กลายเป็นประเด็นขึ้นมาทันที สำหรับการโพสต์ข้อความระบายความในใจผ่านทวิตเตอร์ตัวเองด้วยข้อความทำนอง “ติติง” ไปยังบรรดาแฟนคลับพระเอกฮอตสุดคูล “ณเดชน์ คูกิมิยะ” ของ “ยุทธนา ลอพันธุ์ไพบูลย์” หรือที่คนในวงการบันเทิงเรียกกันอย่างติดปากว่า “ป้าแจ๋ว”
นอกจากจะให้เหตุผลของการโพสต์ ว่า เป็นเพราะการตามไปเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นของเหล่าแฟนคลับ จะทำให้ทีมถ่ายทำของกองละคร “ธรณีนี่นี้ใครครอง” ที่ตนรับหน้าที่กำกับอยู่ มีปัญหาแล้ว ผู้กำกับชื่อดังยังบอกด้วยว่า ข้อความที่โพสต์ไปนั้น ถือเป็นการระบายความรู้สึกแทน “ณเดชน์” รวมไปถึงดาราคนอื่นๆ ที่ไม่อาจจะปริปากบอกถึงเรื่องทำนองนี้ได้ด้วยตนเองอีกต่างหาก
“...ที่เราโพสต์ลงในทวิตเตอร์ เนื่องจากมีความเข้าใจในตัวณเดชน์ ว่า อยู่ในสถานะที่พูดอะไรไม่ได้ เนื่องจากมีแฟนคลับหลายคนค่อนข้างจะเข้ามาในชีวิตเขามากเกินไป จนทำให้เวลาทำงาน หรือความเป็นส่วนตัวหายไป ซึ่งเราจึงแค่บอกไปในทวิตเตอร์ว่าอยากจะขอความเป็นส่วนตัว”
“พอบอกไปก็มีทั้งคนเข้าใจ และไม่เข้าใจ คนที่ไม่เข้าใจก็จะต่อว่า ว่า เราไปเกี่ยวอะไร เราเข้าใจในความรู้สึกตรงนี้ดี จึงแค่อยากออกมาพูดแทนเท่านั้น ความจริงณเดชน์ก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่พูดไม่ได้ ไม่อยากให้แฟนคลับมาตามที่กองถ่าย เพราะกองถ่ายเขาจะไม่ค่อยมีเวลา ต้องทำงานตลอด น้องเป็นคนสาธารณะก็จริง แต่ไม่ใช่ส้วมสาธารณะที่ใครจะเข้ามาใช้ก็ได้”
ทั้งนี้ ต้องบอกว่า มีน้อยครั้งจริงๆ กับการที่คนทำละครจะออกมาชนกับแฟนคลับนักแสดงของตนเองเช่นนี้ เพราะจะว่าไปแล้วแฟนคลับเหล่านี้ ส่วนหนึ่งหรืออาจจะเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ ก็คือ กลุ่มคนที่จะติดตามดูละครนั่นเอง
และถึงแม้บทสรุปของข้อความทั้งหมดของผู้กำกับดัง จะมองได้ว่า เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ตักเตือนเด็กๆ ทว่า การตักเตือนครั้งนี้ก็ต้องถือว่ารุนแรงอยู่พอสมควร โดยเฉพาะกับวาทกรรมที่ว่า การกระทำต่างๆ ของเหล่าแฟนคลับบางส่วนนั้นไม่ใช่เกิดขึ้นมาจาก “ความรัก” หากแต่เป็น “ความคลั่ง” มากกว่า
มากกว่า “แฟนคลับ”?
ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้อธิบายความหมายของ “แฟนคลับ” (อังกฤษ: fan club) ไว้ว่า คือ กลุ่มคนที่คลั่งไคล้หรืออุทิศตนให้กับบุคคล กลุ่ม แนวความคิด หรือในบางครั้งกับสิ่งไม่มีชีวิต (เช่น อาคารที่มีชื่อเสียง) แฟนคลับส่วนใหญ่จะทุ่มเทเวลาและสิ่งของเพื่อสนับสนุน ในบางครั้งจะมีการตั้งแฟนคลับอย่างเป็นทางการ โดยดำเนินการร่วมกับกลุ่มหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ชื่นชอบโดยตรง แฟนคลับส่วนใหญ่จะเป็นนักแสดง ดารา นักร้อง ทีมฟุตบอล เป็นต้น
ที่ผ่านๆ มา เราอาจจะรับรู้ถึงพฤติกรรมของเหล่าแฟนคลับ ว่า มีกิจกรรมหลักๆ ต่อคนที่ตนเองชอบไม่หนีไปจากการไล่ซื้อเก็บสะสมของที่ระลึกต่างๆ ตามไปกรี๊ด ตามไปเชียร์ ซื้ออาหาร-ขนมไปฝาก หรือตามไปรุมห้อมล้อม บ้างก็เพื่อขอถ่ายรูป บ้างก็ขอลายเซ็น หรือบ้างก็ขอเพียงให้ได้แตะเนื้อต้องตัว โดยอาจจะไม่รู้ว่า ณ ปัจจุบัน บางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
“คือ ของเรานี่ต้องบอกว่าทำงานกันเป็นทีมนะ มีการต่อกันตลอด อย่างฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็จะมีทีมอยู่ประมาณ 20 คน ก็มีหน้าที่หาข่าว เช็กกำหนดการหมายงานต่างๆ แล้วก็อัปเดตผ่านในบ้านให้แฟนคลับคนอื่นได้ รับรู้”...หนึ่งในทีมงาน “Nadech & Yaya Home” บอกเล่าถึงการทำงานของเหล่าคนชื่นชอบ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” และ “ญาญ่า อุรัสยา” ผ่านบ้านที่ตั้งอยู่ในโต๊ะเฉลิมไทย เว็บไซต์พันทิปดอตคอม (www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A12103253/A12103253.html)
สำหรับในบ้าน “NY” นั้น มีสมาชิกทั้งหมด 700 กว่าคนด้วยกัน โดยว่ากันว่า บ้านนี้เป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาแฟนคลับดารา นักร้อง นักแสดงคนอื่นๆ ที่จะมีสมาชิกอยู่ที่ราวๆ 200-300 คน โดยสมาชิกสูงสุดที่นี่อายุอยู่ที่ 70 กว่าๆ และต่ำสุดที่ 5 ขวบ ส่วนข้อมูลที่ถูกนำมาถ่ายทอดก็ค่อนข้างละเอียดทีเดียว ทั้งเรื่องของประวัติโปรไฟล์ ภาพ+ผลงานต่างๆ หนังสือกี่เล่ม โฆษณากี่ตัว หรือแม้กระทั่งกิจกรรมความเคลื่อนไหวของดาราทั้งสองในแต่ละวัน
ต้องยอมรับว่า ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าของโลกออนไลน์ในยุคปัจจุบันนั่นเอง ที่ได้ส่งผลให้ความผูกพันระหว่างตัวของแฟนคลับกับดารา นักร้อง นักแสดงนั้นเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก เพราะเหล่าแฟนคลับเองไม่จำเป็นที่จะต้องรอติดตามความเคลื่อนไหวบรรดาดารานักร้องนักแสดงที่ตนเองชื่นชอบผ่านช่องทางจากสื่อมวลชนหลักเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
“ทีมงานของเราจะอัปเดตกันตลอดว่ามีข่าวอะไร วันนี้เราจะวางการตลาดให้น้องอย่างไร จะด่าสื่อไหน แก้ข่าวอะไร ข่าวตัวไหนทำให้น้องเราเสียหาย ต้องแก้ ต้องชี้แจง น้องมีงานอะไรที่จะออก น้องจะเดินทางไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร บินเที่ยวบินอะไร กี่โมง วันนี้น้องจะลงหนังสือเล่มไหน ซึ่งข้อมูลต่างๆ ของเราค่อนข้างจะเป็นทางการนะ เพราะเราติดต่อกับคนที่ดูแลน้องเขาโดยตรง รวมถึงสมาชิกของเราหลายคนก็ทำงานในหลากหลายวงการ มีคนหลากหลายอาขีพ ทั้งสื่อ ข้าราชการ นักการตลาด นักโฆษณา บางทีก็มีนักข่าวเข้ามาเอาข้อมูลเอาประเด็นของเราไปใช้ก็มี”
ส่วนการออกมาแสดงความคิดเห็นด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจของ “ป้าแจ๋ว” ไปยังแฟนคลับของหนุ่ม “ณเดชน์” ผ่านถ้อยคำที่ค่อนข้างจะรุนแรงนั้น หนึ่งในสมาชิกจากบ้าน “NY” มองว่า จะว่าไปแล้วก็เปรียบเป็นดาบสองคม ที่อาจจะมีผลส่งไปถึงตัวของนักแสดงหนุ่มเองอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างไรต้องไม่ลืมว่าการที่ดาราคนหนึ่งจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้นั้นก็ไม่ใช่เพราะเหล่าแฟนคลับ หรือที่ช่วยเสริมส่งผลักดัน
