ช่วงปีใหม่ “เอ - ศุภชัย ศรีวิจิตร” ทำเนียนๆ คล้องกระเป๋า Hermes มุ่งตรงสู่ชั้น 13 ของอาคารมาลีนนท์ เพื่อสวัสดีปีใหม่ “นายประวิทย์ มาลีนนท์” พร้อมขายขนมสอดไส้นำเสนอ “พระ -นาง” ล็อตใหม่ โดยไม่ชายตาเวียนแวะผ่านชั้น 9 ของ “สมรักษ์ ณรงค์วิชัย” ตามขั้นตอนที่ควรจะเป็นตามระบบ จะบอกว่า ทั้งคู่ไม่มีเรื่องกินแหนงแคลงใจ ร่วมงาน และพูดคุยกันตามปกติ ใครจะเชื่อ !?
นายประวิทย์ บอกว่า เรื่องนี้ให้สมรักษ์เป็นคนตัดสินใจ ขณะที่เด็กล็อตแรกของ “เอ” ศุภชัย ผ่านมาทาง “ยุ้ย” อรอุมา มาลีนนท์ ลูกสาวคนโตของนายประวิทย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในทีมบริหารฝ่ายรายการ ตำแหน่งปัจจุบัน คือ “รองกรรมการผู้จัดการ” ถือเป็นความพยายามของ “เอ” ศุภชัย ที่จะรุกคืบอีกครั้ง และอีกขั้นของเขา จาก “ลูก” ถึง “พ่อ” ซึ่งเป็นนายใหญ่ของช่อง 3
มธุรสวาจาของนายประวิทย์ ความหมายที่แท้ที่จริง คือ กรุณาเดินตามระบบ อย่าใช้อภิสิทธิ์และลัดขั้นตอน !!
ศุภชัย แทรกแซงค่ายละคร
บอกแล้วว่า ช่อง 3 น่ะ ...ให้ความสำคัญกับ “ค่ายละคร” มากกว่า ช่อง 7 ฉะนั้น … สิ่งที่ช่อง 3 โกรธมากที่สุด ก็คือ “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร เข้าไปแทรกแซงการทำงานของค่ายละคร และครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก !!
ใครกันแน่ ระหว่าง ศุภชัย ศรีวิจิตร กับแม่ของเด็กที่อ้างว่า “มิ้นท์” ติดเรียน เล่นกับใครไม่เล่นดันมาเล่นกับ “เจ๊ปิ่น” ทีวีซีน ให้มันรู้ซะบ้างว่า ไผเป็นไผ!
“เจ๊ปิ่น” ทีวีซีน เห็นแววตาและการแสดงของ “มิ้นท์” ณัฐวรา วงศ์วาสนา ในบทร้ายของตัวละครชื่อ “ชมพูแพร” ใน “เกมร้ายเกมรัก” สะดุดสายตามาก จึงได้วางตัวให้เล่นบทร้ายต่อในละคร “หงส์สะบัดลาย” ซึ่งละครเรื่องดังกล่าวได้รับการอนุมัติจากช่องเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
พระ - นางที่วางไว้แต่แรก คือ “ป๋อ” ณัฐวุฒิ สะกิดใจ กับ “พลอย” เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ ภายหลังมีการเปลี่ยนตัวนางเอก เป็น “เจนี่ เทียนโพธิ์สุวรรณ” ถ้าเป็น “พลอย” ทำไม มิ้นท์ ถึงเล่น!! แต่พอเปลี่ยนตัวเป็น “เจนี่” ก็ทำอิดออดเล่นตัวขึ้นมาทันที
เพียงเพราะ “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร อยากจะให้ “เด็กในค่าย” รับแต่บท “บทพระเอก - นางเอก” เท่านั้น หรือถ้าจะเป็น “ตัวรอง - ตัวร้าย” ก็ต้องประกบนางเอกตัวแม่ที่มีแรงส่งดี แน่นอน แรงส่งของ “พลอย” ย่อมดีกว่า “เจนี่” แน่ ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ “มิ้นท์” ณัฐวรา จะลุกขึ้นมารักการเรียนมุ่งการศึกษาแบบฉับพลัน!!
