xs
xsm
sm
md
lg

จุดสูงสุดที่ทำให้เส้าหลินเป็นหนึ่ง/ต่อพงษ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

หลี่ป๋อหยวน (Li Boyuan) นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์ของวูซูพูดถึงกรณีที่ว่า ตั๊กม้อได้กลายมาเป็นผู้รังสรรค์วิทยายุทธให้แก่เส้าหลินนั้นก็เพราะส่วนใหญ่จะเป็น “การสันนิษฐาน” ผสมผสานกับ “ตำนาน” หลักฐานที่ถูกบันทึกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของตั๊กม้อกับวิทยายุทธมีขึ้นในปี 1624 โดยนักพรตเต๋าท่านหนึ่งที่มีชื่อว่า จี้หนิงแห่งภูเขาเทียนไท่(Zining Of Mt Tiantai)

หลี่ป๋อหยวนกล่าวว่า ลักษณะของงานประพันธ์ที่ว่ามีรูปแบบที่เหมาะจะเป็นเรื่องแต่งอ่านเอาสนุกมากกว่าจะเป็นหลักฐานอย่างจริงจัง ซึ่งก็เช่นเดียวกับแหล่งอ้างอิงในสมัยก่อนหน้านั้นที่เขียนโดยนายพลหลี่จิ้งแห่งราชวงศ์ถัง และนายพลหนิวกัว แห่งราชวงศ์ซ่งใต้ที่พูดถึงคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นและคัมภีร์ชำระล้างไขกระดูก ทั้งสามคนที่เขียนเรื่องนี้ก็พูดเฉพาะว่ามันเป็นเรื่องเล่าที่พูดต่อกันมาว่า คัมภีร์ชำระไขกระดูกนั้นไต้ซือฮุ่ยเคอเป็นผู้ได้ไป แต่ก็ได้ทำลายมันเสียเพราะกลัวว่าใครที่เห็นจะฝึกและเน้นแต่วิทยายุทธไม่ปฏิบัติธรรม คงเหลือแต่คัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นเท่านั้นที่ตกทอดกันมา

จนกระทั่งเกิดนวนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องหนึ่งที่เขียนขึ้นระหว่างปี 1904-1907 ในชื่อ The Travels of Lao T’san ซึ่งเขียนโดยนักเขียนที่ชื่อว่า หลิวเถี่ยหยุน (Liu T'ieh-yun) เรื่องของตั๊กม้อกับเส้าหลินก็ยิ่งเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น งานที่เขียนทรงอิทธิพลเรื่องนี้เป็นความเรียงแบบเก่าของจีนที่ว่ากันว่าอาจจะเป็นเล่มสุดท้ายในยุคชิง ตัวของผู้แต่งนั้นประพันธ์ขึ้นมามีทั้งสิ้น 20 บท ว่าด้วยการเดินทางของเหล่าซานซึ่งเกิดและเติบโตในช่วงสุดท้ายของราชวงศ์ชิง การเดินทางของเขาในแต่ละบทจะพูดถึงเรื่องราวต่างๆ ในสังคมในช่วงเวลานั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการคอรัปชั่น การขายผู้หญิงเป็นสินค้า การค้าฝิ่น ความเฮงซวยของข้าราชการ การ การต่อสู้กับเสือและสุนัขป่า ยันเรื่องโจรสลัด วิทยายุทธไปจนกระทั่งเรื่องของหมอและการรักษา การสืบหาคนร้ายโดยอาศัยความรู้ทางแพทย์

เรื่องราวว่าด้วยหมอ การรักษา การรู้จักร่างกายต่างๆ เพื่อพิสูจน์ศพและวิทยายุทธนี่แหล่ะที่อ้างอิงถึงคัมภีร์เปลี่ยนเส้นเอ็นและหลวงพ่อตั๊กม้อขึ้นมา งานเขียนลักษณะกึ่งจริงกึ่งเล่นเล่มดังกล่าว ได้รับความนิยมและได้รับการตีพิมพ์รวมถึงแปลเป็นภาษาญี่ปุ่น รัสเซีย และอังกฤษ ความเชื่อในเรื่องนี้ก็บังเกิดขึ้นมาเป็นวงกว้างและกระจายไปทั่วโลก ตัวของผู้เขียนนั้นมีความรู้อยู่แล้วครับในเรื่องของยาและร่างกายมนุษย์เพราะ เขาเป็นนักศึกษาด้านนี้โดยตรง เพราะฉะนั้นเมื่อเขียนถึงบทที่ว่าด้วยกระดูก เส้นเอ็น และพลังชี่ในร่างกาย ก็ยิ่งทำให้เรื่องราวของตั๊กม้อกับวิทยายุทธเป็นจริงเป็นจังมากขึ้น

