ทันทีที่หน้าหล่อๆ ของพระเอกสุดฮอตทั้ง 5 ประจำโปรเจกต์บิ๊กเบิ้มส่งท้ายปีของช่อง 3 เผยโฉมขึ้น “เคน-ภูภูมิ” ก็ถูกจับตามองมากที่สุดด้วยข้อสงสัยใหญ่ๆ ที่ว่า “เป็นใคร-มาจากไหน?” ที่สำคัญ “ทำไมต้นสังกัดถึงได้ดันจนออกนอกหน้าขนาดนี้?” ตามมาด้วยคำครหาต่างๆ นานาที่ถูกปล่อยออกมาเป็นระลอกๆ ไม่ว่าจะเป็น “ศัลยกรรมมาชัวร์!” และ “สาวแตกสุดๆ” ถึงวันนี้เมื่อผลงานละครเรื่องแรกของเขาปรากฏสู่สายตาทุกคน ยังไม่วาย มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ซ้ำเติมอีกว่า “ไม่ผ่าน!” มาดูกันว่าพระเอกหน้าละอ่อนวัย 20 รายนี้จะทนแรงเสียดทานได้มากน้อยขนาดไหน
4+1 = ดัง+ดัน โปรเจกต์
ถ้าเทียบกับบรรดา “4+1 Channel 3’s Superstar Project” ด้วยกันแล้ว ทั้ง โอ้-มาริโอ้ เมาเร่า, หมาก-ปริญ สุภารัตน์, บอย-ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ และ แบร์รี่-ณเดชน์ คูกิมิยะ ต่างก็มีผลงานในวงการสร้างชื่อเป็นที่น่าจดจำให้ผู้ชมได้เห็นกันมาก่อนแล้ว
มีเพียงพระเอกน้องใหม่อย่าง “เคน-ภูภูมิ พงศ์ภาณุ” คนเดียวเท่านั้นที่เพิ่งแกะกล่องออกมาสดๆ ร้อนๆ แล้วถูกหยิบมาป้อนชื่อเสียงกันโดยไม่รีรอ จนกลายเป็นที่ครหาในวงกว้างว่าชื่อโปรเจกต์ 4+1 ที่ว่านี้ นอกจากจะสื่อความหมายเพื่อฉลอง 41 ปีของช่อง 3 แล้ว ยังสะท้อนนัยการเอาพระเอกรุ่นพี่ทั้ง 4 มาดันอีก 1 รุ่นน้องอย่างออกนอกหน้าด้วย เพราะแม้แต่นักแสดงหนุ่มมาแรงอายุไล่เลี่ยกันอย่าง “โป๊บ-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ” ยังไม่ถูกจับขึ้นหิ้งโชว์ขนาดนี้เลย คงต้องถามเจ้าตัวแล้วว่ารู้สึกอย่างไรบ้างกับการเป็นเด็กเส้น
“คนคงมองประมาณว่าไอ้นี่มันเป็นใครวะใช่ปะ (ยิ้มอย่างเข้าใจ) มันเป็นโปรเจกต์ของทางผู้ใหญ่เขาครับ ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ส่วนตัวแล้วถ้าถามผม ผมไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นเด็กเส้น หรือเส้นใหญ่กว่านักแสดงคนอื่นนะ มันน่าจะเป็นเรื่องของโอกาสมากกว่า ซึ่งผู้ใหญ่เขาก็ให้โอกาสกับเด็กรุ่นใหม่ทุกคนแหละครับ แต่เผอิญว่าผมอาจจะโชคดีกว่าคนอื่นที่ได้โอกาสตรงนี้พอดี”
“ผมว่าเขาคงไม่ได้ทำโปรเจกต์นี้ขึ้นมาเพื่อดันผมคนเดียวหรอกครับ เพราะทั้งโอ้, ณเดชน์, หมาก, พี่บอย ก็มีละครของตัวเองในโปรเจกต์นี้เหมือนกัน แล้วที่คนคิดกันว่าบวกหนึ่งคือบวกผมเข้าไป มันไม่ใช่หรอกครับ ผู้ใหญ่เขาแค่ต้องการให้ชื่อ 4+1 มันฟังดูน่าติดตาม เหมือนกับว่าพอมีโปรเจกต์นี้ขึ้นมา มันทำให้คนดูติดตามต่อกันเป็นเรื่องๆ ไป แต่เผอิญว่าในนั้นมันมีละครของผมเข้ามาด้วย ก็เลยได้เป็น 4+1 แค่นั้นเองครับ ผมไม่เคยคิดว่าตัวเองถูกดันเป็นพิเศษนะ แต่ผมเชื่อเรื่องโชคชะตา มันคงเป็นดวงของผม เป็นโชคดีของผม ทำให้ได้มาทำอะไรแบบนี้”