ถ้ายังจำได้ ครั้งหนึ่งในสมัยที่ “คุณแดง” สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ยังอยู่ที่ช่อง 7 สี “เอ” ศุภชัย พามาริโอ้ เมาเร่อ เข้าพบ คุณแดง ให้คำตอบว่า ให้ มาริโอ้ เล่นเป็น “ตัวรอง” เพื่อฝึกปรือฝีไม้ลายมือก่อนมาเป็นพระเอก ความไม่พอใจที่คุณแดง จะเอา มาริโอ้ ที่ “เอ” อุตส่าห์หยิบมาจากอก “โกโก้” นิรุณ ลิ้มสมวงศ์ มาเป็น “ตัวรอง” เลยทำให้ “เอ” ศุภชัย หอบเด็กล็อตแรกทั้งหมดมาที่ช่อง 3 อันได้แก่ “แบรี่” ณเดชน์ คูกิมิยะ, “หมาก” ปริญ สุภารัตน์, “เคน” ภูภูมิ พงศ์ภาณุ, “มิ้นท์” ณัฐวรา วงศ์วาสนา, “กุ๊บกิ๊บ” สุมณทิพย์ เหลืองอุทัย, “อุ่น” ปรียานุช อาสนาจินดา
“เอ” ศุภชัย เล็งเห็นว่า ถ้าให้ มิ้นท์ เล่นบทร้ายอีกเป็นเรื่องที่ 2 อาจจะทำให้ “มิ้นท์” ต้องสิ้นสุดการหมายมั่นที่จะปั้นให้เป็นนางเอก ภาพของนางร้ายต่อให้เล่นดีและเก่งแค่ไหน ก็ยังพ่ายนางเอกอยู่นั่นเอง อีกทั้งไม่สามารถเอาภาพ “นางร้าย” ไปต่อรองขายโฆษณาได้ จึงสั่ง “มิ้นท์” ให้ถอนตัวจากละครเรื่องนี้ทันที โดยยกเอา “แม่” ขึ้นอ้างว่า อยากให้มิ้นท์เรียนหนังสือ ทำให้ “เอ” ศุภชัย เป็นแค่ “คนกลาง - ผู้นำสาร” ไม่ต้องเป็นผู้ประจันหน้ากับผู้จัด และช่อง 3 โดยตรง ที่ต้องอ้างการเรียนให้ช่อง 3 จนมุม เพราะ สมรักษ์ ณรงค์วิชัย เคยบอกว่า “การเรียนต้องมาก่อน” !!?
การถอนตัวหลังจากผ่านการอนุมัติเช่นนี้ใครจะกล้าทำ ถ้าไม่ใช่ ศุภชัย ศรีวิจิตร ผู้ทรงอิทธิพล!
ขณะที่ไม่ให้ “มิ้นท์” เล่นร้ายซ้ำสองด้วยการปฏิเสธ “หงส์สะบัดลาย” แต่กลับให้ “มิ้นท์” ไปเล่น “แรงปรารถนา” ของค่ายละครไท ของ หทัยรัตน์ อมตวาณิชย์ ที่มี ณเดชน์ คูกิมิยะ เล่นคู่กับ คิมเบอร์ลี แอน โวลเทมัส เทียมศิริ
ต้องยอมรับว่า “เอ” ศุภชัย ไม่ได้ประสบความสำเร็จ “นางเอก” ให้กับช่อง 3 ขณะที่ช่อง 7 สี “เอ” ศุภชัย ไม่ประสบความสำเร็จกับการปั้น “พระเอก” หมายจะให้เป็น “นางเอก” แต่กลายเป็น “นางร้าย” อาจจะส่งผลกับงานโฆษณา
นอกจาก “มิ้นท์” ที่ทำท่าจะเป็นนางร้ายแล้ว ยังมี “เนย” โชติกา วงศ์วิลาศ เด็กในสังกัดของ “เอ” ศุภชัย อีกคนหนึ่ง ก็สร้างชื่อจากบทร้ายทั้งละครเย็น และละครหลังข่าว ร้ายติดต่อกันถึง 7 เรื่อง ย่อมไม่ธรรมดาต้องเรียกว่า “ร้ายกาจ” ถึงบทบาทเลยทีเดียว
เรื่อง “มิ้นท์” นี้ ถือเป็นครั้งที่ 2 ที่ “เอ” ศุภชัย แทรกแซงการทำงานของผู้จัด ส่วนครั้งแรกเหตุเกิดในละครเรื่อง “เพลิงทระนง” ของค่ายเมกเกอร์วายของ “จ๋า” ยศสินี ณ นคร
พระเอกคือ มาริโอ้ เมาเร่อ ส่วนนางเอกที่ สมรักษ์ ณรงค์วิชัย ระบุไว้ คือ “แต้ว” ณัฐพร เตมีรักษ์ ซึ่งแต่เดิมนั้นเคยเป็นผู้ประกาศข่าวและพิธีกรรายการเด็กของช่อง 7 สีมาก่อน แต้ว เป็นนักแสดงคนแรกที่ “เอ” ศุภชัย พามาที่ช่อง 3 ซึ่งต่อมา... เกิดปัญหาระหว่าง “ศุภชัย - แต้ว” เนื่องจากแต้วไม่ยอมจ่าย 30% ที่เล่นละครเรื่อง “น่ารัก” และ “ยิ่งเกลียดเธอยิ่งเจอรัก” ให้แก่ผู้จัดการส่วนตัวผู้เป็นร่างทรงของ “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร ความบาดหมางนี้ ทำให้ แต้ว กลายเป็นเด็กเนรคุณในสายตาของ “เอ” ทันที และเมื่อทราบว่า เด็กเนรคุณต้องมาเล่นคู่กับพระเอกในสังกัด ก็พยายามสกัดจุดทุกวิถีทาง จน มยุรฉัตร เหมือนประสิทธิเวช ต้องออกโรงให้แยกเรื่อง “ส่วนตัว” กับ “งาน” เพราะแต้วได้รับการอนุมัติตามขั้นตอนจากฝ่ายรายการเรียบร้อยแล้ว
“เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร เริ่มเอะใจในตัว สมรักษ์ ณรงค์วิชัย ที่เอาแต่รับฟัง แต่ไม่รับทราบ ไม่ช่วยเคลียร์ !
