียวดีผางแต่ปรากฏว่าห้องว่างเปล่า เขาตกใจมาก วงศ์เข้ามา
“คุณเหมียวไปแล้วค่ะ ตั้งแต่เช้ามืด”
ทรงเผ่ามึนไปหมด
“มันต้องไม่ใช่แบบนี้ซิ ผมจะไปตามเขากลับมา”
“จะตามกลับมาทำไมล่ะคะ คุณเหมียวเธอกลับบ้านเธอแล้ว”
“ป้าวงศ์ครับ ผมมีเรื่องจะสารภาพ ป้าจะว่าผมเป็นสมภารกินไก่วัดผมก็ยอม แต่ผมขอไปตามเมียวดี เถอะครับ”
“งั้น ก็รออยู่ทำไม รีบไปซิค่ะ”
ทรงเผ่ายิ้มออก เข้าไปกอดวงศ์ ก่อนจะวิ่งออกไป เชอรี่ออกมาขวางไว้
“หยุด!”
ทรงเผ่าหงุดหงิด
“โอ๊ย...อะไรกันเนี่ย ฉันกำลังรีบ ไปเล่นมุกวันหลังได้มั้ยเชอรี่”
“งั้นสั้นๆ ตรงๆ เลยนะคะ คุณเผ่า ขอเชอรี่ไปด้วยได้มั้ยค่ะ เชอรี่คิดถึงพี่ฟ้าลั่น ฮือ ๆๆๆ”
ทรงเผ่า รีบเดินกึ่งวิ่งออกไปหน้าบ้าน เชอรี่วิ่งตามบอกให้เขารอด้วย ทนงกับบัวคลี่ยืนมองอยู่บนระเบียงบ้าน
“เจ้าเผ่านี่มันไม่ได้เรื่อง ดูซิ ต้องมาวิ่งแจ้นตามเจ้าเหมียวเข้าป่าอีกแล้ว สู้ผมสมัยหนุ่มๆไม่ได้เลย”
“ใช่ค่ะ เพราะคุณพี่เล่นจีบดิฉันตั้งแต่บนเวทีแล้วนี่ค่ะ มาเป็นกรรมการแท้ ๆ”
“อ้าว...จะมาเสียเวลาทำไม ดีเท่าไหร่แล้วที่ผมไม่ปล้ำคุณตั้งแต่ตอนนั้น”
“แน๊”
บัวคลี่ทุบทนงเล่นๆ แก้เขิน คิกๆคักๆกันไป
โปรดติดตามตอนต่อไป
แก้วกลางดง ตอนที่ 25 อวสาน (ต่อ)
ฟ้าลั่นตามไล่จับหมูอยู่ในหมู่บ้าน พลางร้องลั่น
“อีส้ม เอ็งจะหนีไปไหนวะ เล่นตัวจริงๆ”
ฟ้าลั่นกระโดดทุ่มสุดตัว ล้มลุกคลุกคลาน ก่อนจะจับไว้ได้ แล้วเอาหมูขึ้นมาดูอย่างรักใคร่
“แหม น้ำหนักมันกำลังดีจริงๆ หมูสาวแบบนี้เนื้อกำลังแน่น อีส้มเอ๊ย ยอมพลีกายให้พี่เสียเถอะนะ”
ทันใดเหินฟ้าเข้ามาตบหัวฟ้าลั่นจนหัวทิ่ม หมูหลุดมือ
“ไอ้ฟ้าลั่น!เอ๊ย โดนผู้หญิงกรุงเทพหลอก เพี้ยนจนถึงขึ้นเอาหมูเป็นเมียแล้วเหรอวะ”
“เจ้ย เอ็งซิว่ะ ไอ้เหินฟ้า! วิตถารมากกว่าถึงคิดแบบนี้ ข้าจะจับอีส้มมันมาย่างแกล้มเหล้าต่างหาก ไม่ใช้หมูสาว ขืนเอาแก่ๆ หนังก็เหนียวตายชัก”
“อ้าว จะรู้เหรอวะ ก็ข้าเห็นคนที่กลับจากกรุงเทพ มันแปลกๆกันไปหมด ดูอยากเอ็งซิ ใครพูดคำนี้เป็นไม่ได้...เชอรี่...”
