xs
xsm
sm
md
lg

สายลับมุกแป้ก?!?! : Men In Black 3/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


มันคงเป็นเหตุการณ์ปกติไปแล้วสำหรับหนังสักเรื่อง ซึ่งฉีกมุมมองความคิดเห็นของคนดูผู้ชมออกไปเป็นหลายๆ ด้าน หรืออย่างน้อยก็สองมุมมอง คือ สนุก กับ ไม่สนุก ซึ่งก็แน่นอนครับว่า หนังแฟรนไชส์อย่าง Men In Black 3 ก็มิหลุดรอดชะตากรรมแบบนั้นเช่นเดียวกัน เพราะในขณะที่ฝ่ายหนึ่งบอกว่า “มันสนุกเหลือหลาย” แต่อีกฝ่ายกลับเห็นว่า “หนังบ้าอะไร จืดสนิท”

ทิ้งห่างจากภาคที่แล้วไปถึงสิบปีเต็ม “เอ็มไอบี” หรือ “ผู้ชายในชุดดำ” (ไม่เกี่ยวกับไอ้โม่งชุดดำแต่อย่างใด) ผู้ทำหน้าที่สายลับพิทักษ์โลกจากพวกเอเลี่ยน ก็กลับมาอีกครั้งพร้อมภารกิจใหม่ ซึ่งงานนี้ ไม่ใช่เพียงแค่จะต้องปกป้องโลก หากแต่มันคือการปกป้องชีวิตของหนึ่งสายลับคนสำคัญอย่างเอเจ้นท์เค (ทอมมี่ ลี โจนส์) ซึ่งภารกิจนี้ก็ตกไปอยู่กับคู่หูต่างวัยของเขาอย่างเอเจ้นท์เจ (วิล สมิธ) ที่จะต้องอาศัยไทม์แมทชีนย้อนเวลากลับไปในอดีตหลายสิบปีเพื่อช่วยชีวิตของสหายวัยดึกให้รอดพ้นจากความตาย และ “อดีตหลายสิบปี” ที่หนังย้อนไปนั้น ก็คือ ยุคซิกตี้ (ทศวรรรษ 1960) ซึ่งเป็นสมัยที่บรรดาหนุ่มสาวบุปผาชนผู้เทิดทูนเสรีภาพเดินหายใจรดกัน นอกจากนั้น ยังคาบเกี่ยวกับช่วงเวลาที่องค์การนาซ่าปล่อยยานอวกาศเหินฟ้าขึ้นไปเหยียบดวงจันทร์

ครับ, เมื่อพูดถึงหนังอย่าง MIB สิ่งแรกที่ผมคิดว่าแฟนคลับของสายลับชุดดำทุกคนจะต้องนึกถึงก็คือ อารมณ์ขันหรือความตลก ซึ่งเกิดจากตัวละครนำทั้งสองอย่างนักสืบเคกับนักสืบเจ อย่างไรก็ดี ผมกลับรู้สึกว่า ความตลกของหนังภาคนี้ ไม่ได้อยู่ที่ทั้งสองคนอย่างที่ควรจะเป็น วิล สมิธ ในบทนักสืบเจนั้น ผมคิดว่า เขาทำได้เพียงระดับมาตรฐาน เหมือนกับว่า ความกวนโอ๊ยของเขา มีเท่าไรในสองภาคที่แล้ว ภาคนี้ก็เหมือนจะถูกสต๊าฟไว้เพียงแค่นั้น หนังคิดมุกให้เขาไม่ขำอย่างน่าประหลาดใจ ทั้งๆ ที่เราพร้อมจะขำไปกับวิล สมิธ ได้ตลอดเวลา แต่นั่นก็ดูเหมือนว่ามันจะเป็นแค่ความพยายามของเราเพียงฝ่ายเดียว

เช่นเดียวกัน การแทรกตัวเข้ามาของนักแสดงอย่าง “จอช โบรลิน” ซึ่งมารับบททอมมี่ ลี โจนส์ ในวัยหนุ่ม ก็คล้ายๆ ว่า ฉากที่ฮาที่สุดของเขา จะจบลงตั้งแต่ตอนเป็นหนังตัวอย่างแล้ว (นั่นก็คือ ตอนวิล สมิธ อำเรื่องหน้าตากับอายุ) และถึงแม้ว่า หน้าตาของจอช โบรลิน จะมีเซ้นส์ของการแสดงอารมณ์ขันแบบพวกตลกหน้าตาย(หรือตลกหน้าจืดๆ) ได้ แต่กลายเป็นว่า บทของเขาดู “จืด” ตามหน้าตาไปซะดื้อๆ พูดง่ายๆ ก็คือ จากที่คิดว่าเขาจะมากู้สถานการณ์ด้านอารมณ์ขันของหนัง ไม่เป็นตามที่คาด

มุกของหนังที่ตลกที่สุดสำหรับผม จึงไม่ได้อยู่ที่ตัวละครสองตัวนี้ หากแต่เป็นการหยิบเอาตัวละครประวัติศาสตร์บางตัวในยุคซิกตี้มาล้อมาอำ และตัวละครนั้นก็คือ แอนดี้ วอร์ฮอล ศิลปินป๊อปอาร์ตที่เชี่ยวชาญด้านการทำภาพพิมพ์ซิลค์สกรีน เขามาปรากฏตัวในหนังเรื่องนี้พร้อมถูกอำแหลกในเรื่องรสนิยมการชมชอบงานปาร์ตี้ แต่ก็อย่างที่ผมจะบอกครับว่า การหยิบเอาตัวละครในประวัติศาสตร์แบบนี้มาล้อ ก็นับเป็นความเสี่ยง เพราะหากคนดูไม่เคยได้รู้จักบุคคลนั้นๆ มาก่อน ก็อาจจะเกิดอาการ “ไม่เก็ท” กับมุกนั้นๆ ได้ และหลายคนก็บอกกับผมมาแล้วเหมือนกันว่าเข้าไม่ถึงมุกตลกที่หนังล้อผู้ชายผมขาวคนนั้น