นักแสดงคนที่ 2 ในสายของ “เอ” ศุภชัย ที่มาช่อง 3 คือ “จุ๊น” กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธ์สุข “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร ส่งผ่านไปถ่ายแฟชั่นให้แก่นิตยสาร IMAGE และ “แอร์” คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา (ผู้ก่อตั้ง, กรรมการผู้จัดการ, บรรณาธิการบริหารและผู้พิมพ์โฆษณา นิตยสาร Image) ฝากกับ สมรักษ์ ณรงค์วิชัย อีกทอดหนึ่ง คำรณ กับ สมรักษ์ มีความคุ้นเคยเนื่องจากเล่นฟิตเนสในสถานที่แห่งเดียวกัน! แทนที่ “จุ๊น” กิตติคุณ สัมฤทธิ์พันธ์สุข จะได้เซ็นสัญญากับช่อง กลับถูกนำไปเซ็นสัญญาเป็นนักแสดงของค่าย “ชลลัมพี” !!
จนเมื่อเกิดเหตุการณ์ “ฟิล์ม - แอนนี่” สมรักษ์ อ้างว่า “จุ๊น” กิตติคุณ เคยมาปรึกษาเรื่องนี้กับตน “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร มองว่า สมรักษ์ ไม่ได้ปกป้องนักแสดงในสังกัด กลับลากเอานักแสดงออกมาเอี่ยวกับเรื่องนี้ สุดท้าย … จุ๊น ประกาศลาออกจากการเป็นนักแสดงของช่อง 3 ตามหมายสั่งของ “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร ทันที
นี่คือ เรื่องระดับ “งามไส้” ระหว่าง “สมรักษ์-ศุภชัย” ปมเบื้องลึกที่ทั้งคู่ศรศิลป์ไม่กินกัน แม้จะ “ไม่ยอมรับ” ก็ตาม!! “เอ” ศุภชัย ว่า ข่าวข้ามหน้าข้ามตาสมรักษ์นั้นเป็นเพียงข่าวลือ !!
คิวเยอะ เรื่องแยะ แต่พร้อม “พยุง”
ต้องยอมรับว่า เด็กของ “เอ” ศุภชัยมาแรงที่สุดในวงการเวลานี้ และจะเป็นเช่นนี้ไปอีกนานหลายปี ต่อให้มีการประกวดประชันขันแข่งกี่สิบรายการ เขาก็ไม่กลัว! พูดอย่างนางเอก “ดาวพระศุกร์” ตามมารยาทโดยใช้กล้องหนึ่งรับเข้าที่ใบหน้าแล้วกล่าวว่า
“ด้วยน้องๆ ของเราก็ไม่ได้มีเวลาเยอะในการให้คิวกับจำนวนละครมหาศาล ที่เปิดในแต่ละปี … ฉะนั้น การทำงานของช่องก็ต้องมีเด็กบางส่วนที่มาจากเอเยนซีอื่นบ้าง เพราะต้องกระจายกันไป แต่คงอยู่ที่ความเหมาะสม แล้วเราก็ทำงานกับที่ช่อง 3 มานานแล้ว น้องๆ ของเราก็ไม่ได้มีคิวพอที่จะให้แก่ละครทุกเรื่อง มันเยอะมหาศาลมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องแบ่งปันกันไป”
อย่างที่รู้กันอยู่ว่า เด็กของ “เอ” ศุภชัย นั้น มีปัญหาในเรื่องคิวที่ต้องเฉลี่ยกันไป แต่ช่อง 3 กลับปล่อยให้เด็กกองกันอยู่ที่ชั้น 9 ด้วยเหตุผลที่ฟังจากผู้จัด ว่า เด็กเล่นไม่ได้ ไม่มีพัฒนาการ!! ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงก็มาจากการเหวี่ยงแหแล้วไม่ยอมชี้ตัวระบุชัดว่า “จะปั้น” ไม่เหมือนคุณแดง และ ศุภชัย ที่มุ่งมั่นเอาจริงกับเด็กในสังกัด เมื่อช่องไม่จัดส่ง “หิน” ไปให้ค่ายละครเจียระไน เมื่อไหร่จะได้ “เพชร”