ฟ้าลั่นเจ็บที่หน้าอก แล้วลงไปนอนชัก เหินฟ้ารีบเข้ามาจับ
“เห็นมั้ย ยังไม่ทันขาดคำ ลงไปนอนชักดิ้นชักงอทุกที”
“มันแสลงโว้ย ลูกผู้ชายเจ็บครั้งเดียวก็เกินพอ ถ้าเอ็งอยากเป็นเพื่อนกับข้า ก็อย่าพูดคำนี้อีก ข้าไม่ได้ยิน”
ทันใดเสียงเชอรี่ดังขึ้น
“พี่ฟ้าเกลียดเชอรี่ขนาดนั้นเลยเหรอ”
“แน่นอน...เสียงมันคุ้นๆ นะ เมื่อกี้เสียงเอ็งหรือเปล่าล่ะ”
เหินฟ้าส่ายหน้า
“เสียงเชอรี่เองจ๊ะ”
ฟ้าลั่นชะงักหันกลับไป เห็นเชอรี่ยืนอยู่
“พี่ฟ้า...”
“น้องเชอรี่...”
“พี่ฟ้า...”
“น้องเชอรี่…”
เหินฟ้ารำคาญ
“จะเรียกกันอีกนานมั้ย จะทำอะไรก็ทำซิว่ะ ไอ้ฟ้าลั่น ถ้าเอ็งไม่ทำ เดี๋ยวข้าทำเอง...น้องเชอรี่”
เหินฟ้าขยับเตรียมโอบแขน ฟ้าลั่นดึงไว้
“อย่าเสือก! เอ็งจะไปไหนก็ไป!”
ฟ้าลั่นผลักเหินฟ้าออกไป
“พี่ฟ้า”
“เชอรี่”
ทั้งคู่วิ่งถลาเข้าไป ตั้งท่าจะกอดกัน แต่ฟ้าลั่นเบรคเอี๊ยด ค้างไว้
“อย่า อย่าเข้ามา ถึงพี่จะเป็นคนป่าคนดอย แต่พี่ก็เจ็บแล้วจำ! ไม่อยากให้ใครเอาหัวใจพี่ไปย้ำยี้อีกแล้ว!”
ที่น้ำตก...
เมียวดีนั่งเหม่อ ทรงเผ่าก้าวเข้ามาด้านหลัง
“เธอหนีฉันมาทำไม”
เมียวดีลุกขึ้น เดินไปอีกทาง ทรงเผ่าดักไว้ เมียวดีจำต้องหยุดพูด
“ไม่ได้หนีเรากลับมาที่ที่เราควรอยู่ต่างหาก”
“งั้นฉันขอบอก ว่าไม่ใช่ที่นี่แน่นอน”
“ยอมรับเถอะนายว่า เราไม่เหมาะกับป่าเมืองของนาย เราไม่ชอบกฎของป่าเมือง มันวกวน ซับซ้อนเกินไปสำหรับคนอย่างเราคนที่นี่เกลียดก็คือเกลียด ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ”
“รักก็คือรักใช่มั้ย...ฉันก็เหมือนกัน”
เมียวดีอึ้งไป เริ่มใจอ่อน ทรงเผ่าเข้ามาใกล้ จับมือเธอไว้
“กลับไปบ้านกันเถอะเมียวดี เธอยังไม่เห็นรูปถ่ายที่ฉันอยากให้ดูเลยนะ”
เมียวดีใจอ่อนลง แต่แล้วก็ตัดใจ
“เราดูไม่รู้เรื่องหรอก นายควรให้คุณหวานดูมากกว่า”
เมียวดีสะบัดมือออก แล้วกระโดดข้ามหินอย่างรวดเร็ว
“เดี๋ยวซิ”
ทรงเผ่ากระโดดตาม ด้วยความที่ไม่คล่อง ทำให้หงายหลังลื่นตกน้ำ
“โอ๊ย”
เมียวดีหันไปดู จะเข้าไปช่วย แต่ปรากฏว่าเหินฟ้าเข้ามาพอดี
“น้องเมียวดี! มาอยู่นี่เอง พ่อให้มาตาม”
เมียวดีเลยตัดใจ เดินไปกับเหินฟ้าไม่หันกลับมาช่วย
“ ฮื่อ”
ทรงเผ่าได้แต่มองอย่างขัดใจ ฮึดลุกขึ้นมา
“เมียวดี!”