ต้องเข้าใจอย่างหนึ่งนะครับว่า ต่อให้ไม่มีความเชื่อเรื่องตั๊กม้อ พระวัดเส้าหลินก็ยังคงฝึกวิทยายุทธกันอย่างยิ่งยวดอยู่แล้วนับตั้งแต่สมัยถังเป็นต้นมา จนกระทั่งถึงยุคมองโกลครองอำนาจกลับเป็นพระรูปหนึ่งที่ชื่อว่า “ไต้ซือกั๊กเอี๋ยง”หรือถ้าอ่านตามจีนกลางก็คือ “เจี่ยหยวน” ซึ่งเป็นคนละรูปกับเจี่ยหยวนที่ช่วยล้มหวังซื่อชงนในสมัยราชวงศ์ถังนะครับ แต่รูปนี้น่าจะเป็นองค์ที่กิมย้งเอาไปเขียนลงในดาบมังกรหยกว่าเป็นอาจารย์ของจางซานฟงผู้ให้กำเนิดสำนักบู๊ตึ๊งนั่นเอง ชื่อ เสียงของไต้ซือรูปนี้ในฐานะสุดยอดฝีมือทางวิทยายุทธนั้นมีเรื่อยมา ในยุคสมัยของกั๊กเอี๋ยงนั้นเกิดการเผยแพร่วิทยายุทธจากเส้าหลินเหนือลงไปทางใต้ โดยเฉพาะเรื่องที่ว่ากองทัพพระเส้าหลินได้รับอาสาเป็นแม่กองไปปราบโจรสลัดญี่ปุ่นตามชายฝั่ง วีรกรรมช่วยชาวบ้านนี้ทำให้วิทยายุทธเส้าหลินไปอยู่ทางใต้และลงหลักปักฐานที่นั่นในเวลาต่อมา

จากเส้าหลินใต้บรรดาศิษย์ฆราวาสที่ได้เรียนวิทยายุทธไปก็ไปตั้งสำนักและสรางสรรค์สำนักมวยของตัวเองกันหลายตระกูล สมัยราชวงศ์หมิงนั้นวัดเส้าหลินมีสาขาและตระกูลมวยมากกว่า 10 แห่ง โดยเฉพาะที่ฟูเจี้ยนหรือฮกเกียน สำนักเส้าหลินใต้เกรียงไกรมาก

แต่เกียรติภูมิของคำว่าเส้าหลินมีขึ้นสูงสุดสมัยราชวงศ์ชิงหรือยุคที่แมนจูมาครองอำนาจในแผ่นดินจีน เหตุเพราะ การก่อกำเหนิดของสมาคมลับพรรคฟ้าดิน ตำนานของพรรคฟ้าดินนี้บอกว่าผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์เผาวัดเส้าหลินจำนวน 5 คนเป็นคนก่อตั้งขึ้น ซึ่งเหตุการณ์ชัดๆ ว่าเกิดขึ้นในช่วงเส้าหลินโดนเผาครั้งไหนก็ยังไม่ชัวร์ ไม่ครั้งที่ซุนจื้อครองราชย์ในปีคศ 1647 หรือไม่ก็เป็นครั้งที่คังซีสั่งเผาในปี คศ 1674 หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นปีคศ 1732 ในสมัยของหย่งเจิ้งฮ่องเต้

แต่ถ้าประมวลเอาจากนักเขียนนวนิยายจีนหลายต่อหลายเรื่องก็น่าจะสรุปได้ว่าน่าจะเป็นสมัยซุนจื้อมากกว่า