หลายคนอาจจะมองว่าเขาคือพระเอกที่ผู้จัดการดาราชื่อดังอย่าง “เอ-ศุภชัย” หมายมั่นปั้นมือมาตั้งแต่แรกที่จะมอบตำแหน่งให้ แต่เคนยังยืนยันด้วยท่าทีนอบน้อมว่า “ตอนแรกที่พี่เอดึงตัวผมเข้าสังกัด พี่เขาไม่ได้พูดถึงเรื่องงานในอนาคตเลย บอกแค่ว่าให้ตั้งใจทำงานนะ แค่นั้นเอง ผมก็พยายามครับ พอวันหนึ่งได้มาอยู่จุดนี้ก็รู้สึกแปลกครับ แปลกมาก (ยิ้มกับตัวเอง) ไม่เคยคิดเลยจริงๆ ว่าจะได้รับโอกาสแบบนี้”
วิถีสู่ “เด็กเอ”
ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นที่รู้จักในฐานะพระเอกหนุ่มหล่อหน้าใหม่อย่างทุกวันนี้ เพราะเขาไม่เคยมีความคิดที่จะเข้าวงการด้วยตัวเองมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว ส่วนที่ได้แสดงเรื่อง “หอแต๋วแตก” ภาพยนตร์เรื่องแรกในชีวิต ก็เป็นเพราะจับพลัดจับผลูเข้าไปเท่านั้นเอง
“พูดจริงๆ ว่าผมไม่เคยคิดจะเข้าวงการเลย ตอนที่ไปแคสต์หนังกับเพื่อนก็ไม่ได้คิดอะไร แค่ไปเป็นเพื่อนเพื่อนเฉยๆ ครับ พอดีว่าเพื่อนผมอยู่โมเดลลิ่ง มีคนช่วยหางานให้ ส่งไปแคสต์ ก็เลยชวนผมไปด้วย ตอนนั้นผมก็ไปแบบไม่คิดอะไร ใส่ชุด ร.ด. ไป หัวยังสกินเฮดอยู่เลยครับ ตอนที่แคสต์ก็คิดอย่างเดียวว่าอยากรีบๆ กลับไปเล่นบอล (หัวเราะ) สุดท้ายก็ได้รับบทเล็กๆ น้อยๆ ในหนัง ไม่ต้องทำอะไรมาก เล่นเป็นนักเรียน ไม่มีบทพูดเลย วิ่งหนีผีอย่างเดียว (หัวเราะ)” พระเอกป้ายแดงย้อนความหลังครั้งยังอายุ 16 ให้ฟัง
“พอถ่ายเสร็จ หนังฉาย ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม แล้วก็ไม่ได้รับงานอะไรในวงการอีกเลยประมาณ 2-3 ปี เพิ่งจะมาเริ่มทำงานจริงๆ อีกทีก็ตอนอยู่กับพี่เอนี่แหละครับ แล้วตอนที่เจอกันก็เป็นแบบฟลุกๆ ด้วย ตอนนั้นผมไปดูหนังกับเพื่อนที่เอสพลานาด ผู้ช่วยพี่เอเขาก็เข้ามาคุย ขอเบอร์ติดต่อ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกเลยที่มีคนเดินเข้ามาถามเราแบบนี้ ผมยังกล้าๆ กลัวๆ เลยให้เบอร์คุณแม่ไป ให้คุณแม่รับหน้าแทน (ยิ้ม) จากนั้นพี่เอก็นัดเข้าไปเจอที่บ้าน บอกว่าให้พาพ่อแม่เข้าไปด้วย คุยกันเรื่องสัญญา เรื่องงาน เสร็จแล้วก็ส่งเราไปเรียนแอ็กติ้ง แล้วก็สั่งให้ไปฟิตหุ่นเลยครับ”
