ผกก.GTH “ย้ง ทรงยศ” หันจับงานใหม่กำกับซีรียส์รีเมค “Coffee Prince” ให้ทรู ยอมรับหนักใจเพราะเจอแต่นักแสดงหน้าใหม่ แต่โชคดีทุกคนตั้งใจ ยอมรับตอนแรกกลัวโดนเปรียบเทียบเวอร์ชั่นเกาหลี แต่มาคิดได้ว่ากลัวไปก็ไม่มีประโยชน์ เจ้าตัวประกาศเบรกทำหนัง 5 ปี เหตุอยากไปทำอะไรใหม่ๆ
หลังจากผู้กำกับตัวเก๋าของค่ายจีทีเอช “ย้ง ทรงยศ สุขมากอนันต์” เบนเข็มจากการกำกับภาพยนตร์ หันมากำกับซีรีย์ที่โด่งดังมากในเกาหลีอย่าง “Coffee Prince” ให้กับทางบริษัททรูวิชั่นส์ ที่ได้ซื้อลิขสิทธิ์มารีเมคในเวอร์ชั่นภาษาไทย โดยมีนักแสดงจากเอเอฟมาร่วมงานเกือบทั้งเรื่อง งานนี้ทำเอาผู้กำกับย้งถึงกับออกปากหนักใจ เพราะด้วยความที่เป็นนักแสดงหน้าใหม่เกือบทั้งเรื่อง ทำให้เหนื่อยและยากพอๆ กับการทำหนังเลยทีเดียว
“ตอนนี้กำลังกำกับซีรีย์ Coffee Prince ให้ทรูอยู่ครับ ตอนนี้ถ่ายไปประมาณ 2 ใน 3 ก็คือ 60 เปอร์เซ็นต์กว่าๆ ฉายช่องทรูเอเชียนซีรีย์ ประมาณกลางปีเดือนมิถุนายน การทำงานก็สนุกดี เหนื่อย ยาก เครียดพอๆ กับการทำหนังเลย (ยิ้ม) เป็นเพราะว่าผมใช้โปรดักชั่นแบบภาพยนตร์มาใช้กับซีรีย์เรื่องนี้ ด้วยว่าเราอยากเห็นงานโทรทัศน์ก้าวไปอีกขั้นหนึ่ง ส่วนโครงเรื่องเหมือนเดิม แต่ว่าคาแรคเตอร์บางอย่างปรับเปลี่ยนตามนักแสดงของเรา สองบางอย่างเป็นวัฒนธรรมเกาหลีเราจะต้องปรับให้เป็นวัฒนธรรมไทย ส่วนโครงเรื่องเหมือนเดิม เพราะนั่นคือเหตุผลที่เราต้องรีเมคเขา”
“ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นนักแสดงหน้าใหม่เกือบหมด ผมรู้สึกหนักใจมากครับ คือโดนส่วนตัวอีกอย่างเป็นงานของทรูก็จะต้องเป็นนักแสดงในค่ายของเขาก่อนอย่างแรก สองพอเป็นงานที่มีค่ายชัดเจนไม่เหมือนตอนที่ทำหนังใหญ่ คือหนังใครๆ ก็พร้อมที่อยากจะกระโจนลงมา เรื่องค่ายไม่ได้เกี่ยวข้องกับดาราทางช่อง แต่พอมาเป็นทรู ถึงแม้ว่าเราอยากจะได้ดาราบางคน ซึ่งเขาก็อยากมาร่วมงานด้วย แต่พอเป็นเรื่องค่ายขึ้นมาก็จะมีข้อจำกัดอะไรหลายอย่างตรงนั้น แต่ว่าผมโชคดีที่น้องๆ นักแสดงที่เราได้มาเล่นส่วนใหญ่ สุดท้ายต่อให้เป็นคนหน้าใหม่เลย เขาก็ตั้งใจทำงานและก็เต็มที่กับมัน ก็เลยไม่ค่อยหนักใจในส่วนนี้”
“ในส่วนการคัดเลือกนักแสดงทางทรูก็ให้สิทธิ์เราในการเลือกครับ คือเป็นการร่วมแชร์กับทางผู้ใหญ่ในทรูด้วย เหมือนกับว่าเราต้องเข้าใจในโจทย์บางส่วนของเขาว่าทำมาเพื่อเด็กเอเอฟ ในขณะเดียวกันเราก็ต้องมีสิทธิ์ที่จะเอาเด็กเอเอฟทุกคนมาแคสนะ และก็นำเสนอไปว่าคนไหนเหมาะสมหรือไม่เหมาะสมยังไง”
มองเป็นเรื่องธรรมดาที่จะถูกเปรียบเทียบกับเวอร์ชั่นเกาหลี ยอมรับว่ากลัว แต่ก็ต้องปล่อยวาง
“กลัวมั้ย ตอนแรกๆ ก็กลัวนะ แต่ว่ากลัวไปก็ไม่มีประโยชน์ เพราะว่าเราเอากดดันความเครียดตรงนี้ กดดันก็ยิ่งรู้สึกเครียดมันก็ทำให้ดีขึ้นไม่ได้ แต่ว่าหลังๆ ก็ไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งเหล่านี้ แต่ว่าเราจะกดดัน เราทำบทเรื่องนี้ อ่านบทเรื่องนี้แคสนักแสดง มีเวิร์คช็อป ออกไปดูโลเกชั่น เราถ่ายทำ และเราวางมาตรฐานงานของเราไว้ในระดับหนึ่ง ความกดดันหรือตึงเครียดมันอยู่ที่เราจะทำยังไงให้งานอยู่ในมาตรฐานของเราให้ได้”
ส่วนงานกำกับภาพยนตร์ผลงานเรื่องล่าสุดที่ทำไว้ก็คือ “วัยรุ่นพันล้าน” แต่พอแย็บถามถึงแพลนเรื่องต่อไป เจ้าตัวก็บอกให้แฟนหนังใจหายว่า เร็วๆ นี้คงยังไม่มี อยากพักไปแสวงหาสิ่งใหม่ๆ ให้ชีวิตสัก 5 ปีก่อน
“ตอนนี้งานหนังยังไม่มีเลยครับ เรื่องวัยรุ่นพันล้าน เป็นหนังเรื่องล่าสุด ยังไม่ได้เริ่มเลย ตอนนี้คิดว่าน่าจะเบรกหนังไปยาวๆ ประมาณ 3-5 ปี ในความรู้สึกนะ อยากลองไปใช้ชีวิต อยากลองไปทำอะไรใหม่ๆ ดูบ้าง”
“จริงๆ ยังรักการทำหนังอยู่ และรู้สึกดีทุกครั้งที่ได้ออกกองไปทำหนัง แต่ว่าตอนนี้อยู่ในช่วงที่รู้สึกว่าอยากออกไปใช้ชีวิต อยากออกไปเจออะไรที่ทำให้เราตื่นเต้น ส่วนที่ว่ามีพล็อตหนังที่จะทำก็มีเรื่อยๆ แต่พอเวลาผ่านไปบางทีก็อยากทำมาขึ้น บางทีก็อยากทำน้อยลง กับโปรเจกต์ 7 ปีของจีทีเอช ผมไม่ได้ทำเลย ให้กำลังใจพี่ๆ น้องๆ อย่างเดียว และก็รอดูข่าวเพราะเป็นโปรเจกต์ที่เจ๋งมาก”