การปล่อยให้ผู้จัดเลือกกันเอง ยังไง! ผู้จัดก็ต้องเลือกเด็กที่ผ่านงานมาแล้ว เพราะทำงานง่าย และมีหลักประกันว่า ละครเรื่องนั้นๆ จะมีผู้ชมมากพอ ดังนั้น … ต่อให้คิวเยอะ เรื่องแยะ ก็ยังต้องศิโรราบต่อเด็กในสายของ “เอ” ศุภชัย ซึ่งพอมีประสบการณ์และขายได้ ถ้าไม่คิด ไม่ทำ ไม่เริ่มต้นสร้างก็ไม่มีทางรู้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือไม่
ในวงการ ใครบ้างที่ไม่รู้จัก สมรักษ์ ณรงค์วิชัย ทำไม...ถึงไม่จัดการและวางแผนกับเด็กกลุ่มนี้ หรือกลัวว่าจะไปย้ำซ้ำรอยเดิมที่ศุภชัยกรุยทางไว้ แม้แต่เด็กที่จะมาใหม่ในปีนี้ก็ยังไม่มีหลักประกันว่า จะเล่นได้เหมือนกัน ถ้าช่องไม่สนับสนุน แม้แต่ข่าวการประกวด M Thailand ที่ว่ากันว่า จะปั้นพระเอกใหม่ก็ยังไปซุกออกข่าวก่อนฟ้าสาง แทนที่จะตีฆ้องร้องป่าวให้เป็นที่เอิกเกริก เรื่องความสามารถของเด็กเวลานี้จึงเป็นรองจาก “โอกาส”
ยกตัวอย่าง 2 กรณีที่เกิดกับเด็กที่เคยผ่านช่อง 3
“โตโน่ - เดอะสตาร์” ภาคิน คำวิลัยศักดิ์ เคยลงประกวดเวที The Idol Project 1 เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย “หน้าหล่อ ตัวเล็ก” ช่อง 3 ไม่เอา แต่ไปประสบความสำเร็จจากเวทีเดอะสตาร์ และค่ายแอ็กแซ็กท์ อย่างนี้ก็มี
“บอม” ธนิน มนูญศิลป์ นายแบบโฆษณาที่อยู่ช่อง 3 นานพอควร จนมีโอกาสได้รับ “บทตำรวจ” ตอนสุดท้ายใน “ลิขิตเสน่หา” เพียง 2 นาที แต่หล่อเหลา มาดเซอร์ถูกพูดถึงมากใน “พันทิป” เสียงสวรรค์จากผู้ชมเหมือนฟ้าประทานให้ช่อง 3 เกิดพุทธิปัญญา หูตาสว่างแบบฉับพลันจนต้องสั่งการให้เป็น 1 ใน 5 พระเอกของซีรีส์ “สุภาพบุรุษจุฑาเทพ” ทันที
ถ้าจะฟังแต่เสียงจาก “ผู้จัด” ที่ว่า เด็กเล่นไม่ได้ ดูอย่างละครเรื่องแรก “เงารักลวงใจ” ที่ “หมาก” ปริญ สุภารัตน์ และ “มิ้นท์” ณัฐวรา เล่น จะบอกว่า เล่นได้เต็มร้อยก็คงไม่ใช่ ออกจะน่ารำคาญด้วยซ้ำไป แต่ค่ายก็รู้จักและช่วยกันพยุง จนทำให้เด็กผ่านละครเรื่องนั้นๆ ไปได้ ทุกคนต้องมีก้าวแรกที่ไม่แข็งแรงด้วยกันทั้งนั้น
ขณะที่ เด็ก “เอ” ศุภชัย ทุกคนแห่แหนกันไปพยุง แต่เด็กที่ค่ายสร้างมากับมือกลับทิ้งขว้างอย่างน่าเสียดาย บางทีอาจเป็นไปได้ว่า ช่อง 3 ชอบอาหารที่ถูกปรุงเสร็จสรรพมาแล้ว ขี้เกียจไปตลาดหาซื้อผักปลามานั่งทำให้เสียเวลา ดังนั้น จึงไม่แปลก เมื่อช่อง 3 คิดจะขยายฐานผู้ชมไปต่างจังหวัด ก็เลยต้องกวาดเอาคนของช่อง 7 ที่เข้าถึง “ชาวบ้าน” มากกว่ามาไว้ในครอบครอง ไม่ว่าจะเป็นคนข่าว, ดารา, นักเขียนบท, ผู้กำกับ ฯลฯ
ขนบและวิธีทำงานของศุภชัย
หลังจากที่ “เอ” ศุภชัย พูดตามประสานางเอก อย่าง “ดาวพระศุกร์” ไปแล้ว แต่ทันทีที่หันขวับกลับหลังหันให้สื่อ “ไมค์รวม” สีหน้าของ “ดาวพระศุกร์” ก็แปรเปลี่ยนเป็น “เรยา” อย่างเนียนๆ และกล้องสองเริ่มทำงานทันที
“คิดว่า สู้เด็กของฉันได้ก็เอาซิ...!!!”