เมียวดีหันกลับมา
“เรามีคนดูแลแล้ว...นายกลับไปเถอะ...”
หน้ากระท่อม...ฟ้าลั่นงอน เชอรี่คุกเข่าขอโทษ
“พี่ฟ้า อย่าทำแบบนี้ซิ เชอรี่รู้ตัวแล้วว่าผิด ถึงได้มาหาพี่ฟ้าอยู่นี่ไง”
“มาหาทำไม ในเมื่อน้องฟ้าไม่เคยรักคนพี่ ใครจะมารักคนป่า เซ่อซ่า อย่างไอ้ฟ้าลั่นจริงๆ เขาหลอกไว้ใช้งานเท่านั้น”
“โธ่ เชอรี่ขอโทษ ก็เชอรี่บอกแล้วไงตอนนั้นเชอรี่พูดไปงั้นเอง เพราะต้องการได้งาน ไม่ได้หมายความอย่างงั้นจริงๆ จะให้ทำยังไงพี่ฟ้าถึงหายโกรธ”
“ไม่รู้ไม่ชี้”
“เอาล่ะ เพื่อเป็นการพิสูจน์ความจริงใจของเชอรี่ เชอรี่จำต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น”
เชอรี่ก้าวเข้าไปหาฟ้าลั่น แล้วก็เป็นฝ่ายก้มลงก้มลงจูบ ฟ้าลั่นตกใจ
“น้องเชอรี่นี่จะทำอะไร”
เชอรี่ดึงมือฟ้าลั่นอย่างแรงเข้ากระท่อมไป ผลักฟ้าลั่นลงบนแคร่ เชอรี่เดินย่างสามขุมเข้าหา
“น้องเชอรี่ อย่านะ อย่าทำแบบนี้นะ ไม่นะ ไม่”
เมื่อเวลาผ่านไป...ฟ้าลั่นนอนถอดเสื้ออยู่บนแคร่ หันหลังให้เชอรี่ที่เป็นฝ่ายค่อยปลอบ เพราะเป็นคนปล้ำ
“เชอรี่จะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดเอง พี่ฟ้าเสียใจแบบนี้เพราะว่าไม่ได้รักเชอรี่เหรอ”
“เปล่าแต่ทำแบบนี้มันผิดผีนะ น้องเชอรี่ เรายัง ไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“เราก็เป็นผัวเมียกันแล้วไง”
“บ้า! น้องเชอรี่ พูดจาออกมาได้เต็มปากเต็มคำ ไม่อายฟ้าดิน”
“ก็เชอรี่พูดจริง พี่ฟ้าบังคับให้เชอรี่ต้องใช้วิธีนี้ คราวนี้พี่ฟ้าเชื่อหรือยังว่าเชอรี่ รักพี่ฟ้าจริง”
ฟ้าลั่นพยักหน้ารับอย่างเขินอาย
“เกือบลืม น้องเชอรี่ตามมาหาพี่ที่หมู่บ้านเจอได้ยังไง”
“เชอรี่ก็ขอตามคุณเผ่ามา คุณเผ่าเลิกกับยายหวานแต่เปลือกแล้ว”
ฟ้าลั่นตาโตอย่างนึกได้
“แม่เจ้า นี่นายก็มาหาอีเมียวงั้นเหรอ งั้นก็แสดงว่า นาย...”
ฟ้าลั่นใช้นิ้วชี้คู่กัน
“อีกระแต...”