แม้ปีที่เผาจะไม่ชัวร์ แต่เรื่องเหตุที่เผานั้นตรงกันนั่นคือ สมัยซุนจื้อฮ่องเต้ครองราชย์ แมนจูมีปัญหากับพวกออยแรตหรือมองโกลใหม่ จึงโปรดเกล้าให้วัดเส้าหลินเกณฑ์พระจากวัดเส้าหลินไปสู้ซึ่งก็ปราบกบถสำเร็จ แต่พอชนะศึกได้พระนักรบกองนี้กลับถูกขุนนางของราชวงศ์ชิงใส่ร้ายว่ากองทัพพระกองนี้ทำท่าจะก่อกบถ เพราะมีรายงานว่าวัดเส้าหลินในเวลานั้นซ่องสุมผู้คนมากมาย แต่ทุกผู้คนที่ว่ามีเจตนาที่จะต่อต้านราชวงศ์ชิง วัดเส้าหลินใต้ในเวลานั้นก็เลยถูกกองทัพของรัฐบาลบุกเข้าเผาและฆ่าทหารพระในวัดเสียเกือบหมด คงเหลือรอดอยู่แค่ 5 รูปซึ่งทั้ง 5 รูปนี่ได้ชื่อว่าเป็น 5 เดนตาย ( five fugitive) ตามประกาศของทางราชการชิงซึ่งประกอบไปด้วย 2 หลวงจีน 2 นักพรต และ 1 ลูกศิษย์ ดังนี้

1. หลวงจีนจื้อซ่าน( Zhì Shàn Chán Shī ) เป็นพระอาจารย์สอนทางด้านเซน 2 หลวงจีนอู่เม่ย( Wǔ Méi Dà Shī )ท่านนี้เชี่ยวชาญทางด้านหมัดมวย โดยเฉพาะหมัดที่มีที่มาจากทาทางของสัตว์ 3 เต้าหยินไป่เม่ย( Bái Méi Dào Rén)นักพรตคิ้วขาว 4 เฟิงเต้าเต๋อ (Féng Dàodé )นักพรตเต๋าอีกรูปหนึ่ง 5 ไอ้เคราดกเหมียวเซียน( Miáo Xin)ศิษย์ฆราวาสของเส้าหลิน

ระหว่างการหลบหนีหนึ่งในห้าคนก็เกิดฝันว่า เหตุที่ทำให้เส้าหลินต้องโดนเผาเป็นเพราะสิ่งศักสิทธิ์ต้องการให้ทั้งหมดร่วมกันก่อตั้งกองกำลังที่สามารถ “ล้มชิง และ กู้หมิง” แต่หนึ่งในห้ามีการตรวจชะตาของราชวงศ์ชิงก็พบว่า จะรุ่งเรืองไปอีกนาน การรวบรวมคนเพื่อตั้งเป็นกองทัพกบถในเวลานั้นก็จะตายกันเสียเปล่า การต่อสู้จะต้องเกิดขึ้นในระยะยาว ทั้งหมดเมื่อหารือกันก็ตกลงว่าจะแยกย้ายกันไปก่อตั้งกองกำลังที่ว่าโดยมี “คำขวัญล้มชิงกู้หมิง”เป็นหลักในการต่อสู้

กองกำลังลับๆ นี้ยึดเอาธาตุที่เป็นหลักของการสร้างโลกตามที่ทางจีนยึดมาแต่โบราณนั่นคือ ฟ้า (เทียน-Tian)ดิน( ตี้- Di) และมนุษย์(ฮุ่ย- Huì) กลายมาเป็นสมาคมลับฟ้าดินที่คอนิยายวิทยายุทธรูจักกันดี เพราะสมาชิกพรรคฟ้าดินนั้นดังๆ และเก่งๆ ทั้งนั้นไม่ว่าจะเป็น ตั้งกึงน้ำ หรืออุ้ยเสี่ยวป้อ จากเรื่องอุ้ยเสี่ยวป้อ หรือ ตั้งแกลกหรือเฉินเจียลั่วผู้นำของพรรคดอกไม้แดงก็เป็นหนึ่งในสายของพรรคฟ้าดินซึ่งสามารถหาอ่านได้จากเรื่อง จอมใจ จอมยุทธ

แต่ย้ำว่านี่คือตำนานนะครับ นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่จำนวนหนึ่งก็ไม่เชื่อในเรื่องที่ว่าพระเส้าหลินเป็นผู้ให้กำเหนิดสมาคมฟ้าดินเหมือนกัน เพราะจากบันทึกอยางเป็นทางการของพวกเทียนตี้ฮุ่ยนี้มันค่อนข้างจะผิดเพี้ยนเรื่องของเวลาค่อนข้างมาก แถม 5 คนที่เป็นกบถต่อราชวงศ์ชิงยังเป็นชื่อที่แตกต่างกันเสียด้วย