ปรากฏการณ์ของ “เอ” ศุภชัย เกิดขึ้น ส่งผลให้บรรดา “นักปั้น - แมวมอง - โมเดลลิ่ง” ที่ว่าแน่ๆ ตกร่วงลงท่อ ลงน้ำครำกันระนาว !! ซึ่งการทำงานของกลุ่มนักปั้นยังยึดอยู่กับขนบและประเพณีนิยมแบบเดิมๆ นั่นก็คือ “การส่งเด็กประกวด” ผลก็คือ เด็กที่ได้จากเวทีเหล่านี้ไม่มีความสดใหม่ และรู้จักกันเฉพาะในหมู่ผู้เข้าร่วมการประกวดเท่านั้น แต่เด็กของศุภชัยไม่ต้องผ่านการประกวดให้หน้าช้ำ เด็กบางคนที่เขาเห็นว่ารูปร่าง หน้าอยู่ในเกณฑ์ และ “อินเทรนด์” ทว่า สังกัดอยู่กับโมเดลลิ่งอื่น ก็จะส่งคนไปเจรจาขอซื้อสัญญา หรือให้เด็กนั่นแหละบากหน้าหอบเงินไปขอสัญญาคืนโดยตัวเองไม่ต้องออกหน้า
ราคามาตรฐานที่จ่ายอยู่ไม่เกิน 5 หมื่นบาท!! และสูงสุด 1 แสนบาท หากคนนั้นแสงออร่าเปล่งมากระแทกตา “เอ” ศุภชัย
แต่บอกไว้ก่อนว่า เป็นการ “ซื้อขาด” ขายแล้วอย่ามาทำอ้อยสร้อย เมาท์มอยลับหลังว่า ได้น้อย เหมือนกรณีบาดหมางระหว่าง “เอ” ศุภชัย กับ กะเทยนายหน้า...หน้าสยอง นางหนึ่งที่มานึกเสียดาย “นางเอก 7 สี” ที่ตัวเองขายสัญญาให้ แต่ต่อมาเห็นแก่ผลประโยชน์ที่ได้มาเป็นกอบเป็นกำจากงานโฆษณา “เอ” ศุภชัย จึงแจก “แต๊ะเอีย” ปิดปากกะเทยนางนั้นอีกจิ๊บๆ ด้วยเงินตัวเลขแค่หกหลัก!
หลังจากได้ตัวเด็กใหม่ หรือเด็กเก่าจากที่อื่น เด็กเหล่านี้จะถูกนำมาผลักดัน พัฒนา และสร้างใหม่ ในบ้านสี่ฤดู ไม่ว่าจะเป็นด้านหน้าตา และทักษะฝีมือในการแสดง เพราะภาพลักษณ์ใหม่นี้จะไปเพิ่มมูลค่าให้แก่เด็กและตัวเอง
โครงหน้าดี แต่ยังไม่ลงตัวต้องส่งไปทุบ ตบ แต่ง ที่เกาหลี ผลงานที่มีตามมาก็ใช้การถ่ายแฟชั่นเป็นใบเบิกทาง และต้องยอมรับว่า เด็กของเขาดีจริงในด้านหน้าตา ที่มาพร้อมกับแนวนิยม ดังกรณีของ “เคน” ภูภูมิ ที่ส่งไปศัลยกรรมใหม่ที่เกาหลี เพื่อนำมาสร้างมูลค่าเพิ่ม เปลี่ยนชื่อดั้งเดิมจาก “เบลล์ เบลล์” เป็น “เคน” ให้เหมือนกับพระเอกคนดัง ธีรเดช วงศ์พัวพันธ์ แถมเรียก ภูภูมิ ในวงการว่า “เคนเล็ก” เปลี่ยนชื่อจริงจากเดิม คือ “อดิพงษ์ พันละแหง, อดิพงศ์ พงศ์ภานุ, ธนะภูมิ พงศ์ภานุ” มาเป็น “ภูภูมิ พงศ์ภาณุ” ตามคำแนะนำของหมอดูประจำตัว “โขมพัสตร์ อรรถยา” จากนั้นส่งไปเปิดตัวถ่ายแบบครั้งแรกในนิตยสาร IMAGE ก่อนเข้าวงการ
ขนบใหม่ของ ศุภชัย ที่สร้างขึ้นนี้มีลักษณะพิเศษเฉพาะตัว ยากที่จะลอกเลียนแบบ ผิดกับบรรดาแมวมองปลาซิว ปลาสร้อย กว่าจะได้ส่วนแบ่งจากเงินรางวัลชนะเลิศ ก็ต้องนั่งรถห้อตะบึงไปร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำแบบไม่มีหลักประกัน
จุดอ่อนของบรรดาโมเดลลิ่งทั่วไป ก็คือ ไม่รู้จักสื่อ!! หรือรู้จักแค่ผู้สื่อข่าวบันเทิงบางคนที่วนเวียนหากินอยู่กับเวทีประกวด สิ่งที่นักปั้นเหล่านั้นจะได้ก็แค่ข่าวสั้นๆ แต่ “เอ” ศุภชัย ใช้จุดแข็ง และคอนเนกชันของตัวเองพาเด็กไปปูพื้นด้วยการถ่ายแฟชั่นกับนิตยสารแฟชั่นชั้นนำ ภายใต้เงื่อนไขว่า “ต้องขึ้นปก” หรือไม่ต้องเป็นบทสัมภาษณ์ที่มีความสำคัญโดดเด่นภายในเล่ม ไม่ใช่ประเภท “กะโหลก - กะลา” เอาไปหลบอยู่ตามซอกมุม ซอกหลืบ ซึ่งกระบวนการทำงานในขั้นตอนนี้ ไม่ใช่แค่เล่มเดียว แต่ “เอ” ศุภชัย วางต่อเนื่องแบบปูพรม ปักษ์นี้ ปักษ์หน้า ปักษ์โน้น ไล่เรียงหัวหนังสือกันไปอย่างเป็นเรื่องเป็นราว เพื่อให้ภาพ หน้าตา และชื่อ เป็นที่จดจำ