ถ้าเป็นเด็กวัยรุ่นคนอื่นๆ ได้ยินชื่อ “เอ-ศุภชัย” คงตาวาวไปแล้ว เพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังเป็นผู้โชคดี จะได้เป็นดาราดัง รวยระดับหลายล้าน แต่สำหรับเคน เขากลับมีความคิดไม่อยากทำผุดขึ้นมาในหัวเป็นระยะๆ เพราะตอนนั้นยังมีความเป็นเด็กสูง ติดเพื่อน และรักชีวิตวัยรุ่นมากกว่า โชคดีที่รั้วดาราของพี่เอไม่ได้สร้างความกดดันให้เด็กในสังกัดเท่าใดนัก “พี่เขาจะค่อยๆ ให้งานเราทำ เริ่มจากงานเล็กๆ น้อยๆ ก่อน เหมือนกับค่อยๆ ฝึกให้เรามีความรับผิดชอบ” เคนจึงสามารถเติบโตมาในรั้วเงินรั้วทองแห่งนี้ได้ถึงทุกวันนี้
“ดัน” หรือ “ดับ” ดารา
ปล่อยให้นั่งๆ นอนๆ เป็นเด็กในสังกัดศุภชัยอยู่ได้สองเดือนก็ถึงเวลาแสดงความสามารถของเขาสักที เคนเปิดตัวครั้งแรกในฐานะนายแบบแฟชั่นโชว์ ทั้งๆ ที่ไม่เคยเรียนเดินแบบมาก่อน แถมยังต้องเจอแสงแฟลชมากมายเป็นครั้งแรกในชีวิต ด้วยความที่เป็นคนขี้อายอยู่แล้วจึงทั้งสั่นทั้งเกร็ง แต่สุดท้ายก็ผ่านมาได้ด้วยการเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง
“ไปเดินแฟชั่นโชว์ เป็นงานแรกที่ได้เจอเพื่อนๆ ในวงการ ได้เจอณเดชน์ เขายังแนะนำผมอยู่เลยว่าต้องเดินยังไง โพสยังไง ตอนนั้นผมยังไม่ได้เรียนเดินแบบเลยครับ เรียนแค่แอ็กติ้งอย่างเดียว ผมเลยเดินเหมือนเดินเล่นปกติ ตอนแรกผมก็คิดว่าผมเดินดีแล้วนะ พอไปเรียนถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่ พอผ่านงานนั้นไป พี่เอก็เลยส่งผมไปเรียนเดินแบบครับ พี่เขาคงทนไม่ไหว (ยิ้ม)”
“ไปเรียนอยู่ประมาณ 2 คลาส ครูเข้ามาบิดหลัง บิดไหล่ของเราเลย บอกว่ายังไม่ได้นะ ต้องให้หลังตรง ให้ไหล่ผายกว่านี้ แล้วก็สอนโพส สอนการกลับตัว การจับจังหวะในการเดิน เพลงช้าต้องเดินยังไง ถ้าเพลงเร็วต้องเปลี่ยนเป็นก้าวแบบไหนถึงจะสวย สอนทุกอย่างเลย ถึงได้รู้ว่าครั้งแรกที่เดินมันผิด (หัวเราะ) ที่เหลือก็อาศัยฝึกจากการทำงานจริง บนเวทีจริงๆ นี่แหละครับ ทุกวันนี้ก็เริ่มชินแล้ว อายน้อยลง แล้วก็รู้มุมโพส (เอียงหน้าโชว์ซีกซ้าย) ผมชอบโพสด้านนี้ตลอด อาจจะเพราะซีกหน้าด้านนี้หล่อกว่ามั้งครับ (หัวเราะเบาๆ ก่อนปิดท้ายด้วยน้ำเสียงขรึมๆ ว่า) แต่ก็ยังต้องฝึกอีก... ฝึกอีกเยอะเลยครับ”
คงไม่ต่างไปจาก “สามหนุ่มเนื้อทอง” ละครเรื่องแรกในชีวิตของเขาที่หลายคนลงความเห็นพ้องกันว่า “ยังต้องฝึกอีกเยอะ” เพราะเคนยังดูไม่ใช่ “ธีธัช” หนุ่มเพลย์บอยเจ้าเสน่ห์อย่างที่ควรจะเป็น ถึงแม้ว่ารูปร่างหน้าตาภายนอกจะเหมาะสมกับบท แต่ลักษณะการพูดและท่าทีของเขายังมีความเป็นเด็กเจืออยู่สูงมาก ทำให้คนดูส่วนใหญ่ไม่สามารถอินไปด้วยได้ พานให้เหมารวมไปยังต้นสังกัดด้วยว่าไม่ควรรีบเอาเพชรที่ยังไม่ถูกเจียระไนออกมาโชว์