อีกส่วนหนึ่งซึ่งดู “ตันๆ” สำหรับงานชิ้นนี้ก็คือ ความแอ็กชั่นซึ่งถือเป็นเสน่ห์สำคัญประการหนึ่งของหนังตั้งแต่ภาคแรก แต่ภาคนี้ ผมว่าหนังดูแปลกๆ เพราะหนังหันไปเน้นความของตัวบทมากกว่าสิ่งอื่น หนังเล่าเรื่องเยอะ เท่าๆ กับที่บทพูดเยอะ อีกทั้งยังไม่สามารถกระตุ้นความรู้สึกว่าน่าติดตามได้เท่าไรนัก และกว่าจะแสดงความแอ็กชั่นโครมครามตูมตามแต่ละที ก็หลังจากที่ปล่อยให้คนดูอยู่กับความหนืดเนือยจนเหนื่อยแล้ว อันที่จริง ผมว่าหนังนั้นมี “องค์ประกอบ” คือตัวเอเลี่ยนหน้าตาแปลกๆ จำนวนมากพอที่จะใช้ “ยิงเล่น” ได้ตลอดทั้งเรื่อง ประมาณว่าสามารถสะสมคะแนนแอ็กชั่นไปเรื่อยๆ ก่อนจะไปเจอ “ตัวร้าย” ตัวจริงอย่างบอริสโคตรไอ้เหี้ยม

พูดถึงตัวร้ายอย่าง “บอริส” ที่จะเคืองทุกครั้งถ้าคนอื่นไม่เรียกเขาว่า “บอริสโคตรไอ้เหี้ยม” ก็ดูจะไม่เหี้ยมสมชื่อสักเท่าไหร่ แม้จะเปิดตัวมาซะน่าสะพรึงกลัวในฉากแรกๆ แต่สุดท้าย กลับกลายเป็นตัวร้ายที่ดูง่อยๆ ไร้พิษสงอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ฉากเผชิญหน้าระหว่างเขากับนักสืบทั้งสองในตอนท้ายเรื่อง แทนที่เราจะได้เห็นการฟัดกันมันระเบิดตามแบบแผนที่ตัวร้ายสุดติ่งมาเจอพระเอก แต่เอาเข้าจริง กลับมาเล่นเกมลิงไล่จับไล่ถีบกันบนราวเหล็กซะอย่างงั้น

โดยส่วนตัว ผมเห็นว่า MIB 3 ถือเป็นหนังที่ดูไม่สนุกเท่าที่ควร แม้ผมจะรู้สึกว่าไม่ควรคาดหวังกับหนังเรื่องนี้ตั้งแต่ภาคก่อนแล้ว แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า ระยะเวลาสิบปีในการทิ้งช่วง น่าจะทำให้มัน “มีอะไรเจ๋งๆ” ออกมาบ้าง แต่ผลลัพธ์ทั้งหมดก็น่าจะบอกชัดแล้วว่า สิบปีที่ผ่านมา ไม่ได้ช่วยอะไรเลย และจากข่าวที่ออกมาว่า หนังเรื่องนี้มีปัญหาในการถ่ายทำเป็นระยะๆ ก็ดูจะเป็นจริง นั่นยังไม่นับรวมการเขียนบทไปด้วย ถ่ายทำไปด้วย (นึกว่าวิธีนี้มีแต่คุณพจน์ อานนท์ กับป๋าเทพ โพธิ์งาม เท่านั้นที่ทำ!!) ก็น่าจะเป็นอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งส่งผลให้ภาพรวมของหนังดูขาดๆ เกินๆ เพราะไม่ได้ผ่านการวางแผนมาก่อนล่วงหน้า

อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าสำหรับแฟนคลับระดับแฟนพันธุ์แท้ของหนัง ก็อาจจะมีจุดที่ประทับใจอยู่บ้างอย่างน้อยหนึ่งจุด โดยในหนังจะมีประโยคคำพูดคำหนึ่ง คือ “อย่าถามคำถามที่คุณไม่อยากรู้คำตอบ” ซึ่งหนังพูดบ่อยจนคล้ายจะเป็นรหัสนัยแห่งเนื้อหาความลับอะไรบางอย่าง และมันก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

การท่องอดีตของนักสืบเจในคราวครั้งนี้ นอกเหนือจากเป้าหมายที่วางไว้ในใจตอนแรก เขายังได้พบกับ “คำตอบ” ของคำถามบางข้อ และคำตอบนั้นแหละครับที่จะทำให้เราประทับใจในเรื่องราวของตัวละครสองตัวที่เดินร่วมกันมาทั้งสามภาค ถ้าคุณรักนักสืบเคมากอยู่แล้ว คุณจะรักเขามากขึ้น ถ้าคุณรักนักสืบเจอยู่แล้ว คุณจะรักเขามากขึ้น

เอาเป็นว่า หนังสายลับปราบเอเลี่ยนก็ฟีลกู๊ดเป็นกับเขาเหมือนกันนะเออ!!









กำลังโหลดความคิดเห็น