แหล่งข่าวในวงการแฟชั่น บอกว่า “เอ” ศุภชัย พร้อมกรุยทางหยอดน้ำมันให้ฟันเฟืองแล่นได้โดยสะดวก ลงหลายเล่มให้คุ้นหน้า คุ้นตากันไปเลย ถ้าเป็นเด็กในสังกัดและเริ่มมีชื่อเสียงก็จะเริ่มการขายพ่วง!! เช่น มาริโอ้ ขึ้นปก ข้างในก็ต้องมีเด็กคนอื่นในสังกัดเข้ามาพ่วงความดัง เพราะ “เอ” ถนัดในการสร้างข่าวเพื่อให้เด็กเป็นที่จดจำในการใช้งานครั้งต่อไป เช่น วันที่ “อั้ม” พัชราภา ไชยเชื้อ ถ่ายโฆษณาให้แก่มิสทิน ก็พ่วงเอา “หมาก” ปริญ สุภารัตน์ ไปถือและใส่รองเท้าให้ พัชราภา เอาเด็กใหม่ประกบดาราดัง คนจะไม่จดจำชื่อเด็กคนนั้นได้อย่างไร เมื่อเด็กเริ่มออกสื่อระยะหนึ่ง ก็ใช้เป็นจุดขายนำเสนอส่งตัวเข้าช่อง
การขายพ่วงไม่ใช่เฉพาะงานถ่ายแบบ แต่รวมถึงงานโฆษณาและภาพยนตร์ด้วย เช่น ภาพยนตร์ “30 กำลังแจ๋ว” ซึ่งกำกับการแสดงโดย สมจริง ศรีสุภาพ ของค่าย M 39 ถ้าอยากจะได้ “อั้ม” พัชราภา ไชยเชื้อ เป็นนางเอก พระเอกก็ต้องเป็น “เคน” ภูภูมิ ซึ่งถูกกำหนดมาแต่แรก แต่ก็ต้องสร้างข่าวเกลื่อนกลบความลับนี้ในระยะแรกด้วยการควานหาตัวพระเอกกันจ้าละหวั่น
จากนั้นก็เอาผลงานเหล่านี้ไปขายโฆษณาต่อ “เคน” ภูภูมิ เพิ่งจะเข้าวงการ แต่มีโฆษณามากถึง 7 ตัว ในขณะที่ “โฬม” พัชฏะ นามปาน เป็นพระเอกของช่อง 3 แท้ๆ ทำงานมานานถึง 3 ปีเพิ่งจะมีโฆษณา “โตโยต้า”
นอกจากนี้ “เอ” ศุภชัย ยังมีการขายพ่วงในวงการโฆษณา เช่น มันฝรั่งเลย์ อยากได้ “ณเดชน์ คูกิมิยะ” และใช้พรีเซ็นเตอร์คนเดียวเหมือนทุกครั้ง แต่ ศุภชัย ก็สามารถกล่อมจนสามารถขายพ่วง “ญาญ่า” อุรัสยา เสปอร์บันด์ ดาราอีกคนหนึ่งของช่อง 3 เข้าไปประกบคู่ทั้งที่ ญาญ่า ไม่ใช่เด็กในสังกัดของ “เอ” ศุภชัย
เมื่อหลายปีก่อน วงการถ่ายแบบแฟชั่นต้องปรับค่าตัวนายแบบ - นางแบบ จาก 5-8 พันบาทขึ้นมาเป็นหลักหมื่น ยิ่งแฟชั่นเซตพิเศษ ที่เรียกว่า “แฟชั่นแอด” (กรณีที่ขายพ่วงแฟชั่นไปกับสินค้าบางตัว) ราคาค่าตัวเป็นแสน ก็มาจากจุดเริ่มต้นของขนบใหม่ของศุภชัย อีกนั่นแหละ เพราะศุภชัยประกาศค่าตัวขั้นต่ำของเด็กใหม่ในสังกัดอยู่ที่ 20,000 บาทถ้วน แถมยังนับชุดถ่ายอีกต่างหาก ปกติแฟชั่น 1 เซต จะถูกไว้วางที่ 8 หน้า 8 ชุด เท่ากับ 1 ยกหนังสือ แต่เด็กที่มาตามสายของ “เอ” ศุภชัย ถ่ายแค่ 6 ชุด ชุดที่ 7 ลองเอามาสิ “อั้ม” พัชราภา ก็จะไม่ยอมชายตามองแม้แต่น้อย การดัน “ดารา” เข้ามาสู่งานถ่ายแบบและเดินแฟชั่น ทำให้นายแบบ - นางแบบมืออาชีพแทบจะต้องม้วนเสื่อกลับไปขายกล้วยปิ้ง
เมื่อปูพื้นในเรื่องการถ่ายแบบแล้ว ก็จะให้ส่งเด็กไปเรียนการแสดง “ติวเข้ม” กับ “คุณน้อย” หม่อมหลวง พันธุ์เทวนพ เทวกุล แบบรายตัวอีกครั้ง เพื่อนำไปสู่ขั้นตอนของการ “สกรีนเทสต์” ส่งเด็กไปขายให้ช่องช้อป!