หลายความเห็นกังวลไปถึงขั้นกลัวว่าละครเรื่อง “แรงเงา” ที่จับนางเอกมือดีอย่าง “เจนี่-เทียนโพธิ์สุวรรณ” มาคู่กับเขา จะกลายเป็น “ดับดารา” แทน “ดันดารา” เสียมากกว่า อย่างไรก็ตาม คงต้องรอดูกันต่อไปว่าผู้ชมทั้งประเทศจะยินดีให้โอกาสเด็กคนนี้ได้ลองผิดลองถูกหน้ากล้องไปได้ขนาดไหน
โมดิฟายยกเซต
หากลองเสิร์ชชื่อ “เคน-ภูภูมิ พงศ์ภาณุ” ดู จะปรากฏภาพ ข่าว และประวัติของพระเอกหนุ่มหน้าหล่อคนหนึ่งขึ้นมามากมาย แต่ถ้าเปลี่ยนมาเสิร์ชชื่อ “เบลล์-อดิพงษ์ พันละแหง” ซึ่งเป็นชื่อจริงตามทะเบียนบ้านของเขา จะพบภาพของเด็กชายอีกคนที่หน้าตาคล้ายกัน แต่ไม่น่าจะใช่คนเดียวกันได้ เพราะองค์ประกอบต่างๆ บนใบหน้าดูเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ทั้งที่ “เบลล์” ในอดีต และ “เคน” ในปัจจุบันคือคนคนเดียวกัน จึงกลายเป็นประเด็นถกเถียง นำภาพหน้าตาที่เปลี่ยนแปลงไปของเขามาเปรียบเทียบกันเป็นการใหญ่ ถึงขั้นออกมาคอนเฟิร์มว่าไปโมดิฟายหน้าที่เกาหลีมาแน่นอน เคนหัวเราะแบบปลงๆ ในสิ่งที่ได้ยิน แล้วค่อยๆ แก้ต่างทีละเรื่อง
“เรื่องเปลี่ยนชื่อ ผมเปลี่ยนจริงครับ คือชื่อจริงๆ ของผมคือ เบลล์-อดิพงษ์ พันละแหง แต่พี่เอเขาเอาชื่อเราไปดูดวงตามวันเกิด ตามราศี อย่างที่เขาถือเคล็ดที่จะทำให้เด็กในสังกัดทุกคน แล้วก็ได้ผลออกมาว่าชื่อจริงผมมันไม่ค่อยเป็นสิริมงคล ต้องเปลี่ยน ก็เลยเปลี่ยนมาเป็น ธนะภูมิ พงศ์ภาณุ แต่ก็ยังไม่ดีอีก สุดท้ายเลยเปลี่ยนทั้งชื่อเล่นชื่อจริงอีกรอบ กลายเป็น เคน-ภูภูมิ พงศ์ภาณุ อย่างที่เรียกกันทุกวันนี้นี่แหละครับ”
หลายคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไมต้องใช้ชื่อ “เคน” เป็นเพราะต้องการเกาะกระแสดารารุ่นพี่ “เคน-ธีรเดช” ดังหรือเปล่า เจ้าตัวได้แต่ส่ายหน้าเบาๆ แล้วให้เหตุผลว่า “ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ เขาให้มา ผมก็ใช้ จริงๆ แล้วตัวผมเองไม่ค่อยถือเรื่องเปลี่ยนชื่ออะไรมาก แต่คิดว่าถ้าเปลี่ยนแล้วมันดีก็ควรเปลี่ยนครับ” ทุกวันนี้ “เคนน้อย” จึงกลายเป็นฉายาในวงการของเขา เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนกับเคนใหญ่เจ้าบทบาท ส่วนข้อกล่าวหาที่ว่าเขาต้องการเปลี่ยนชื่อเพื่อปกปิดความลับเรื่องศัลยกรรมนั้น ยืนยันได้เลยว่า “ไม่จริงครับ”
