“น้าเน็ก” โต้จัดฉากลาวงการ หวังปั่นกระแสขายบัตรเดี่ยวไมโครโฟน 5 ยันไม่เกี่ยวกัน เจ้าตัวย้ำตนต้องการพักงานในวงการเพื่อไปหาแรงบันดาลใจ และเริ่มต้นสิ่งใหม่จริงๆ แต่ที่บางรายการยังทำอยู่ เพราะตนมีสัญญา จึงต้องทำจนกว่าจะหมดสัญญา
หลังจากที่พิธีกรฝีปากกล้า “น้าเน็ก เกตุเสพย์สวัสดิ์ ปาละกะวงศ์ ณ อยุธยา” ประกาศลาวงการยุติบทบาทหน้าที่พิธีกรในทุกรายการ จนเป็นที่ฮือฮามาพักใหญ่ ล่าสุดเจ้าตัวก็ออกมาประกาศจะจัด “The Naked Show 5 : Elegant” ซึ่งเป็นเดี่ยวไมโครโฟนครั้งที่ 5 และเป็นครั้งสุดท้ายของตัวเอง งานนี้ก็เลยมิวายถูกเม้าท์ว่าการอำลาวงการเป็นการสร้างกระแสเพื่อโชว์ครั้งนี้หรือไม่? กับเรื่องนี้เจ้าตัวขอแจงถึงเหตุผลที่แท้จริงว่า…
“ในปี 55 นี้ นะครับ อย่างที่ผมเล่าให้พวกเราฟังตั้งแต่ต้นปี ว่าปีนี้จะเป็นปีที่ผมจะพักหลายๆ งานที่ทำมาเป็นระยะเวลานาน เพื่อที่จะสั่งสมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ เพื่อที่จะกลับมาทำงานใหม่ๆ เป็นแนวคิดที่ว่ายิ่งถ้าอยากอยู่นานก็ต้องลองห่างจากมันดูบ้าง นั่นก็คือรายการโทรทัศน์ และหนึ่งในงานที่ผมอยากจะพักอยากจบมันด้วย ก็คือเดี่ยวไมโครโฟน ซึ่งผมเริ่มมาตั้งแต่ปี 47 ในครั้งแรก มาในปี 55 The Naked Show เป็นครั้งที่ 5 พอดี แล้วก็ประจวบเหมาะกับเป็นปีที่ผมตัดสินใจพักหลายๆ งาน ก็เลยตัดสินใจว่า The Naked Show ครั้งที่ 5 นี้ จะเป็นครั้งสุดท้าย”
“ส่วนความพิเศษ แน่นอนครับ ด้วยความเป็นครั้งสุดท้าย มันมีความพิเศษในตัว มีบรรยากาศของการอำลาและบทสรุป ซึ่งจะมีการเล่าถึงสิ่งที่เป็นผมแบบรากเหง้าจริงๆ ถ่ายทอดความเป็นผมในแบบของความสนุกสนาน เป็นการรวบยอด ประมวลการแสดงทุกครั้งมาอยู่ในโชว์เดียว นั่นคือความพิเศษอย่างแรก”
“อย่างที่สองก็คือว่า ป้าจุ๊ จุรี โอศิริ ท่านเป็นแฟนประจำในเดี่ยวของผม แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้ให้กำเนิดเดี่ยวไมโครโฟนนี้ด้วย เป็นศิลปินคนแรกที่ให้เกียรติมาช่วยงาน เมื่อท่านสิ้นไปแล้ว ผมก็เลยอยากจะทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการอุทิศให้กับป้าจุ๊ ซึ่งดูแลผมมาตลอด มาให้กำลังใจ ทุกปีทุกครั้ง แม้บางปีอาจจะไม่สบาย เมื่อมองไปจะเห็นป้าจุ๊อยู่ทุกครั้งในทุกปี”
“ก็เลยเกิดแรงบันดาลใจในการจัดรอบกาล่าดินเนอร์ขึ้นมา แล้วก็ทราบมาว่าป้าจุ๊ท่านเป็นประธานกรรมการมูลนิธิคนแรกของกองทุนสวัสดิการนักแสดงอาวุโส ทุกอย่างประจวบเหมาะ ผมอยากจะสานต่อเจตนารมณ์ของป้าจุ๊ แล้วก็อยากเป็นอีกกระบอกเสียงเล็กๆ ในการบอกผู้คน โดยเฉพาะคนในวงการบันเทิงว่า มีมูลนิธินี้อยู่นะ”
