ตกเป็นข่าวว่ามีเรื่องในสถานที่อโคจรยามวิกาลมาแล้วหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่า “หมาก ปริญ สุภารัตน์” จะไม่เข็ด ล่าสุดดอดไปก่อเรื่องไกลถึงผับดังในจังหวัดลำปาง แหล่งข่าวรายงานว่างวดนี้แม้จะไม่ดุเดือดเหมือนเมื่อครั้ง WIP 168 แต่ก็เล่นเอานักเที่ยวราตรีทั้งร้านหมดสนุกและกร่อยไปตามๆ กัน ก่อนที่หมากกับก๊วนเพื่อนหนุ่มสาวของเขาจะจรลีกลับไปทิ้งไว้แต่เพียงบรรยากาศของร้านที่หงอยเงียบลงไปอย่างเห็นได้ชัด
แหล่งข่าวรายงานตรงจากที่เกิดเหตุ สวนทางกับคำให้การของหมากหลังจากนักข่าวไปยื่นไมค์จ่อปากถามเจ้าตัวว่า “เมาแล้วกร่างมาจริงหรือไม่?” แต่เจ้าตัวตอบแบบเหวี่ยงเบาๆ ว่าไม่ได้เมา และไม่ได้มีเรื่องอะไรเลยแม้แต่น้อย เพียงแค่ไปสังสรรค์เฮฮากับกลุ่มเพื่อนชายล้วน ดื่มแต่พองาม และฟังเพลงแบบชิลๆ พอผับเลิกก็พากันกลับ ซึ่งสวนทางกับคำให้การของแหล่งข่าวกับพยานในที่เกิดเหตุเกือบร้อยชีวิตที่บอกว่าคืนนั้นหมากมีเรื่องกับหนุ่มโต๊ะข้างๆ จริง !!
โบราณว่าไม่มีมูลหมาก็คงไม่ขี้ กลิ่นมูลของหมากที่แหล่งข่าวยืนยันก็คือ คืนนั้นหมากไปกับกลุ่มเพื่อนที่มีทั้งชายและหญิง และหลังจากร่ำสุราไปได้พักใหญ่ หมากกับโต๊ะข้างๆ ก็เริ่มเขม่นกันโดยไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่าเกิดจากเรื่องหญิงหรือเรื่องอะไร มารู้ตัวอีกทีความรุนแรงก็เพิ่มดีกรี แม้จะไม่มีใครเอาเครื่องตรวจวัดแอลกอฮอล์ไปยื่นให้หมากเป่าในตอนนั้น แต่อาการที่เขาลุกขึ้นยืนป้อแป้ หน้าแดงก่ำ และเสียงดังลั่นร้านนั้นก็เป็นเครื่องบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า “หมากมาวว”
หมากกับคู่กรณียืนทะเลาะกันด้วยเสียงอันดังนานร่วมสิบนาที ก่อนที่เพื่อนๆ ของทั้งสองฝ่ายจะเข้ามาแยก เพื่อนของหมากพาพระเอกหนุ่มเดินออกไปสงบสติอารมณ์นอกร้าน ส่วนคู่กรณีนั่งนับลมหายใจตัวเองอยู่ในร้านได้ไม่นานก็ตัดสินใจกลับบ้าน ซึ่งขากลับทั้งหมากและคู่กรณีต้องขับรถออกทางเดียวกัน โดยรถของคู่กรณีขับอยู่ข้างหน้า นาทีนั้นเองที่หมากใช้มือกดแตรรถดังลั่นเพื่อไล่รถของคู่กรณีไปให้พ้นทาง!!