“ผมไม่เคยศัลยกรรมครับ แค่ดัดฟันเฉยๆ ตอนเด็กๆ เป็นคนฟันเยอะครับ ทุกวันนี้ก็ยังเยอะอยู่เลย (ชี้ให้ดู) นี่ขนาดถอนออกไปสี่ซี่แล้วนะ เป็นคนฟันซี่ใหญ่ด้วยไงครับ ฟันก็เลยคับปากไปหมด พอไปถอนออก แล้วก็จัดใหม่ หน้าก็คงจะเปลี่ยน ถ้าผมทำจมูก ทำคาง อย่างที่เขาว่า ผมคงเล่นบอลไม่ได้แล้วล่ะ เดี๋ยวบอลกระแทกหน้า (หัวเราะเบาๆ) ผมว่าเด็กพี่เอก็โดนข่าวแบบนี้ทุกคนแหละครับ บอกว่าไปโมดิฟายหน้าที่เกาหลีมาตลอดเลย” เคนปิดท้ายด้วยรอยยิ้มเย็นๆ
นอกจากรูปลักษณ์ภายนอกที่เปลี่ยนไป หล่อขึ้น ล่ำขึ้น หลายคนยังตั้งข้อสังเกตว่าบุคลิกของเคนก็เปลี่ยนไปด้วย คือจากที่เคยดูนุ่มนิ่ม ก็กลายเป็นเข้มแข็งมากขึ้น หรือเรียกง่ายๆ ว่า “แอ๊บแมน” เพื่อพยายามปิดบังความสาวแล้วสร้างภาพพระเอกขึ้นมาทดแทนนั่นเอง เกี่ยวกับเรื่องนี้เคนได้แต่หัวเราะอย่างปลงๆ แล้วบอกว่า “ผมก็ไม่ได้พยายามแมนนะ (ทำหน้าสงสัย) ผมก็เป็นปกติของผมอย่างนี้มาตั้งนานแล้ว แค่ผมโตขึ้น มีวุฒิภาวะมากขึ้น แค่นั้นเอง” ส่วนเรื่องเป็นชาวเรนโบว์หรือไม่นั้น เขาตอบอย่างชัดถ้อยชัดคำเลยว่า “ไม่ได้เป็นครับ”
“เคนใหญ่” ในอนาคต
ไม่ใช่แค่ชื่อในวงการที่พ้องกับนักแสดงรุ่นพี่มากความสามารถ แต่ดูเหมือนว่าเคนจะถูกวางหมากให้เดินตามรอยความสำเร็จเอาไว้แล้วด้วย เพราะล่าสุดเขาเพิ่งได้บท “วีกิจ” พระเอกในเรื่อง “แรงเงา” ซึ่ง “เคน-ธีรเดช” เคยแจ้งเกิดเอาไว้ ดูเหมือนว่าเส้นทางบันเทิงของเขาช่างโรยด้วยกลีบกุหลาบเสียเหลือเกิน มาดูว่าตัวเขาเองจะคิดแบบเดียวกันหรือเปล่า
“ทุกคนอยากประสบความสำเร็จครับ ผมเองก็อยากประสบความสำเร็จเหมือนกัน ตอนนี้ก็พยายามทำให้เต็มที่ไว้ก่อน ส่วนผลมันจะออกมายังไงก็ต้องดูอีกทีหนึ่ง ถ้าถามว่าวางอนาคตไว้ยังไง ก็ขอโฟกัสไปที่งานแสดงก่อนครับ เพราะทุกวันนี้ก็ยังตื่นเต้นอยู่เลย ยังต้องเรียนเพิ่มอีกเยอะ”
“แค่ทุกวันนี้อยู่ในซูเปอร์สตาร์โปรเจกต์ก็เขินแล้วครับ (ยิ้มอ่อนๆ) เพราะเรารู้ตัวว่ายังไม่ถึงขั้นนั้น มันเป็นแค่ชื่อโปรเจกต์เฉยๆ ต้องอย่างพี่อั้ม-พัชราภา สิถึงสมควรเรียกว่าเป็นซูเปอร์สตาร์ เพราะพี่เขาใช่มาก ๆ แฟน ๆ ก็ยอมรับในฝีมือทางการแสดงของพี่เขาแบบเป็นเอกฉันท์ ส่วนผมยังไม่ถึงจุดนั้นครับ คงอีกนาน แต่ตอนนี้ก็รู้สึกดีใจที่มีคนส่วนหนึ่งยอมรับผลงานของเรา มีฟีดแบ็กกลับมาบางส่วนว่าเขาชอบเรา มันก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นมา ส่วนที่ยังต้องปรับปรุงก็ต้องทำต่อไปครับ ผมจะพยายามพัฒนาตัวเองให้ดียิ่งๆ ขึ้นกว่าเดิม” พระเอกหนุ่มมาดทะเล้นเผยให้เห็นแววตาด้านจริงจัง