“ก็ยอมรับนะว่า แฟนคลับที่ล้ำเส้นมากไปก็มี แต่พวกนั้นจะเป็นแฟนคลับประเภทฟรีแลนซ์ คือ ไปรวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่ม อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ค่อยจะคิดอะไรสักเท่าไหร่ ซึ่งของเรายืนยันว่า ไม่ใช่แบบนั้น พวกเราไม่ใช่แฟนคลับแบบว่าไก่กานะ อย่างของเราถ้ารู้ว่ามีใครทำอะไรเกินไป เราก็ต้องมีการเตือนกัน หรือถ้าเตือนแล้วยังทำตัวไม่เหมาะอีกเราก็ต้องบีบออกไปจากบ้านเรา”
“บางครั้งอย่างเรื่องเที่ยวบิน ถ้าเราลงไปแล้วมันส่งผลทำให้น้องเขาวุ่นวายต้องตกเที่ยวบิน แบบนี้เราก็จะบอกว่าเราจะไม่ลงเราจะไม่บอกรายละเอียดเรื่องนี้แล้วนะ ยืนยันค่ะว่าของเราทำทุกอย่างอย่างมีระบบ เราห่วงน้องเราเป็นที่สุด อย่างที่ป้าแจ๋วพูดมันก็ถูกบางส่วน แต่ว่ามันอาจจะทำให้แฟนคลับส่วนใหญ่เขาไม่พอใจ แล้วมันจะเหมือนกับดาบสองคม เพราะต้องไม่ลืมนะว่าพวกเราเนี่ยแหละที่ช่วยโปรโมตงานน้อง งานอีเวนต์ต่างๆ ทำตลาดให้น้อง แล้วก็มีกำลังซื้อ มีกำลังที่จะติดตามผลงานของน้องเขา”
“รัก” ได้แต่อย่าคลั่ง!
แม้จะเป็นเรื่องของความรัก การยกย่องชื่นชม แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่เราจะพบว่าเหตุการณ์เรื่องราวระหว่างเหล่าแฟนคลับกับบุคคลที่ตนเองติดตามเป็นแฟนนั้นมักจะลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม
ย้อนไปวันที่ 8 ธ.ค.ปี 1980 โลกต้องสูญเสียนักร้องนักดนตรีชื่อดัง “จอห์น เลนนอน” หลังถูก “มาร์ค แชปแมน” (Mark Chapman) แฟนเพลงที่ป่วยทางจิตยิงเข้าไป 5 นัดจนเสียชีวิตนอกอพาร์ตเมนต์ ดาโกตา ในแมนฮัตตัน ซึ่งหลังก่อเหตุทางด้านของมาร์คก็ไม่ได้หนีไปไหน เขารอกระทั่งตำรวจมาจึงได้บอกตำรวจไปว่า “ฉันนี้แหละที่ยิงจอห์น เลนนอน”
หลังการเสียชีวิตของ “ฮิเดะ” หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของวงร็อกชื่อดังของโลก “X JAPAN” ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2541 ในสภาพถูกแขวนคอด้วยผ้าเช็ดตัวกับลูกบิดประตู จนกลายเป็นข้อถกเถียงกันว่าเจ้าตัวตั้งใจฆ่าตัวตายหรือว่าอะไร? ไม่นานก็มีข่าวออกมาว่า นักเรียนหญิงระดับชั้นมัยธยมปลายในบ้านเราคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตายตามนักดนตรีชื่อดัง
นอกจากนี้ ก็ยังมีกรณีของ “Lee Hye-ryeon” ดารา-นักร้องดังของเกาหลีใต้ที่ได้แขวนคอตายในอพาร์ตเมนต์ของตนทั้งๆ ที่เจ้าตัวกำลังจะมีผลงานเพลงใหม่ออกมา ส่วนสาเหตุคาดการณ์กันว่า น่าจะมาจากการที่เจ้าตัวเกิดความเครียดจัดกับคำวิจารณ์ และคำโจมตีจากบรรดาแฟนคลับทางอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ชวนสลด ก็คือ การฆ่าตัวตายของ “ลี อึน จี” (Lee Eun Ji) นักเรียนชั้นมัธยมต้น ซึ่งเป็นแฟนคลับของวงบอยแบนด์ชื่อดัง “Super Junior” โดยคาดกันว่าสาเหตุที่เธอเลือกจบชีวิตตนเอง ก็เพราะถูกกลุ่มแฟนคลับ ซูเปอร์ จูเนียร์ ที่เรียกตัวเองว่า “เอลฟ์” โจมตีอย่างหนัก หลังจากที่เธอไปถ่ายภาพคู่กับ “คังอิน” (Kang In) หนึ่งในสมาชิกของวง
โดยก่อนหน้าเสียชีวิต ลี อึน จี ได้ไปออกรายการทีวีวาไรตี้ชื่อดังรายการหนึ่งของเกาหลี จากการที่เธอสามารถลดน้ำหนักจาก 87 กก.เหลือ 47 กก.ภายใน 3 เดือน และหลังจากที่เจ้าตัวเสียชีวิตแฟนคลับของ Super Junior บางส่วน ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง อาทิ “น่าเศร้าจริงๆ มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนา เธอแค่ถ่ายรูปกับคนดัง เธอไม่ได้เป็นแฟนเขาสักหน่อย! แฟนคลับเกาหลีผู้หญิงพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของ หรือรู้จักกับพวกเขาหรือยังไง .....”
'มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรกันนักหนากับแค่ถ่ายรูปคู่กับหนึ่งในสมาชิก SJ ดารา-นักร้องชื่อดังพวกนี้ ถ่ายรูปคู่กับคนอื่นมากี่ร้อยกี่พันคนแล้ว ทำไมต้องมาเลือกเด็กคนนี้ เด็กที่มีความมานะพยายามที่จะลดน้ำหนักตัวเองลงอย่างยากลำบากเพียงเพราะยายที่กำลังจะตายของเธอขอร้องไว้ เมื่อไหร่เหล่าแฟนคลับจะตระหนักได้ว่าไม่มีใครหรอกนะที่จะมาเข้าใจและยกโทษให้กับนิสัยและการกระทำที่ไร้ซึ่งเหตุและผลของพวกเขาเพียงเพราะพวกคุณขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่รัก SJ น่ะ! ...... หลับให้สบายนะ....ลี อึน จี”
“อย่างแรกเลยที่ต้องเข้าใจ ก็คือ เรื่องเหล่านี้มันเป็นพฤติกรรมวัยรุ่นอย่างหนึ่งนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัย 13-15 ซึ่งธรรมชาติของเขา ก็คือ ต้องการแสวงหาไอดอล หาคนที่เป็นต้นแบบที่เขาจะลอกเลียนแบบ อาจจะเป็นนักร้อง ดารา นักกีฬา” นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต บอกถึงพฤติกรรมการเกิดความคลั่งไคล้ของมนุษย์
“ถ้าเราเป็นผู้ปกครองก็ต้องคอยดูอยู่ห่างๆ เพราะพฤติกรรมการชอบ ความคลั่งไคล้ หรือมีการแต่งตัวที่ผิดแผกไป หรือตามไปกรี๊ดไปเชียร์ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพียงแต่พ่อแม่ก็ต้องคอยดู ถ้ารู้สึกว่ามันมากไปก็ต้องตักเตือนว่าเออมันเกินไปแล้วนะ มันกระทบเวลาเรียนนะ มันเสียกิจวัตรประจำวัน แล้วก็ต้องบอกเขาว่าที่เราเตือนนี่ก็เพื่อตัวเขาเองนะ หรือว่าชวนเขาหันมาทำกิจกรรมอื่นๆ บ้าง เขาจะได้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องๆ เดียว”
“แล้วเด็กวัยนี้แม้จะเริ่มโตแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังต้องการคำชี้แนะ แต่อย่าไปห้ามหรือว่าอะไรมากเพราะมันจะทำให้เขาเก็บกด คือเรื่องแบบนี้ผู้ใหญ่ต้องอดทนนะ คอยดูห่างๆ ลูกอาจจะแต่งตัวประหลาดๆ ไปบ้างถ้าไม่มากอะไรก็ปล่อยๆ ไป เพราะถึงเวลาเดี๋ยวเขาก็กลับมาเป็นปกติเอง พอแฟชั่นแบบนั้นมันหมดหรือพอโตขึ้นมาเขาก็เลิกพฤติกรรมนั้นๆ ไปเอง”
“ส่วนถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วอันนี้ก็น่าห่วงอยู่ แต่โดยส่วนตัวผมว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่เขามีความคิดแล้วนะ เขาจะรูถึงระดับความเหมาะสมอยู่พอสมควร คือ ถ้าเป็นความรักความชอบแบบเป็นพวกแฟนคลับอะไรทำนองนี้ไม่เท่าไหร่นะ แต่ถ้าเกิดเป็นพวกที่ไปเชื่องมงายแบบว่าขาดสติ พวกคลั่งลัทธิแปลกๆ ไปเชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าผีอันนี้จะน่าห่วงมากกว่า”
นอกจากจะให้เหตุผลของการโพสต์ ว่า เป็นเพราะการตามไปเฝ้าเช้าเฝ้าเย็นของเหล่าแฟนคลับ จะทำให้ทีมถ่ายทำของกองละคร “ธรณีนี่นี้ใครครอง” ที่ตนรับหน้าที่กำกับอยู่ มีปัญหาแล้ว ผู้กำกับชื่อดังยังบอกด้วยว่า ข้อความที่โพสต์ไปนั้น ถือเป็นการระบายความรู้สึกแทน “ณเดชน์” รวมไปถึงดาราคนอื่นๆ ที่ไม่อาจจะปริปากบอกถึงเรื่องทำนองนี้ได้ด้วยตนเองอีกต่างหาก