เชอรี่พยักหน้า
กลางหมู่บ้าน...ทรงเผ่าเห็นเมียวดี นั่งปิ้งข้าวโพดอยู่กับเหินฟ้า และพ่อเหินฟ้า จึงเดินเข้าไปเรียก
“เมียวดี”
เมียวดีทำเป็นไม่สน
“เมียวดี ที่พูดเมื่อกี้เธอหมายความว่ายังไง”
“ก็ตามที่พูดแหละนาย เรามีคนดูแลแล้ว นายไม่ต้องห่วงเราหรอก กลับไปบ้านนายเถอะ เรากำลังจะแต่งงานกับไอ้เหินฟ้า”
เหินฟ้าที่กำลังยกน้ำกิน ถึงกับน้ำพุ่งออกจากปาก
“น้องเมียว!”
เมียวดีถลึงตาใส่
“ถ้าเอ็งเลี้ยงข้าให้อยู่สุขสบาย ช่วยข้าทำไร่ ทำนา แบ่งข้าวให้ข้าไม่น้อยกว่าเมียคนอื่นของเอ็ง ข้าก็ตกลง”
“โอ๊ย เรื่องนั้นสบายมาก พ่อข้าเป็นหัวหน้าหมู่บ้านเกณฑ์คนมาช่วยเอ็งทำไร่ยังได้เลย จริงมั้ยพ่อ”
เหินฟ้าหันไปถามพ่อ ทรงเผ่าขัดทันที...
“ไม่ได้ ฉันไม่เห็นด้วย เมียวดีเหินฟ้ามีเมียสองคนแล้วนะ เธอจะยอมเป็นเมียน้อยงั้นเหรอ”
เมียวดียักไหล่อย่างไม่แคร์
“จะเป็นไรไป ถ้ามันเลี้ยงเราได้ ก็พอแล้ว”
“เมื่อก่อนตอนตาจั่นตายใหม่ๆ เธอบอกว่าจะอยู่คนเดียว ดูแลตัวเองต่างหาก”
“นั้นมันเมื่อก่อน เราคิดดูใหม่แบบนี้มันก็ดีแล้ว จะต้องลำบากไปทำไม”
ทรงเผ่าพูดไม่ออก เมียวดีหันขยับเข้าไปใกล้เหินฟ้า ควงแขนเหินฟ้าสนิทสนม
“เรามาคุยเรื่องสินสอดดีกว่านะ คนนอกที่ไม่เกี่ยวข้องก็ออกไป”
“น้องเมียวอยากได้อะไร บอกว่าพี่จัดให้ได้เต็มที่”
ทรงเผ่าคอตก กลับไปหาฟ้าลั่น กับเชอรี่ที่กระท่อม เล่าเรื่องเมียวดีให้ฟัง
“คุณเมียวจะเป็นเมียน้อยเหินฟ้า ตายแล้วนี่มันเรื่องจริงเหรอ”
เชรี่โวยวาย ทรงเผ่านั่งเงียบไม่พูดไม่จา
“จริงไม่จริง ก็โจษกันทั้งหมู่บ้านแล้วล่ะน้องเชอรี่” ฟ้าลั่นบอก
“งั้นที่คุณเผ่า อุตส่าห์ดั้งด้นมาตามก็ไม่มีประโยชน์นะซิ พี่ฟ้าไปพูดกับคุณเหมียวหน่อยซิ”
ฟ้าลั่นถอนใจ
“นังกระแตมันตัดสินใจแล้ว ใครก็เปลี่ยนใจมันไม่ได้หรอกน้องเชอรี่”
“โธ่ อุตส่าห์ฝ่าฟันกันมาจากเสือ เอาชีวิตรอดจากพวกโจรขายยามาได้ หลุดจากคุณหวานแต่เปลือกมาได้ กลับต้องมาตกม้าตายกับผู้ชายเตี้ยๆ แถมยัง เจ้าชู้อย่างเหินฟ้าเนี่ยนะ โอ๊ยย คุณเหมียวนะคุณเหมียว”
ฟ้าลั่นหันไปบอกทรงเผ่า
“นายกลับไปดีกว่า อย่าเสียเวลาเลย”
เชอรี่แย้ง...