“น่าจะเป็นสวัสดิการเดียวของพวกเราที่เป็นศิลปินดารา ซึ่งอาชีพเราไม่ได้มั่นคง ไม่มีหน่วยงานของรัฐใดๆ ที่ดูแลอาชีพนี้อย่างจริงจัง เพราะฉะนั้นเป็นการดีอย่างยิ่งที่คนในวงการบันเทิงจะได้รู้ สำหรับคนที่ไม่ทราบ ส่วนคนที่รู้ว่ามีมูลนิธินี้อยู่ ผมอยากจะให้พวกเขาตื่นตัว และไม่ว่าจะเกิดกิจกรรมอะไรก็ตามในวงการบันเทิง หันมาแบ่งปันให้ความสำคัญกับมูลนิธินี้บ้าง”
“เรื่องที่จะพูดใน The Naked Show นี้ก็จะเป็นตลกสะท้อนสังคม ในมุมเสียดสี แดกดัน ส่วนธีมพิเศษก็อาจเป็นชีวิตของผม วิธีคิด มุมมองชีวิตการทำงาน ประสบการณ์หลายอย่าง แล้วเป็นการสรุปรวบยอดโชว์ทั้ง 5 ครั้ง หลายๆ มุกที่คนประทับใจ ก็จะถูกประมวลไว้ในงานนี้”
ประกาศว่าเป็นเดี่ยวไมโครโฟนครั้งสุดท้าย หากแฟนคลับเรียกร้อง ก็อาจกลับมา แต่คงอีกนาน
“ผมมองอย่างนี้ เมื่อวันหนึ่งอาจจะ 5 ปี หรือ 10 ปี ตราบที่ผมยังมีชีวิตอยู่ ถ้ามันยืนยาวพอ อาจจะมีสักวันที่ผมคิดถึงศาสตร์การแสดงชนิดนี้ แล้วอยากกลับมาอีกครั้ง และถ้าเผอิญตรงกับสิ่งที่แฟนๆ ก็คิดถึงงานของผมเหมือนกัน เมื่อความต้องการตรงกัน ก็อาจจะมีโอกาสได้กลับมาทำอีกครั้ง แต่หมายถึง 5-10 ปีนะ”
“เหมือนนักร้องรุ่นเก่า ที่พักไปแล้วเรายังคิดถึงเขา เขาก็คิดถึงแฟน ก็ยังมีโอกาสกลับมาเจอกันได้อีก ที่เรียกว่ารียูเนี่ยน ที่เราพบเห็นกันได้ไม่ยากนัก อาจจะเป็นแบบนั้นมากกว่า เหมือนเป็นปีจบ ถามว่า เดอะรีเทริน The Naked Show มันก็ไม่ได้มีเหตุผลว่าผมจะไม่ทำมันอีกแล้ว เพียงแต่ว่าคงยุติลงเพียงเท่านี้ แต่ถ้า 4-5 ปี แฟนๆ คิดถึง ถ้าวันนั้นมีไฟ มีเรื่องอยากบอกเล่าก็สามารถเกิดขึ้นได้”
“ในการตัดสินใจพักงาน ไม่ว่าจะเป็นงานรายการโทรทัศน์ หรือว่าการทำเดี่ยวไมโครโฟนครังสุดท้าย หรืองานอื่นๆ ก็ตามแต่ คนเลือกอยู่ที่คุณผู้ชมนะครับ เพราะผมไม่อยากตะบี้ตะบันหรือเอาเปรียบผู้ชม ไม่ได้มอบสิ่งใหม่ให้กับคุณผู้ชมเลย อยากมีเวลาหายไปเพื่อที่จะเก็บเกี่ยว เหตุผลก็เพื่อที่จะกลับมา เพราะฉะนั้น ผมก็เลยได้แต่บอกคุณผู้ชม ว่าที่หายไปอยากจะหาอะไรใหม่ๆ มาให้ดูกัน”
ปัดสร้างกระแสอำลาวงการ เพื่อส่งเสริมการตลาดขายบัตรเดี่ยวไมโครโฟน แค่อยากให้พิเศษและเป็นที่จดจำ
“อย่างที่บอกไม่ได้เป็นการบอกว่าเป็นครั้งสุดท้าย ด้วยเหตุผลทางการตลาดใดๆ สังเกตได้ว่าวิธีการขายบัตรของผมนั้นเป็นวิธีการที่ไม่ได้ส่งเสริมวิธีด้านการตลาดเลย จองก็จองยาก ที่สำคัญในแต่ละรอบรับแค่ 555 คนเท่านั้นเอง ขายบัตรแค่ 5 รอบ นั่นหมายความว่า ในเดี่ยวปีนี้มีบัตรแค่ 2,750 ใบ ซึ่งคำนวณตัวเลขจากบัตรผมว่ายังไม่ได้ต้นทุนเลยด้วยซ้ำ”