ถามว่ากังวลมากน้อยแค่ไหนที่ถูกเปรียบเทียบกับพระเอกรุ่นราวคราวเดียวกัน แถมยังต้องเตรียมหนักใจไว้ได้เลยว่าอาจถูกเปรียบเทียบกับพระเอกรุ่นพี่ในบทเดียวกัน คนถูกถามยิ้มใสๆ ตามสไตล์ แล้วตอบด้วยเสียงเด็กๆ ในมุมมองของความเป็นผู้ใหญ่ที่มีอยู่ในตัว
“ผมว่าผมไม่ค่อยกังวลเรื่องถูกเปรียบเทียบเท่าไหร่ครับ เพราะผมยังไม่มีอะไรให้เอาไปเปรียบเทียบกับเขา (ยิ้มขำๆ) แต่ถ้าเป็นเรื่องประสบการณ์ที่คนอื่นมีมากกว่าผม ผมมองว่าเป็นเรื่องดีครับ เขาจะได้มีเรื่องแนะนำผม แล้วยิ่งแต่ละคนมีประสบการณ์มาไม่เท่ากัน น่าจะได้หลากหลายมุมมองนะ ถ้าให้ประเมินคะแนนการแสดงของตัวเองทุกวันนี้ว่าได้เท่าไหร่ ผมว่าเต็มสิบยังไม่รู้จะถึงครึ่งหนึ่งไหมเลย แต่ผมก็จะพยายามต่อไปครับ อย่างน้อยตอนนี้มันก็ทำให้ผมโตขึ้นอีกเยอะเลยครับ พอได้ลองทำอะไรใหม่ๆ ที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ทำมาก่อนในชีวิต ได้ลองทำงานแบบจริงๆ จังๆ มันต่างไปจากเมื่อก่อนที่วันๆ เอาแต่เตะบอล นอนดึก แล้วก็ตื่นสาย ผมว่าผมก็เปลี่ยนไปเยอะเหมือนกันนะ”
“พอมาทำงานแบบนี้มันทำให้รู้ว่าการทำงานเหนื่อยขนาดไหน ทำให้เห็นค่าของสิ่งต่างๆ ขึ้นมากเลยครับ ที่สำคัญมันได้เรื่องความอดทน ต้องอยู่เฝ้ากองถ่ายฯ ทั้งวัน ถ้ามีถ่ายตอนกลางคืนก็ต้องอยู่กองทั้งวันทั้งคืนให้ได้ ถึงเราจะเพิ่งเข้ามาใหม่ แต่ก็ต้องทำให้ได้เหมือนคนอื่นๆ ต้องเป็นมืออาชีพให้ได้แบบเขาครับ จะได้รู้สึกภูมิใจในตัวเอง ซึ่งตอนนี้ผมก็ภูมิใจแล้วส่วนหนึ่งครับที่ได้มาทำ ดีใจที่สามารถหาเงินเป็นของตัวเองได้ตอนอายุ 20 และได้ตอบแทนพ่อแม่เร็วกว่าที่เคยคิดไว้เสียอีก”
“คิดว่าพี่เอมองเห็นอะไรในตัวเรา?” ผู้สัมภาษณ์ถามออกไปเพราะเชื่อว่าเด็กในรั้วศุภชัยไม่เคยทำให้ผิดหวังสักราย คนถูกถามหัวเราะร่วน นิ่งคิดอยู่ครู่ใหญ่ จากนั้นจึงแจกรอยยิ้มงงๆ แล้วตอบว่า “ผมยังไม่รู้เลยว่าพี่เอเขามีเซนส์อะไร แล้วผมก็ไม่รู้ว่าตัวผมมีอะไรที่เขามองเห็น ผมแค่พยายามตั้งใจทำงานครับ เพราะพี่เอจะบอกเด็กทุกคนให้ตั้งใจทำงาน ให้มีสัมมาคารวะ ตรงต่อเวลา ซึ่งผมจะทำตามนั้น และจะพยายามให้ดีที่สุด ผมยังไม่อยากคาดหวังว่าคนดูจะชอบหรือเปล่า ตอนนี้แค่อยากโฟกัสอยู่ที่ตัวเองมากกว่า อยากทำให้ตัวเองมั่นใจก่อน แล้วที่เหลือก็น่าจะออกมาดีเอง ถ้าถามว่าคาดหวังอะไรในละครเรื่องแรก ผมขอแค่ให้ดูแล้วผมเล่นไม่แข็งก็พอครับ”