“...ที่เราโพสต์ลงในทวิตเตอร์ เนื่องจากมีความเข้าใจในตัวณเดชน์ ว่า อยู่ในสถานะที่พูดอะไรไม่ได้ เนื่องจากมีแฟนคลับหลายคนค่อนข้างจะเข้ามาในชีวิตเขามากเกินไป จนทำให้เวลาทำงาน หรือความเป็นส่วนตัวหายไป ซึ่งเราจึงแค่บอกไปในทวิตเตอร์ว่าอยากจะขอความเป็นส่วนตัว”
“พอบอกไปก็มีทั้งคนเข้าใจ และไม่เข้าใจ คนที่ไม่เข้าใจก็จะต่อว่า ว่า เราไปเกี่ยวอะไร เราเข้าใจในความรู้สึกตรงนี้ดี จึงแค่อยากออกมาพูดแทนเท่านั้น ความจริงณเดชน์ก็เข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นแต่พูดไม่ได้ ไม่อยากให้แฟนคลับมาตามที่กองถ่าย เพราะกองถ่ายเขาจะไม่ค่อยมีเวลา ต้องทำงานตลอด น้องเป็นคนสาธารณะก็จริง แต่ไม่ใช่ส้วมสาธารณะที่ใครจะเข้ามาใช้ก็ได้”
ทั้งนี้ ต้องบอกว่า มีน้อยครั้งจริงๆ กับการที่คนทำละครจะออกมาชนกับแฟนคลับนักแสดงของตนเองเช่นนี้ เพราะจะว่าไปแล้วแฟนคลับเหล่านี้ ส่วนหนึ่งหรืออาจจะเป็นส่วนใหญ่เสียด้วยซ้ำ ก็คือ กลุ่มคนที่จะติดตามดูละครนั่นเอง
และถึงแม้บทสรุปของข้อความทั้งหมดของผู้กำกับดัง จะมองได้ว่า เป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ตักเตือนเด็กๆ ทว่า การตักเตือนครั้งนี้ก็ต้องถือว่ารุนแรงอยู่พอสมควร โดยเฉพาะกับวาทกรรมที่ว่า การกระทำต่างๆ ของเหล่าแฟนคลับบางส่วนนั้นไม่ใช่เกิดขึ้นมาจาก “ความรัก” หากแต่เป็น “ความคลั่ง” มากกว่า
มากกว่า “แฟนคลับ”?
ในวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี ได้อธิบายความหมายของ “แฟนคลับ” (อังกฤษ: fan club) ไว้ว่า คือ กลุ่มคนที่คลั่งไคล้หรืออุทิศตนให้กับบุคคล กลุ่ม แนวความคิด หรือในบางครั้งกับสิ่งไม่มีชีวิต (เช่น อาคารที่มีชื่อเสียง) แฟนคลับส่วนใหญ่จะทุ่มเทเวลาและสิ่งของเพื่อสนับสนุน ในบางครั้งจะมีการตั้งแฟนคลับอย่างเป็นทางการ โดยดำเนินการร่วมกับกลุ่มหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่ชื่นชอบโดยตรง แฟนคลับส่วนใหญ่จะเป็นนักแสดง ดารา นักร้อง ทีมฟุตบอล เป็นต้น
ที่ผ่านๆ มา เราอาจจะรับรู้ถึงพฤติกรรมของเหล่าแฟนคลับ ว่า มีกิจกรรมหลักๆ ต่อคนที่ตนเองชอบไม่หนีไปจากการไล่ซื้อเก็บสะสมของที่ระลึกต่างๆ ตามไปกรี๊ด ตามไปเชียร์ ซื้ออาหาร-ขนมไปฝาก หรือตามไปรุมห้อมล้อม บ้างก็เพื่อขอถ่ายรูป บ้างก็ขอลายเซ็น หรือบ้างก็ขอเพียงให้ได้แตะเนื้อต้องตัว โดยอาจจะไม่รู้ว่า ณ ปัจจุบัน บางสิ่งบางอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว
“คือ ของเรานี่ต้องบอกว่าทำงานกันเป็นทีมนะ มีการต่อกันตลอด อย่างฝ่ายประชาสัมพันธ์ก็จะมีทีมอยู่ประมาณ 20 คน ก็มีหน้าที่หาข่าว เช็กกำหนดการหมายงานต่างๆ แล้วก็อัปเดตผ่านในบ้านให้แฟนคลับคนอื่นได้ รับรู้”...หนึ่งในทีมงาน “Nadech & Yaya Home” บอกเล่าถึงการทำงานของเหล่าคนชื่นชอบ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” และ “ญาญ่า อุรัสยา” ผ่านบ้านที่ตั้งอยู่ในโต๊ะเฉลิมไทย เว็บไซต์พันทิปดอตคอม (www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A12103253/A12103253.html)