“กลับก็โง่นะซิ อุ๊ย ขอโทษะคุณเผ่า คือเชอรี่ไม่ได้จะว่าคุณเผ่านะคะ ปากมันพาไปนะคะ”
ทรงเผ่าลุกขึ้นยืน
“เธอพูดถูก กลับไปก็โง่จริงๆ...”
พูดเสร็จแล้วก็คว้าไม้ฟื้นท่อนใหญ่เดินออกไป
“คุณเผ่าจะไปไหนคะ...พี่ฟ้าเอาไงดี ตายแล้วไม้อันขนาดนั้น จะไปมีเรื่องหรือเปล่า”
เชอรี่กังวลใจมาก
เสียงเคาะปังๆๆ จากการเอาไม้ฟื้นตีปีบ เหินฟ้าที่นอนหลับอยู่กับเมียสองคนสะดุ้ง
“แผ่นดินไหว หรือฟ้าผ่ากันเนี่ย”
ทรงเผ่าอยู่ด้านนอก ตะโกนเรียก
“เหินฟ้า ถ้านายเป็นลูกผู้ชายก็พอออกมา”
เหินฟ้าแง้มประตูดู เมียมาหลบอยู่ด้านหลัง
“ออกไปก็ได้ แต่นายต้องทิ้งไม้ก่อน เราไม่ได้ขี้ขลาดนะ แต่เราไม่อยากใช้ความรุนแรง”
ทรงเผ่าโยนไม้ฟื้นทิ้ง
“ฉันไม่ได้มาหาเรื่อง ฉันแค่อยากมาทำความตกลงกับนาย อย่างลูกผู้ชาย”
เหินฟ้าค่อยกล้าออกมา ฟ้าลั่นซึ่งไปตามเมียวดีมาถึงพอดี
“นาย จะทำอะไร”
ทรงเผ่าหันมามองเมียวดี
“เธอมาก็ดีแล้ว เมื่อเธอบอกว่าเธอจะแต่งงานกับเหินฟ้าเพราะเขาสามารถดูแลเธอได้ ทำไร่ได้ ฉันก็จะทำให้ดู... งั้นเรามาแข่งกันมั้ยหาของจากในป่าที่ดีที่สุด”
“เขี้ยวเสือ!” ฟ้าลั่นบอก
“...ถ้าเมียวดีชอบของของใคร คนนั้นชนะ ได้เมียวดีไป ตกลงมั้ย”
“เราไม่ตกลง”
“นี่เป็นกฎที่เธอบอกไม่ใช่เหรอ ว่ากันตรงๆ ใครแข็งแรงที่สุดก็คือผู้ชนะ”
เมียวดีพูดไม่ออก
“ฉันก็เล่นตามกฎของป่าเธอ”
ฟ้าลั่นหันไปถามเหินฟ้า
“ว่าไงไอ้เหินฟ้า เอ็งไม่กล้าละซิ กลัวสู้นายข้าไม่ได้ใช่มั้ย ไอ้หมูฟ้า”
เหินฟ้าหัวเราะ
“โอ๊ย ไอ้ฟ้าลั่นเอ๊ย คนที่ควรจะกลัว คือนายเอ็งมากกว่า ดูจากรูปร่างก็พอบอกได้แล้วใครเหนือกว่า ทั้งรูปร่างหน้าตาข้ากินขาดอยู่แล้ว ไม่งั้นข้าจะเมียตั้งสองคนได้หรือวะ”
เมียทั้งสองพากันพยักหน้า
“ใช่จ๊ะ”
เหินฟ้าพยายามเบ่งกล้ามอวด
“ถ้าข้าจะแพ้ก็แค่ความขาวทั่วนั้นแหละวะ แต่เรื่องเข้าป่า ล่าสัตว์ ขี้ดินมาก น้องเมียวจ๋า เตรียมตัวเป็นเมียพี่ได้เลยนะจ๊ะ”
เหินฟ้ากร่างเต็มที่ เมียวดีสบตากับทรงเผ่าท้าทาย