ช่องไม่ต้อง! “เอ” ศุภชัย จัด “สกรีนเทสต์” ให้
พูดให้เข้าใจง่ายๆ ขั้นตอนการทำสกรีนเทสต์ ก็คือ การบันทึกภาพวิดีโอ ทดสอบทักษะการแสดงนั่นเอง เด็กทุกคนจะต้องแสดงบทบาทไปทุกอารมณ์ ดีใจ เสียใจ ร้องไห้ เรียกว่า ทั้งตลก ดราม่า มาครบ นอกจากนี้ ยังมีถ่ายภาพประกอบ เต็มตัว และภาพโคลสอัป ทั้งหน้าตรง และด้านข้าง พร้อมทั้งแนะนำตัว อาจจะมีบทสัมภาษณ์สั้นๆ รวมอยู่ด้วย ความยาวจะอยู่ที่คนละ 5-10 นาที ต่อคน (หรืออาจจะยาวกว่า แต่ไม่เกิน 30 นาที)
หากเป็นเด็กจากที่อื่นๆ ที่เสนอเข้ามาทางช่อง ไม่ว่าจะเป็นช่อง 7 หรือ ช่อง 3 ทีมงานฝ่าย “คัดเลือกศิลปิน” จะดูจากโปรไฟล์ที่ส่งมา - จากนั้นจะมีการแฟกซ์ (สมัยก่อน) ส่งบท และนัดหมายมาทำสกรีนเทสต์ที่สถานี ถ้าเป็นช่อง 3 ก็ทำกันที่ชั้น 9 ของตึกมาลีนนท์
ไม่ใช่ว่า “เอ” ศุภชัย มีอภิสิทธิ์ !! แต่ “เอ” ศุภชัย สามารถทะลวงไส้ ลักไก่ ยกค่าน้ำชา และสอดผ่านสกรีนเทสต์ที่ทำมาเองเข้าไปให้สถานี โดยที่ผู้ใหญ่ไม่อาจล่วงรู้
เงื่อนไขต่างๆ สำหรับการเป็น “ดารา” ของ “เอ” ศุภชัย คือ หนึ่ง เซ็นสัญญากับช่อง และต้องเป็น “พระเอก - นางเอก” เท่านั้น ขณะที่นโยบายเดิมของช่อง 3 เริ่มจากให้เด็กเซ็นสัญญาค่ายก่อน เมื่อดังแล้ว มีแวว ถึงจับมาเซ็นช่อง แต่เอก็เป็นผู้ทลายกฎข้ามขั้นตอนไปเซ็นช่องเลย
“เอ” ศุภชัย จะทำหน้าที่เหมือนครูใหญ่ และเด็กแต่ละคนจะมีผู้จัดการส่วนตัวต่างหาก ซึ่งก็คือ ครูผู้น้อย หรือครูประจำชั้นนั่นเอง โดยครูผู้น้อยเหล่านี้ต้องขึ้นตรงต่อครูใหญ่ในการจัดสรร แบ่งปันผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ครูใหญ่มีหน้าที่เดียว คือ ออกสื่อสร้างข่าวประชาสัมพันธ์ให้แก่ตัวเอง และเด็กในสังกัดอยู่ในกระแส เพราะฉะนั้น เราจะไม่เคยเห็น “เอ” ศุภชัย หิ้วกระเป๋า Hermes ไปปูเสื่อนั่งรอเด็กในกองถ่าย, ไม่เป็นกรรมการตัดสินหนุ่มหล่อ สาวสวย หรือหากจะรับเทียบเป็นกรรมการ ก็ต้องนั่งเคียง “อั้ม” พัชราภา เท่านั้น, ไม่เคยปรากฏตัวในสถานที่อโคจร เช่น คลับ - บาร์ แต่ “เอ” จะไปปรากฏตัว ณ สถานที่ซึ่งมีสื่อมวลชนไมค์รวมมากันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งเท่านั้น
นี่เองเป็นที่มาของประโยคที่ว่า ศุภชัย คือ “ดาวพระศุกร์” ที่เมืองไทย แต่ที่เมืองนอก เธอคือ “เรยา” ที่สนุกสุดเหวี่ยงกับความสุข ยากที่ใครจะเทียบเคียงเสมอเหมือน และศุภชัยไม่ได้มีคอนเนกชันแต่ในเมืองไทยเท่านั้น
เด็กที่ทำงานเต็มที่จะได้ผลประโยชน์ตอบแทนคุ้มค่าเช่นเดียวกัน นี่เองที่ทำให้ “เอ” ศุภชัย “เอาเด็ก (และแม่พ่อเด็ก) อยู่” สามารถชี้เป็นชี้ตายให้แก่เด็กในสังกัดได้ และเด็กอยู่ในโอวาททุกคน แต่ก็นั่นแหละ แต่ใช่ว่า ปั้นแล้วจะประสบความสำเร็จทุกคน มุมขมขื่นสำหรับ “เอ” ศุภชัย ก็มี เพียงแต่เขาไม่ค่อยพูดเท่านั้นเอง
คอนเนกชันสายงานโฆษณาปึ้กชี้นกเป็นไม้!