“เพราะฉะนั้นไม่ใช่เหตุผลทางการตลาดอะไรเลย เพียงแต่ว่าผมอยากให้พิเศษ เป็นที่จดจำ ทุกอย่างลงทุนด้วยมูลค่าที่สูงทั้งหมด แล้วก็ไม่ผลตอบแทนทางการตลาดเลย อย่างที่บอกเป็นงานที่ผมรัก แล้วก็ผมเป็นพิธีกรอาชีพ ทางไหนที่จะรวมแฟนคลับผมได้ เดี่ยวไมโครโฟนเป็นทางเดียวที่ผมจะได้เห็นว่าคนที่ติดตามงานผม เขาหน้าตาเป็นยังไง”
อยากกลับไปทำธุรกิจของตัวเองแล้ว
“หลายคนตั้งคำถามว่า ตั้งแต่ผมประกาศพักงานทีวี ก็เป็นว่าผมออกทีวีมากกว่าเดิม ประเด็นคือว่ารายการที่เป็นทอลค์โชว์ต่างๆ ก็เชิญไปเพื่อให้บอกเล่าว่าผมเลิกทำไม กลายเป็นว่าผมต้องตระเวนออกทีวีเพื่อที่จะบอกว่าผมจะไม่ออกทีวี การยุติทำทีวี บอกปุ๊ปแล้วเลิกเลย ทำอย่างนั้นก็ได้ มันจะเกิดความเสียหายมาก เพราะว่ารายการทีวีเขามีสปอนเซอร์ ผมยังต้องเซ็นสัญญากับลูกค้า อย่างเช่น เทคมีเอาท์ไทยแลนด์ ก็คงต้องทำถึงสิ้นปี นั่นหมายความว่าสุดท้าย ก็จะเห็นหน้าผมในรายการ เหมือนไม่ได้หายไปไหน”
ย้ำขอแค่พัก เพื่อไปเติมเต็มประสบการณ์ใหม่ๆ
“ทุกรายการยุติไปหมดแล้ว เหลือที่ออกอากาศอยู่รายการเดียว คือเทคมีเอาท์ไทยแลนด์ แล้วก็ไทยแลนด์ก็อตทาเลนท์ ก็จะเริ่มซีซั่น ที่สำคัญผมพูดเคยไว้ว่าการกลับมาทำรายการโทรทัศน์ ไม่ใช่จะกลับมาได้ตามใจ ถ้าวันดีคืนดีช่องให้โอกาสผมได้เริ่มต้นงานใหม่ ผมอาจจะต้องกลับมาทำ ซึ่งอาจจะหมายถึง 3 เดือนข้างหน้าก็ได้ หมายความว่าผมไม่ได้กำหนดอะไรเองได้ทุกอย่าง”
“คือจริงๆ แล้ว ผมอยู่ในช่วงของการเคลียร์ตัวเอง อย่างที่บอกอย่างหลายรายการที่ผมลาออกเพื่อพัก ประเด็นไม่ได้อยู่ที่การพักนะ ประเด็นคือเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เริ่มต้นทำสิ่งใหม่ แต่ต้องมีช่วงเวลาในการเคลียร์ตัวเอง แต่เอาจริงๆ กระบวนการการพักยังไม่สิ้นสุด เพราะว่ามีงานที่ผมต้องรับผิดชอบมากมายยังไม่จบ ทั้งเดี่ยวไมโครโฟน ไทยแลนด์ก็อตทาเลนท์ งานอีเว้นท์ พรีเซ็นเตอร์โฆษณา ปีนี้ก็ยังมีอีกหลายตัว ไม่ใช่การพักเลย”
“ผมคือพิธีกรอาชีพ งานที่ผมให้ความสำคัญที่สุดคืองานพิธีกร เลยยังไม่ได้ทำแน่นอน ผมเป็นคนทำโทรทัศน์มืออาชีพ จากเบื้องหน้าผมก็คงเพิ่มเติมงานเบื้องหลังเข้าไปด้วย อาจจะมีไอเดียบางอย่างที่เราอยากให้เป็นจริง แล้วไม่มีใครเคยมาจ้าง เราอาจจะทำขึ้นมา ต้องพักเพื่อเคลียร์ตัวเอง ความตั้งใจที่จะหาประสบการณ์เดินทาง เอาจริงยังไม่ได้เริ่ม”