วันใหม่...กลางหมู่บ้าน...คนตีกลองขึงขัง ชาย 3-4 คน มาเข้าแถวฝั่งเหินฟ้า อาวุธครบมือ ในขณะที่ฝั่งทรงเผ่า มีเพียงเชอรี่กับฟ้าลั่น ส่วนเมียวดียืนอยู่กับพ่อฟ้าลั่น ตรงกลาง
“ขอให้การแข่งขันเป็นไปอย่างยุติธรรม เมียวดีจะเป็นคนตัดสิน เอาล่ะเริ่มได้”
พ่อฟ้าลั่นประกาศ
เหินฟ้าหันมาคุยโอ่
“น้องเมียวจ๋า รอนะจ๊ะ พี่ฟ้าจะไปเอาเขี้ยวไอ้แมวยักษ์ มาอวด”
เมียวดียิ้มรับนิดเดียว
“ชื่นใจจริง...” เหินฟ้าหันไปสั่งลูกน้อง “ถ้าใครเอาล่าไอ้แมวยักษ์ได้ ข้าจะมีรางวัลให้เพิ่ม
อีก”
ทั้งหมดเฮกัน ตามเหินฟ้าไป ฟ้าลั่นยืนปืนยาว เก่าๆให้ทางเผ่า
“ปืนยาวนาย ของพ่อฟ้าลั่นเอง พ่อฟ้าลั่นใช้มา 30 ปีแล้ว”
เชอรี่มองกังวล
“พี่ฟ้าหาที่ดีกว่านี้ไม่ได้เหรอ เก่าขนาดนี้จะยิงออกมั้ย”
“นี่ก็ดีที่สุดเท่าที่หาได้แล้วน้องเชอรี่”
ทรงเผ่ารีบบอก
“ไม่เป็นไร ขอบใจมากฟ้าลั่น”
“ระวังตัวนะนาย”
ทรงเผ่าเดินมาหยุดหน้าเมียวดีสบตากัน แต่ไม่พูดอะไร เมียวดีเมินไม่สนใจ ทรงเผ่าเดินออกไป
ฟ้าลั่นทนไม่ไหวเดินเข้ามาหาเมียว
“ถ้านายเกิดโดนเสือกัดตายล่ะว่ะ อีเมียว คราวนี้ไม่มีเอ็งหรือหรือพรานเก่งๆ อย่างข้าไปด้วยเหมือนคราวก่อนนะ”
เชอรี่เห็นด้วย
“คุณเหมียวเอาความเป็นความตาย มาล้อเล่นแบบนี้ไม่ได้นะคะ”
“เราไม่ใช่คนตั้งกฎการแข่งครั้งนี้ ถ้าใครจะโดนเสือกัดเราคงห้ามไม่ได้”
เมียวดีไม่สนใจ ฟ้าลั่นกับเชอรี่ได้แต่มองตากันปริบ ๆ
ขณะที่ดวงตะวันลดต่ำลง…เชอรี่เดินไปเดินมาอย่างเป็นกังวล เมียวดีกลับดูไม่กังวล เรื่อยๆ เหมือนไม่ใส่ใจ
“ให้ไปดูแค่นี้ ทำไมช้าจัง พี่ฟ้าลั่นเนี่ยไม่ส่งข่าวมาสักที”
เชอรี่หันมาหาเมียวดี
“คุณเหมียว ไม่ทุกข์ร้อนบ้างเหรอค่ะ”
“ไม่ใช่ธุระเราซักหน่อย อยากทำกันเองทั้งนั้น”
“คุณเหมียวคุณเผ่ามาตามคุณแบบนี้ ก็แสดงให้เห็นทุกอย่างแล้วว่ารักคุณ ใจอ่อนเสียทีเถอะค่ะ”เมียวดีอึ้งไปนิด
“มันไม่ใช่เรื่องใจอ่อนหรือใจแข็ง แต่มันเป็นเรื่องที่ควรจะเป็น...คนเราต้องรักษาสัจจะ ไม่งั้นก็ไม่ต่างจากหมา”
“คุณหวานใช่มั้ยค่ะ”
เมียวดีเงียบ เชอรี่หยิบจดหมายมาส่งให้
“มีคนฝากมาให้คุณค่ะ”
เมียวดีมานั่งอ่านจดหมายที่มุมหนึ่งของน้ำตก เป็นจดหมายจ่ากอัญชิสา...