ถ้ายังรู้สึกว่าคุณไม่รู้จักผู้ชายคนนี้ดีพอ อยากรู้เรื่องของเขาให้มากกว่านี้ เจ้าตัวฝากบอกมาว่า “ค่อยๆ ติดตามผมไปเรื่อยๆ ดีกว่า ยังไม่อยากบอกหมดครับ เดี๋ยวจะไม่น่าค้นหา” พระเอกมาดทะเล้นยิ้มขี้เล่นปิดท้าย... ที่เหลือก็อยู่ที่ว่าเขาจะเชิญชวนให้คนดูอยากค้นหาได้มากน้อยแค่ไหน เท่านั้นเอง
---ล้อมกรอบ---
เสน่ห์ของ “ปรสิต”
ในฐานะที่เป็นหนุ่มฮอตคนล่าสุดในโปรเจกต์ 4+1 จึงขอให้เคนช่วยพูดถึงเสน่ห์ของเพื่อนร่วมก๊วนแต่ละคน รวมถึงตัวเองด้วย เจ้าตัวพูดไปยิ้มไปด้วยท่าทีสบายๆ และให้คำตอบแก่เราแบบไม่ต้องคิดมาก
“ทุกคนเป็นคนตลกครับ ถ้ามองเป็นคนคนไป ณเดชน์ก็เป็นคนขี้เล่นอยู่แล้วครับ แล้วก็เป็นคนนอบน้อม ส่วนพี่บอยจะชอบแกล้ง ชอบเล่นมุก พี่โอ้ก็เป็นคนน่ารัก มีสัมมาคารวะ ทุกคนเป็นคนฮามากครับ อยู่ด้วยแล้วหัวเราะได้ทั้งวัน ส่วนหมากนี่ดูภายนอกจะนิ่งๆ แต่จริงๆ แล้วเขาขี้เล่นเหมือนกันนะ ชอบแซว ส่วนผม อะไรดีล่ะ... (นิ่งคิดพักใหญ่) ปกติผมเป็นคนขี้เล่นครับ เฮฮา ถ้าผมสนิทกับใคร ผมจะตามแกล้งตลอด ไม่ค่อยอยากให้ใครเครียด เวลาอยู่กับเพื่อนก็จะตลก แล้วก็ยิ้มตลอดจนมีแต่คนบอกว่าผมเป็นคนหน้ายิ้ม (หัวเราะเบาๆ) ไม่รู้มันเป็นยังไงเหมือนกัน แต่เขาเรียกกันอย่างนั้นนะ”
ถึงจะเป็นพระเอกเต็มตัวแล้ว แต่เคนก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม “ผมยังมีความสุขกับการเตะบอล และได้อยู่กับเพื่อนเหมือนเดิมครับ ตอนเช้าไปฟิตเนส ถ้ามีคลาสแอ็กติ้งก็ไปเรียน แต่ถ้าไม่มีก็ไปร้านเกม (ยิ้ม) อยู่บ้านเลี้ยงแมวหนึ่งตัว ผมชอบแมวครับ มันเงียบดี แล้วมันก็ไม่ค่อยซน ผมไม่ค่อยชอบเสียงเห่าของหมาเท่าไหร่ แต่ชอบนิสัยหมาตรงที่มันจะเข้ามาอ้อน เข้ามาเล่นกับเรา แต่ถ้าเลี้ยงไว้ในห้อง จะชอบเลี้ยงแมวมากกว่า” เคนอธิบายตัวตนของเขาผ่านสิ่งที่ชอบ ทั้งยังไม่ลืมพูดถึงผู้หญิงในแบบที่ชอบด้วย
“ผมเคยชอบผู้หญิงคนหนึ่ง เขาเป็นรุ่นพี่ผม 2 ปีครับ ตอนนั้นผมอยู่ ม.4 เขาอยู่ ม.6 เพิ่งย้ายโรงเรียนเข้าไปใหม่ ผมก็ไปเจอเขา แล้วผมก็ปิ๊งเลย (ยิ้ม) เขาน่ารักดีครับ เรียบร้อย เป็นผู้หญิงหวานๆ พอกลับบ้านต่างจังหวัดทีหนึ่ง ผมก็จะซื้อของมาฝากเขาตลอด แต่ไม่เคยไปให้เองนะ จะฝากเพื่อนไปให้ตอนพักกลางวัน ไม่เคยมีโอกาสได้คุย พอเขาเรียนจบ ผมก็ตัดสินใจสารภาพ เขียนการ์ดให้ใบหนึ่งบอกว่าเราชอบนะ อยากให้เขาเก็บไว้ครับ ไหนๆ ก็จะไปอยู่ที่อื่นแล้ว เขาจะได้จำได้บ้าง” ทีนี้รู้แล้วใช่ไหมว่าทำไมผู้ชายคนนี้ถึงได้เหมาะกับบท “ปรสิต” ในภาพยนตร์เรื่อง “30 กำลังแจ๋ว”
ผมจะเป็นนักบอลทีมชาติ!