เหตุครั้งนี้ไม่รุนแรงเหมือนเมื่อครั้งขวดปลิวที่ร้าน WIP 168 แต่ก็ทำให้หลายคนเริ่มเอะใจว่าทำไมพระเอกหนุ่มมาแรงของวิกพระรามสี่คนนี้จึงมีเรื่องในสถานที่อโคจรยามค่ำคืนบ่อยเหลือเกิน
คนใกล้ชิดวิเคราะห์ว่าสาเหตุที่ทำให้หมากมีเรื่องในผับบาร์บ่อยๆ น่าจะเกิดจากสองสาเหตุนั่นคือ อุปนิสัยดั้งเดิมของเขา และการที่ “เอ ศุภชัย ศรีวิจิตร” ผู้จัดการจอมปั้นซึ่งเคยดูแลประคบประหงมเขามาตลอดถอยห่างออกมาจากเขาชนิดที่เรียกได้ว่าแทบจะตัดหางปล่อยวัดเลยทีเดียว
บุคลิกของหมากห่างไกลจาก “กริชชัย” ในละคร “สามหนุ่มเนื้อทอง” ที่เขาแสดงอย่างลิบลับ หมากตัวจริงค่อนข้างใจร้อนและมุทะลุ แม้เขาจะพยายามปรับปรุงแก้ไขนิสัยด้านนี้ของตัวเอง แต่ยามที่แอลกอฮอล์ซึมเข้าสู่เม็ดเลือดแดงทีไร ความมุทะลุดุดันของหมากก็มักจะกลับมาทุกครั้ง เรียกว่าไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหนอีกต่อไป
ด้วยความที่เคยเป็นนักยูโด ซึ่งมีดีกรีเป็นถึงนักกีฬาเยาวชนทีมชาติ เคยเข้าร่วมการแข่งขัน กีฬาเยาวชนแห่งชาติ ครั้งที่ 24 หรือดอกบัวเกมส์ ที่จังหวัดอุบลราชธานี ซึ่งเป็นรายการสุดท้ายก่อนที่เขาจะเข้ามาเรียนที่มหาวิทยาลัยรังสิตด้วยโควตานักกีฬายูโด ซึ่งเขาก็ยังมาเป็นนักกีฬายูโดรุ่นมิดเดิลเวตให้กับมหาวิทยาลัยอีกด้วย
อาจเพราะ “มีวิชา” กระมังที่ทำให้หมากมั่นใจว่าต่อให้ศึกมารอบด้านขนาดไหน เขาก็ “เอาอยู่”
แต่หมากต้องไม่ลืมว่า “ยูโด” เป็นศิลปะการต่อสู้สำหรับการป้องกันตัวในยามคับขัน ซึ่งเหมาะสำหรับการต่อสู้ประชิดตัวในลักษณะหนึ่งต่อหนึ่งเท่านั้น ถ้ามามากกว่านั้นก็ยากที่จะคุมสถานการณ์ได้ อีกทั้งยูโดยังเป็นการต่อสู้ที่เหมาะกับสถานที่กว้างๆ ซึ่งต้องใช้พื้นที่ในการจับทุ่มลงไปสู่บนพื้นราบ แต่การมีเรื่องในผับในบาร์ลักษณะนี้คนที่คิดว่าตัวเองมีวิชาแล้วกร่างมักจะจบลงด้วยการนอนหนุนลูกปืนอยู่บนพื้นคนเดียวโดยที่ยังไม่ทันได้จับใครทุ่มสักราย
หมากยอมรับว่าตัวเองไปเที่ยวผับที่จังหวัดลำปางจริง ซึ่งเป็นการพักผ่อนหลังจากที่เขากรำงานหนักมาตลอดทั้งวัน หมากจึงนัดผองเพื่อนไปสรวลเสเฮฮาด้วยกัน โดยตอนแรกหมากบอกว่าไปกับกลุ่มเพื่อนชายล้วนไม่มีผู้หญิงเลย ก่อนที่จะ “เพิ่งจำได้” เมื่อถูกนักข่าวรุกไล่มากๆ ว่า มีเพื่อนผู้หญิงไปด้วยอีกกลุ่ม ซึ่งนั่งอยู่ที่โต๊ะข้างเขานั่นเอง
“ก็อาจจะมีเพื่อนผู้หญิงโต๊ะข้างๆ โต๊ะผมมีแต่เพื่อนผู้ชาย ผู้หญิงที่เห็นเป็นเพื่อนกันมาก่อน ขากลับก็ไปกินก๋วยเตี๋ยวกันต่อไม่มีอะไรครับ” หมากพูดแบบไม่เต็มเสียงหลังจากที่ตอนแรกยืนยันว่าไปกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายและกลับกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายล้วนๆ
อาการแบบนี้ถ้าไม่โกหกก็แสดงว่าคืนนั้นเมาจนความจำแกว่งไกวไม่เป็นระบบ!