“...ถึงตอนนี้เธอคงรู้แล้วซินะ ว่าการอยู่ในป่าคอนกรีตเป็นยังไง ป่าเมืองถึงจะไม่มีเสือ หรือ สัตว์ร้าย ทุกที่สว่างด้วยแสงไฟทั้งวันทั้งคืน แต่ก็มีสิ่งชั่วร้ายกว่าเป็นร้อยเท่า...ถ้าเธอยังไม่เข็ด ก็กลับมา แล้วก็เอาคุณเผ่าคืนไปด้วย...ฉันไม่ต้องการอีกแล้ว...ป่าที่นี่มันเล็กและน่าเบื่อไปแล้ว ฉันจะไปหาป่าใหม่ที่ใหญ่กว่า เหมาะกับนางพญา อย่างฉัน...”
ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...อัญชิสาซึ่งใส่แว่นตาดำ ออกมานั่งแถลงข่าว มีรำพาอยู่ข้างๆ โดยมีนักข่าวรุมถามถึงเรื่องที่เธออำลาวงการ
ประตูรั้วหน้าบ้านของเธอติดป้าย “ขายด่วน” คล้องเอาไว้ หลังจากให้สัมภาษณ์แล้ว เธอออกจากบ้านมาพร้อมกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ยืนรอแท็กซี่ ขนกระเป๋าขึ้นรถ ขับออกไป เธอแอบขยับแว่นเช็ดน้ำตา แล้วก็หน้าเชิดเหมือนเดิม
“ไปแอร์พอท”
เมียวดีพับจดหมาย ส่ายหน้าเพราะรู้ดีว่าสิ่งที่อัญชิสาบอกคือตรงกันข้าม ยกเว้นเรื่องทรงเผ่า
“...จะป่าไหนก็ต้องสู้ทั้งนั้น แหละ คุณหวาน”
เสียงปืนดัง ปัง ปัง! เมียวดีชะเง้อมอง ชักใจไม่ดีเท่าไหร่ ฟ้าลั่นวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“อีเมียว แย่แล้ว...ไอ้ลาย...มันมาวนเวียนแถวน้ำตกด้านโน่น”
“เสียงปืนเมื่อกี้ใช่มั้ย”
“ฮือ...นาย...อยู่แถวนั้นพอดี ก็เลย...เลย...”
เมียวดีพอจะเอาออกว่าเกินอะไรขึ้น
“นาย!”
เมียวดีไม่ฟังอีกต่อไปแล้ว วิ่งออกไปทันที เชอรี่แอบออกมา ฟ้าลั่นเปลี่ยนอารมณ์เป็นสบายๆทันที
“ทำดีมาก พี่ฟ้านี่เก่งจริง ๆ ตีบทแตกกระจุย”
“ไม่เหมือนได้ไง พี่ฟ้าวิ่งมาตั้งแต่หมู่บ้าน จะได้เหมือนเหนื่อยจริง ๆ”
“โธ่ๆ แบบนี้ ต้องตบรางวัลหน่อยแล้ว”
ฟ้าลั่นยื่นแก้มทันที ให้เชอรี่หอม
เมียวดีวิ่งมาอย่างเป็นห่วง มองหาทรงเผ่า
“นายๆๆๆ”
“เธอตามหาฉันเหรอเมียวดี”
เมียวดีผงะ เมื่อทรงเผ่ามายืนอยู่ข้างหลัง
“นี่นาย ไม่ได้โดน ไอ้แมวยักษ์...นี่...ไอ้ฟ้าลั่น กับนายรวมหัวกันหลอกเรา”
เมียวดีชกมือจะชก แต่ทรงเผ่าหลบทัน แถมโอบเอวเมียวดีไว้
“เสียใจนะ มุกนี้ฉันรู้ทันแล้ว...เป็นห่วงฉันใช่มั้ย”