“เอ” ศุภชัย มักพูดกับสื่อในยามที่ถูกถามเรื่องค่าตัวเด็กสังกัดในการเล่นละครแต่ละเรื่องว่า “(พี่) เอไม่รู้เรื่องจริงๆ” หรือ “เท่าไหร่ก็แล้วแต่ช่องจะให้ (พี่) เอไม่เคยเรียกร้อง”
ใช่สิ ค่าตัวละคร “เอ” ศุภชัย จะไปสนใจใคร่รู้ทำไม เพราะเป็นแค่เงินกรุบกริบ จิ๊บๆ เม็ดเงินที่ “เอ” ศุภชัย กอบโกยจากเด็กในสังกัด คือ เงินจากโฆษณา และงานอีเวนต์ต่างๆ
ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร กวาดเอาสินค้าทุกประเภทนอกจาก “ผิว” และ “ผม” ที่กินมาตลอด ยังแตกไลน์ไปที่สินค้าเด่นๆ แทบทุกประเภท อย่าง มิสทิน, แอลจี, ซัมซุง, ฟีโน่, อีซูซุ ทุกรุ่นทุกแบบต้องใช้เด็กของ “เอ” ศุภชัย
ที่สำคัญ “เอ” ศุภชัย คนนี้แหละ ยังสามารถแหกกฎโฆษณา ที่แต่ไหนแต่ไรมาเจ้าของสินค้าจะไม่ยอมใช้ “พรีเซ็นเตอร์” คนเดียวกัน ในสินค้าประเภทเดียวกัน เพราะถือว่าเป็นแบรนด์คู่แข่ง “เอ” ศุภชัย เก่งกาจสามารถในการโน้มน้าวน้อมนำ จนเจ้าของสินค้า ยอมใส่ส่วนผสมอื่นในสินค้านั้น เพื่อให้แตกต่างออกไป ตามคำแนะนำขอ “เอ” ศุภชัย หากอยากได้เด็กสังกัดของเธอเป็นพรีเซ็นเตอร์...นอกจากนี้ สินค้าสำหรับผู้หญิง ยังเอาผู้ชายไปถ่ายได้ เอากับ “เอ” ศุภชัย สิ
เขาไม่ได้นั่งรอ “งานโฆษณา” ตามใบสั่งอย่างที่โมเดลลิ่งนิยมทำกัน แต่ “เอ” จะรุกขายโปรเจกต์เอง เช่น ดาราคนนี้จะมีละครออนแอร์จะถ่ายโฆษณาไหม สินค้าเดิมจะใช้พรีเซ็นเตอร์ใหม่หรือเปล่า หรือถ่ายใหม่มั้ยจะได้ไม่ตกเทรนด์ สารพัดสารพันจะทำทุกอย่างด้วยตัวเอง นอกจากเด็กในสังกัดตัวเองแล้ว “เอ” ศุภชัย ยังอาสาเป็นนายหน้า เจรจาค่าตัวดาราระดับ พระเอก นางเอก แถวหน้า ทุกค่าย ทุกช่อง ยกเว้น “เอ็กแซ็กท์”!!!
ที่ ศุภชัย ศรีวิจิตร มีวันนี้ เพราะรู้จักการเริ่มต้น ไปตลาด ซื้ออาหารสดมาทำกับข้าวด้วยสูตรของตัวเอง รู้จักการจัดแต่งให้จานอาหารน่ารับประทานแล้วพร้อมเสิร์ฟ … ช่อง 3 รับอาหารจานนั้นมากินอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งๆ ที่มีแม่ครัวฝีมือเลิศ และพืช ผัก อาหารกองเต็มอยู่ในบ้าน แต่ไม่รู้จะบริหารจัดการอย่างไร
เหล่านี้คือเบื้องลึก เบื้องหลัง ของ “มหกรรมตามล่าพระเอก - นางเอก” ของช่อง 3 ที่ดำเนินการอยู่อย่างขะมักเขม้น ภายใต้แรงกดดันที่ “เอ” ศุภชัย ศรีวิจิตร ผู้ทรงอิทธิพลในวงการตัวจริงพยายามโหมใส่เป็นระยะๆ