สำหรับในบ้าน “NY” นั้น มีสมาชิกทั้งหมด 700 กว่าคนด้วยกัน โดยว่ากันว่า บ้านนี้เป็นบ้านที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาแฟนคลับดารา นักร้อง นักแสดงคนอื่นๆ ที่จะมีสมาชิกอยู่ที่ราวๆ 200-300 คน โดยสมาชิกสูงสุดที่นี่อายุอยู่ที่ 70 กว่าๆ และต่ำสุดที่ 5 ขวบ ส่วนข้อมูลที่ถูกนำมาถ่ายทอดก็ค่อนข้างละเอียดทีเดียว ทั้งเรื่องของประวัติโปรไฟล์ ภาพ+ผลงานต่างๆ หนังสือกี่เล่ม โฆษณากี่ตัว หรือแม้กระทั่งกิจกรรมความเคลื่อนไหวของดาราทั้งสองในแต่ละวัน
ต้องยอมรับว่า ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารที่ก้าวหน้าของโลกออนไลน์ในยุคปัจจุบันนั่นเอง ที่ได้ส่งผลให้ความผูกพันระหว่างตัวของแฟนคลับกับดารา นักร้อง นักแสดงนั้นเปลี่ยนแปลงไปค่อนข้างมาก เพราะเหล่าแฟนคลับเองไม่จำเป็นที่จะต้องรอติดตามความเคลื่อนไหวบรรดาดารานักร้องนักแสดงที่ตนเองชื่นชอบผ่านช่องทางจากสื่อมวลชนหลักเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแล้ว
“ทีมงานของเราจะอัปเดตกันตลอดว่ามีข่าวอะไร วันนี้เราจะวางการตลาดให้น้องอย่างไร จะด่าสื่อไหน แก้ข่าวอะไร ข่าวตัวไหนทำให้น้องเราเสียหาย ต้องแก้ ต้องชี้แจง น้องมีงานอะไรที่จะออก น้องจะเดินทางไปทำอะไร ที่ไหน อย่างไร บินเที่ยวบินอะไร กี่โมง วันนี้น้องจะลงหนังสือเล่มไหน ซึ่งข้อมูลต่างๆ ของเราค่อนข้างจะเป็นทางการนะ เพราะเราติดต่อกับคนที่ดูแลน้องเขาโดยตรง รวมถึงสมาชิกของเราหลายคนก็ทำงานในหลากหลายวงการ มีคนหลากหลายอาขีพ ทั้งสื่อ ข้าราชการ นักการตลาด นักโฆษณา บางทีก็มีนักข่าวเข้ามาเอาข้อมูลเอาประเด็นของเราไปใช้ก็มี”
ส่วนการออกมาแสดงความคิดเห็นด้วยความรู้สึกที่ไม่พอใจของ “ป้าแจ๋ว” ไปยังแฟนคลับของหนุ่ม “ณเดชน์” ผ่านถ้อยคำที่ค่อนข้างจะรุนแรงนั้น หนึ่งในสมาชิกจากบ้าน “NY” มองว่า จะว่าไปแล้วก็เปรียบเป็นดาบสองคม ที่อาจจะมีผลส่งไปถึงตัวของนักแสดงหนุ่มเองอยู่เหมือนกัน เพราะอย่างไรต้องไม่ลืมว่าการที่ดาราคนหนึ่งจะกลายเป็นซูเปอร์สตาร์ได้นั้นก็ไม่ใช่เพราะเหล่าแฟนคลับ หรือที่ช่วยเสริมส่งผลักดัน
“ก็ยอมรับนะว่า แฟนคลับที่ล้ำเส้นมากไปก็มี แต่พวกนั้นจะเป็นแฟนคลับประเภทฟรีแลนซ์ คือ ไปรวมตัวกันตั้งเป็นกลุ่ม อยากทำอะไรก็ทำ ไม่ค่อยจะคิดอะไรสักเท่าไหร่ ซึ่งของเรายืนยันว่า ไม่ใช่แบบนั้น พวกเราไม่ใช่แฟนคลับแบบว่าไก่กานะ อย่างของเราถ้ารู้ว่ามีใครทำอะไรเกินไป เราก็ต้องมีการเตือนกัน หรือถ้าเตือนแล้วยังทำตัวไม่เหมาะอีกเราก็ต้องบีบออกไปจากบ้านเรา”
“บางครั้งอย่างเรื่องเที่ยวบิน ถ้าเราลงไปแล้วมันส่งผลทำให้น้องเขาวุ่นวายต้องตกเที่ยวบิน แบบนี้เราก็จะบอกว่าเราจะไม่ลงเราจะไม่บอกรายละเอียดเรื่องนี้แล้วนะ ยืนยันค่ะว่าของเราทำทุกอย่างอย่างมีระบบ เราห่วงน้องเราเป็นที่สุด อย่างที่ป้าแจ๋วพูดมันก็ถูกบางส่วน แต่ว่ามันอาจจะทำให้แฟนคลับส่วนใหญ่เขาไม่พอใจ แล้วมันจะเหมือนกับดาบสองคม เพราะต้องไม่ลืมนะว่าพวกเราเนี่ยแหละที่ช่วยโปรโมตงานน้อง งานอีเวนต์ต่างๆ ทำตลาดให้น้อง แล้วก็มีกำลังซื้อ มีกำลังที่จะติดตามผลงานของน้องเขา”
“รัก” ได้แต่อย่าคลั่ง!