หมากปฏิเสธเสียงแข็งว่าเขาไม่ได้มีเรื่องอะไรเลย ไปนั่งดื่มกินและฟังเพลงสนุกๆ กับเพื่อนๆ เท่านั้น รวมถึงไม่ได้หิ้วสาวสวยกลับบ้านด้วย (ก่อนที่จะเปลี่ยนเนื้อเรื่องว่ากลับกับกลุ่มเพื่อนที่มีผู้หญิงด้วย โดยการไปรับประทานก๋วยเตี๋ยวกันต่อ) ทั้งหมดนี้ขัดแย้งกับสายตานับร้อยคู่ที่เห็นเหตุการณ์เป็นอย่างยิ่ง
ประเด็นต่อมาที่คนใกล้ตัววิเคราะห์เอาไว้ก็คือ ความหมางเมินระหว่าง “เอ ศุภชัย” กับ “หมาก ปริญ” ทั้งๆ ที่เอเป็นคนปั้นหมากมากับมือ เคยดูแลทุกเรื่อง เคยให้หมากเข้ามากินอยู่หลับนอนในบ้านนักล่าฝันอะคาเดมีของเขานานหลายเดือน แต่หลังจากหมากแอบไปกุ๊กกิ๊กกับสาวร่วมบ้านอย่าง “มิ้นท์ ณัฐวรา วงศ์วาสนา” จนก่อให้เกิดข่าวลือเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่าง “หมาก - มิ้นท์” ในช่วงที่ทั้งคู่เริ่มจะโด่งดังใหม่ๆ ข่าวนี้นี่เองที่เอไม่ปลื้ม
ยิ่งในวันที่หมากตัดสินใจขอย้ายออกจากบ้านอะคาเดมีของเอเพื่อมาดูแลตัวเองนั้น เขาได้จูงมือมิ้นท์ออกมาด้วย ก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความไม่พอใจให้กับเอมากขึ้นไปใหญ่
นั่นเป็นเหตุให้หมากกลายเป็นหนุ่มในสังกัดที่เอแทบจะไม่พูดถึงเลย ต่างจาก “ณเดชน์ คูกิมิยะ” หรือ “เคน ภูภูมิ พงศ์ภานุ” ที่เอทั้งผลักทั้งดันอย่างออกนอกหน้า
เมื่อผู้จัดการสมองใสอย่างเอไม่ได้ลงมาดูแลหมากอย่างจริงจัง หมากจึงมีแต่ข่าวฉาวมากกว่าข่าวคราว เทียบกับเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกันอีกหลายคนที่ก็ยังอยู่ในวัยไล่เลี่ยกัน แต่ก็ไม่เคยมีดาราคนไหนที่มีข่าวในทำนองเสียๆ หายๆ เหมือนหมาก
คำถามหนึ่งที่นักข่าวถามหมากหลังจากที่เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาทั้งเรื่องทะเลาะวิวาทกลางผับ เรื่องเมาสุรา และเรื่องหิ้วสาวกลับบ้านแล้ว ก็คือหมากเที่ยวกลางคืนเช่นนี้บ่อยไหม?
หมากตอบว่า “ก็ไม่ได้เป็นชีวิตจิตใจนะครับ แต่บางทีก็อยากพักผ่อนบ้าง”
เมื่อถามถึงการพักผ่อนของหมากที่มักจะจบลงที่สถานที่อโคจรในยามค่ำคืนเช่นนี้เสมอ หมากก็บอกว่าการเที่ยวกลางคืนลักษณะนี้เป็นเรื่องปกติที่คนรุ่นเขาปฏิบัติกัน
“เราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง เราอยู่บนพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ วัยรุ่นทุกคนก็คงต้องทำกัน ไม่ได้ปฏิเสธหรือไม่ได้หลีกเลี่ยงอะไร เราก็ยอมรับ เราพูดความจริงตลอด ผมไม่รู้สึกแย่อะไรกับข่าวนะ ไม่ได้ไม่ใส่ใจนะ แต่ผมว่ามันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่คนอย่างเราเวลาไปเที่ยวที่ไหนแล้วคนจับตามองตลอด ผมก็ไม่ได้คิดอะไรครับ”
จริงอยู่ที่การเลือกพักผ่อนด้วยวิธีเที่ยวผับเที่ยวบาร์เป็นปกติวิสัยของคนหนุ่มสาว แต่เรื่องที่หมากควรคิดให้รอบคอบก็คือทำไมในกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เป็นดารารุ่นเดียวกับเขาไปเที่ยวแบบเขา แต่กลับไม่มีเรื่องทะเลาะวิวาทเกิดขึ้น?
..........................................................................
ที่มานิตยสารสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 134 วันที่ 28 เมษายน - 4 พฤษภาคม 2555