ที่บอกว่าไม่เคยฝันจะเป็นพระเอกหรือทำงานในวงการบันเทิง เพราะตอนเด็กๆ ความฝันของเขามีเพียงอย่างเดียวคือ “ผมอยากเป็นนักบอลครับ อยากเป็นนักบอลทีมชาติ ฝันอยากไปเล่นฝั่งยุโรป” เคนย้อนวัยเด็กด้วยแววตาเป็นประกาย
“ตอนนี้ก็ยังคลั่งบอลอยู่ครับ คลั่งมาก (ยิ้มกว้าง) คลั่งมาตั้งแต่ตอนประถม ทุกวันนี้ก็ยังเล่น ยังดูฟุตบอลทุกอาทิตย์ ไม่เคยพลาดแมตช์ของแมนฯ ยูสักแมตช์ ผมชอบแมนฯ ยู (ยิ้ม) ต่อให้ไม่ว่างยังไงก็ต้องหาทางดู ไอดอลของผมมีหลายคนครับ ผมชอบ “รอย คีน” ผมว่าเขามีความเป็นผู้นำมาก เป็นคนที่เล่นแล้วทุ่มเท แล้วก็ดุดันมาก ตอนนี้ก็ชอบ “เนมันยา วิดิช” เป็นกัปตันทีมคนปัจจุบันของแมนฯ ยู เป็นกองหลัง แล้วผมชอบเล่นบอลกองหลังด้วย รู้สึกว่าเขาทุ่มเท เข้าบอลได้ถึงเนื้อถึงตัว แล้วก็เด็ดขาดดีครับ แต่ตอนนี้เขาบาดเจ็บไปแล้ว ต้องหยุดพักไปปีหนึ่ง”
“ล่าสุดต้องคนนี้เลยครับ “ฟิล โจนส์” เขาจะเล่นคล้ายๆ วิดิช เพิ่งเข้ามาเล่นปีนี้เอง เป็นคนทุ่มเท เข้าบอลหนักตลอด ผมก็ชอบเล่นหนักเหมือนกัน เพื่อนๆ จะบ่นตลอดว่าเล่นแรงไป (ยิ้ม) แต่ผมชอบครับ เป็นคนซาดิสต์ (หัวเราะ)” ถ้าบทพระเอกขี้เล่นไม่ส่งให้เกิดได้ดีพอ เห็นทีว่าคงต้องมอบบทตบจูบให้เคนเสียแล้ว คงจะเหมาะกว่า
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ: เคน-ภูภูมิ พงศ์ภาณุ
วันเกิด: 20 ตุลาคม 2534
ส่วนสูง: 185 เซนติเมตร
น้ำหนัก: 71 กิโลกรัม
การศึกษา: นักศึกษาชั้นปีที่ 2 มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย คณะบริหารธุรกิจ สาขาการเงิน
ผลงาน: ภาพยนตร์เรื่อง “หอแต๋วแตก”, “30 กำลังแจ๋ว”, ล่าสุดละครเรื่องสามหนุ่มเนื้อทอง และ “แรงเงา” ที่เพิ่งเปิดกล้อง
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... พงศ์ศักดิ์ ขวัญเนตร