แม้จะเป็นเรื่องของความรัก การยกย่องชื่นชม แต่ก็มีไม่น้อยเช่นกันที่เราจะพบว่าเหตุการณ์เรื่องราวระหว่างเหล่าแฟนคลับกับบุคคลที่ตนเองติดตามเป็นแฟนนั้นมักจะลงเอยด้วยโศกนาฏกรรม
ย้อนไปวันที่ 8 ธ.ค.ปี 1980 โลกต้องสูญเสียนักร้องนักดนตรีชื่อดัง “จอห์น เลนนอน” หลังถูก “มาร์ค แชปแมน” (Mark Chapman) แฟนเพลงที่ป่วยทางจิตยิงเข้าไป 5 นัดจนเสียชีวิตนอกอพาร์ตเมนต์ ดาโกตา ในแมนฮัตตัน ซึ่งหลังก่อเหตุทางด้านของมาร์คก็ไม่ได้หนีไปไหน เขารอกระทั่งตำรวจมาจึงได้บอกตำรวจไปว่า “ฉันนี้แหละที่ยิงจอห์น เลนนอน”
หลังการเสียชีวิตของ “ฮิเดะ” หนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของวงร็อกชื่อดังของโลก “X JAPAN” ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2541 ในสภาพถูกแขวนคอด้วยผ้าเช็ดตัวกับลูกบิดประตู จนกลายเป็นข้อถกเถียงกันว่าเจ้าตัวตั้งใจฆ่าตัวตายหรือว่าอะไร? ไม่นานก็มีข่าวออกมาว่า นักเรียนหญิงระดับชั้นมัยธยมปลายในบ้านเราคนหนึ่งได้ฆ่าตัวตายตามนักดนตรีชื่อดัง
นอกจากนี้ ก็ยังมีกรณีของ “Lee Hye-ryeon” ดารา-นักร้องดังของเกาหลีใต้ที่ได้แขวนคอตายในอพาร์ตเมนต์ของตนทั้งๆ ที่เจ้าตัวกำลังจะมีผลงานเพลงใหม่ออกมา ส่วนสาเหตุคาดการณ์กันว่า น่าจะมาจากการที่เจ้าตัวเกิดความเครียดจัดกับคำวิจารณ์ และคำโจมตีจากบรรดาแฟนคลับทางอินเทอร์เน็ตนั่นเอง
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ชวนสลด ก็คือ การฆ่าตัวตายของ “ลี อึน จี” (Lee Eun Ji) นักเรียนชั้นมัธยมต้น ซึ่งเป็นแฟนคลับของวงบอยแบนด์ชื่อดัง “Super Junior” โดยคาดกันว่าสาเหตุที่เธอเลือกจบชีวิตตนเอง ก็เพราะถูกกลุ่มแฟนคลับ ซูเปอร์ จูเนียร์ ที่เรียกตัวเองว่า “เอลฟ์” โจมตีอย่างหนัก หลังจากที่เธอไปถ่ายภาพคู่กับ “คังอิน” (Kang In) หนึ่งในสมาชิกของวง
โดยก่อนหน้าเสียชีวิต ลี อึน จี ได้ไปออกรายการทีวีวาไรตี้ชื่อดังรายการหนึ่งของเกาหลี จากการที่เธอสามารถลดน้ำหนักจาก 87 กก.เหลือ 47 กก.ภายใน 3 เดือน และหลังจากที่เจ้าตัวเสียชีวิตแฟนคลับของ Super Junior บางส่วน ก็ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างกว้างขวาง อาทิ “น่าเศร้าจริงๆ มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรนักหนา เธอแค่ถ่ายรูปกับคนดัง เธอไม่ได้เป็นแฟนเขาสักหน่อย! แฟนคลับเกาหลีผู้หญิงพวกนี้คิดว่าตัวเองเป็นเจ้าของ หรือรู้จักกับพวกเขาหรือยังไง .....”