“ห่วงทำไม เรามาดูไอ้แมวยักษ์ต่างหาก ไหนล่ะ เขี้ยวมัน”
ทรงเผ่าส่ายหน้า
“ฉันไม่เคยรับปากว่าจะเอามาให้ พูดกันเองทั้งนั้น”
“งั้นนาย ก็สู้ไอ้เหินฟ้ามันไม่ได้”
“ฉันไม่จำเป็นต้องแข่ง เพราะฉันชนะมาตั้งแต่แรกแล้ว จำได้มั้ยเธอบอกว่าถ้าฉันฆ่าเสือได้เธอจะเป็นเมียฉัน”
เมียวดีตาโต
“ไอ้แมวยักษ์ มันตกไปในขวางเองต่างหาก”
“แต่ก็เพราะฉันเป็นตัวล่อ”
“เอาความดีเข้าตัวอีกเหมือนเดิม เชอะ ถ้าเราไม่พาไปนายก็ไม่เจอหรอก”
“เราสองคนถึงต้องอยู่ด้วยกันไง”
ทรงเผ่าเอาดอกกล้วยไม้ขาวเล็กที่เหน็บไว้ข้างหลังออกมา
“ฉันหามาให้เธอ...”
เมียวดีตาโต อย่างชอบใจ ทรงเผ่าเด็ดมาทัดหูให้
“ฉันได้เจอเธอ ก็เพราะดอกไม้ป่าพวกนี้ กล้วยไม้ป่าสีขาว ขึ้นอยู่ในป่าลึก กลิ่นหอมอ่อน ๆ ฟุ้งกระจายไปไกล”
“พ่อเก็บมาฝากเราประจำ”
ทรงเผ่ายิ้ม
“ ฉันรู้ตาจั่นก็บอกฉันเสมอว่า กระแตป่าตัวน้อยชอบ...และตั้งแต่นั้นฉันก็หลงรักกลิ่นหอมๆของกล้วยไม้ป่าโดยไม่รู้ตัว...แล้วเธอล่ะรักฉันบ้างมั้ย เมียวดี”
ทรงเผ่าถามตรงๆ โดยที่เมียวดีไม่ทันตั้งตัว
“..พ่อฝากเราไว้กับนายไม่ใช่เหรอ นายรู้ไหม ถ้าฝากไว้กับใคร ผู้หญิงเขาก็ต้องอยู่กับคนนั้น”
ทรงเผ่าอดขำกับคำเลี่ยงของเมียวดีไม่ได้
“รับฝาก กับ รัก ไม่เหมือนกันหรอก... เอางี้ เธออยากแต่งงานกับฉันมั้ย”
เมียวดีชักโมโห
“ถ้าไม่อยากเป็นเมียนาย เราจะตามนายไปกรุงเทพทำไม”
แล้วก็นึกได้รีบหยุด อายอยู่เหมือนกัน
“แบบนี้ซิ ค่อยตอบสมเป็นเมียวดีหน่อย ฮะๆๆๆ”
“ปล่อยเราได้หรือยัง อึดอัด”
“ไม่ได้ เดี๋ยวเธอหนีไปอีก คราวนี้ฉันไม่มีแรงมาตามเธอแล้วนะ”
“ก็ลองไม่ตามซิ”
ทั้งสองคนยืนกอดกันอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสวยงาม อย่างมีความสุข ช่วงเวลาเดียวกันนั้น...
พวกเหินฟ้าเดินอยู่ในป่าสอดส่ายสายตาหาเสือกันอยู่ เสียงเสือ คำรามก้อง เหินฟ้ากับพวกมองหน้ากัน เหมือนยังไม่แน่ใจ
เมียวดีที่แกล้งทำเสียงเสือ ร้องขู่ขึ้นมาอีกที คราวนี้ พวกเหินฟ้าพร้อมใจกันวิ่งหางจุกตูด
เมียวดี กับทรงเผ่า แอบหัวเราะคิกคักที่แกล้งเหินฟ้าสำเร็จ
จบบริบูรณ์