แต่ไม่ใช่เพียงแค่สมาคมฟ้าดินเท่านั้น เพราะ เรื่องราวของจอมยุทธในสายวัดเส้าหลินที่ทำหน้าที่ต่อต้านอำนาจรัฐของพวกแมนจูก็มีอยู่มากมาย ในสมัยหย่งเจิ้งฮ่องเต้คนดังที่นักดูนิยายจีนรุ่นเก่าจะรู้จักกันดีในฐานะขององค์ชาย 4 ซึ่งฆ่าพ่อของตัวเองคือ คังซี เพื่อขึ้นมาเป็นจักพรรดิแทน ก็สั่งกองทัพบุกเข้าเผาวัดเส้าหลินเสียหนึ่งรอบฐานที่หลวงจีนต้าจง (Dazong) ท่านประกาศกร้าวว่าจะสนับสนุนให้ล้มชิงกู้หมิง แมนจูก็เลยเผาวัดให้ดูเสียเลย ซึ่งก็เป็นโชคดีของเส้าหลินเหมือนกันที่ยังมีลูกศิษย์คนเก่งของสำนักลาไปเยี่ยมบ้านพอดีก็เลยไม่ได้ตายไปกับพรรคพวกที่เหลือ มวยของเส้าหลินก็เลยยังมีการสืบต่อกันมาได้อยู่

ถัดจากสมัยหย่งเจิ้งก็คือยุคของเฉียนหลงฮ่องเต้ เส้าหลินก็เป็นเป้าหมายในการปราบอยู่ดี เพราะเป็นผู้นำในการสร้างกองกำลังลับเพื่อโค่นราชวงศ์อีกทั้งให้ที่พักพิงแก่พวกกบถ ยุคนี้ที่เรารู้จักกันดีก็คือ ยอดพยัคฆ์เส้าหลิน ที่ประกอบไปด้วย 1.อั้งฮีกัว ( หรือ หงซีกวน Hong Xiguan ) 2.“โอ้วฮุ่ยเคี้ยง” หรือ(หูฮุ่ยเฉียง Hu Huiqian) 3. ปึงซีเง็ก (หรือ ฟงไสหยก Fong Sai-yuk ) 4.หลวงจีนซันเต๋อ( The San-De Monk) รวมถึงหลวงจีนจื้อซ่าน ล้วนแล้วแต่เป็นศัตรูของทางการอย่างเปิดเผย

ยุคของเฉียนหลงนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เส้าหลินถูกเผา และบรรดาจอมยุทธที่ว่ามาก็ตายเกือบหมด ตามนวนิยายเรื่องเฉียนหลงประพาศน์กังหนำบอกว่ามีการประกบคู่กันระหว่างหลวงจีนและศิษย์เส้าหลินกับยอดฝีมือจากบู๊ตึ๊งและแม่ชีจากง้อไบ๊ซึ่งเส้าหลินก็แพ้กันทั้งหมดนั่นแหล่ะครับ แต่ถึงจะเผาแล้วเส้าหลินก็เกิดใหม่ได้ทุกครั้งกลายเป็นสำนักที่ไม่มีวันตาย แถมทุกครั้งที่เผาศิษย์เส้าหลินก็จะกระจายไปเพาะสร้างมวยใหม่ๆ และตระกูลมวยที่เป็นเนื้อนาบุญของวัดแห่งนี้มากขึ้นๆ จนกล่าวได้ว่ามวยจีนที่มีอยู่ในปัจจุบันและที่คนรู้จักเป็นมวยเส้าหลินมากกว่ามวยสายอื่น ไม่รวมถึงการเป็นนักกู้ชาติที่ต่อต้านต่างชาติตั้งแต่สมัยชิง สมัยต่อต้านญี่ปุ่น ไปยันสมัยร่วมก่อตั้งจีนคอมมิวนิสต์บรรดาสายเลือดของเส้าหลินก็มีส่วนร่วมด้วยเสมอมาผ่านสมาคมลับต่างๆ นั่นเอง

ผลจากวีรกรรมของจอมยุทธกู้ชาติสมัยชิงนี่เองครับที่ทำให้คนจีนซึ่งเทิดทูนผู้มีคุณธรรมและคนรักชาติอยู่แล้วยกย่องให้เส้าหลินเป็นสำนักมวยอันดับหนึ่งและเป็นสุดยอดของวิทยายุทธในยุทธจักรไปโดยปริยาย
กำลังโหลดความคิดเห็น