'มันจะเป็นเรื่องใหญ่อะไรกันนักหนากับแค่ถ่ายรูปคู่กับหนึ่งในสมาชิก SJ ดารา-นักร้องชื่อดังพวกนี้ ถ่ายรูปคู่กับคนอื่นมากี่ร้อยกี่พันคนแล้ว ทำไมต้องมาเลือกเด็กคนนี้ เด็กที่มีความมานะพยายามที่จะลดน้ำหนักตัวเองลงอย่างยากลำบากเพียงเพราะยายที่กำลังจะตายของเธอขอร้องไว้ เมื่อไหร่เหล่าแฟนคลับจะตระหนักได้ว่าไม่มีใครหรอกนะที่จะมาเข้าใจและยกโทษให้กับนิสัยและการกระทำที่ไร้ซึ่งเหตุและผลของพวกเขาเพียงเพราะพวกคุณขึ้นชื่อว่าเป็นคนที่รัก SJ น่ะ! ...... หลับให้สบายนะ....ลี อึน จี”
“อย่างแรกเลยที่ต้องเข้าใจ ก็คือ เรื่องเหล่านี้มันเป็นพฤติกรรมวัยรุ่นอย่างหนึ่งนะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัย 13-15 ซึ่งธรรมชาติของเขา ก็คือ ต้องการแสวงหาไอดอล หาคนที่เป็นต้นแบบที่เขาจะลอกเลียนแบบ อาจจะเป็นนักร้อง ดารา นักกีฬา” นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต รองอธิบดีกรมสุขภาพจิต บอกถึงพฤติกรรมการเกิดความคลั่งไคล้ของมนุษย์
“ถ้าเราเป็นผู้ปกครองก็ต้องคอยดูอยู่ห่างๆ เพราะพฤติกรรมการชอบ ความคลั่งไคล้ หรือมีการแต่งตัวที่ผิดแผกไป หรือตามไปกรี๊ดไปเชียร์ แต่มันไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพียงแต่พ่อแม่ก็ต้องคอยดู ถ้ารู้สึกว่ามันมากไปก็ต้องตักเตือนว่าเออมันเกินไปแล้วนะ มันกระทบเวลาเรียนนะ มันเสียกิจวัตรประจำวัน แล้วก็ต้องบอกเขาว่าที่เราเตือนนี่ก็เพื่อตัวเขาเองนะ หรือว่าชวนเขาหันมาทำกิจกรรมอื่นๆ บ้าง เขาจะได้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องๆ เดียว”
“แล้วเด็กวัยนี้แม้จะเริ่มโตแล้ว แต่ว่าเขาก็ยังต้องการคำชี้แนะ แต่อย่าไปห้ามหรือว่าอะไรมากเพราะมันจะทำให้เขาเก็บกด คือเรื่องแบบนี้ผู้ใหญ่ต้องอดทนนะ คอยดูห่างๆ ลูกอาจจะแต่งตัวประหลาดๆ ไปบ้างถ้าไม่มากอะไรก็ปล่อยๆ ไป เพราะถึงเวลาเดี๋ยวเขาก็กลับมาเป็นปกติเอง พอแฟชั่นแบบนั้นมันหมดหรือพอโตขึ้นมาเขาก็เลิกพฤติกรรมนั้นๆ ไปเอง”
“ส่วนถ้าเป็นผู้ใหญ่แล้วอันนี้ก็น่าห่วงอยู่ แต่โดยส่วนตัวผมว่าคนที่เป็นผู้ใหญ่เขามีความคิดแล้วนะ เขาจะรูถึงระดับความเหมาะสมอยู่พอสมควร คือ ถ้าเป็นความรักความชอบแบบเป็นพวกแฟนคลับอะไรทำนองนี้ไม่เท่าไหร่นะ แต่ถ้าเกิดเป็นพวกที่ไปเชื่องมงายแบบว่าขาดสติ พวกคลั่งลัทธิแปลกๆ ไปเชื่อเรื่องทรงเจ้าเข้าผีอันนี้จะน่าห่วงมากกว่า”