xs
xsm
sm
md
lg

ตั๊กม้อกับมรดกแห่งการบริหารร่างกาย/ต่อพงษ์

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ปรมาจารย์ตั๊กม้อหรือท่านโพธิธรรมอาจจะเป็นหลวงจีนประจำวัดเส้าหลินที่โด่งดังที่สุด แต่กระนั้นท่านก็ไม่ได้เป็นคนสร้างวัดแห่งนี้ขึ้นมา เพราะ แท้ที่จริงเส้าหลินนั้นตั้งมาตั้งแต่สมัยเว่ยเหนือในราวปี ค.ศ. 447 จากการที่ฮ่องเต้เซียวเหวินรู้สึกประทับใจธรรมะที่พระอินเดียซึ่งเดินทางมาเผยแผ่ศาสนาชื่อว่า หลวงพ่อฝอทัว( Fotuo ) ท่านก็เลยสร้างวัดให้อยู่บนเขาซงซานนั่นเอง

แง่หนึ่งหลวงพ่อฝอทัวท่านก็เป็นคนที่รู้วิชาการต่อสู้ครับ เพราะศิษย์ของท่านที่ชื่อ เซงฉู่( Sengchou )และท่านฮุ่ยกวง(Huiguang )ก็ได้รับการถ่ายทอดวิทยายุทธจากท่านอาจารย์จนกลายเป็นจอมยุทธชื่อดังอยู่ไม่น้อย

ว่ากันว่าเมื่อแรกสุดที่ทำให้พระต้องฝึกวิทยายุทธหรือแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ก็เพราะบรรดาสัตว์ป่าทั้งหลายที่อยู่บริเวณป่าเชิงเขานั้นทำท่าจะรับประทานพระเป็นอาหารกันอยู่เรื่อย พระก็เลยต้องมีวิชาเอาไว้ป้องกันตัวให้พ้นจากสัตว์ร้ายเหล่านั้น ซึ่งต่างไปจากพระไทย เพราะ เวลาไปธุดงค์ส่วนใหญ่ก็ใช้พลังจิตแผ่เมตตาให้มันหนีไปหรือไม่ทำอันตราย

แต่วิทยายุทธเส้าหลินมาเป็นหลักเป็นฐานก็เมื่อการมาของท่านโพธิธรรมในสมัยราชวงศ์เหลียง ซึ่งตอนนั้นประเทศจีนยังไม่มีใครยึดครองได้แบบเบ็ดเสร็จ แต่ดูเหมือนว่าธรรมของตั๊กม้อนั้นจะไม่โดนใจเหลียงอู่ตี้แห่งราชวงศ์ใต้สักเท่าไหร่ ท่านตั๊กม้อก็เลยต้องลาและออกธุดงค์ขึ้นเหนือมายังที่เขาเซียวซิกฮง ก่อนจะค้นหาถ้ำและนั่งสมาธิอยู่คนเดียวเป็นเวลา 9 ปี จนบรรลุและเข้าใจ ซึ่งสิ่งที่ท่านตั๊กม้อเอามาเผยแผ่จริงๆก็คือเรื่องของเซนหรือฌาน และคำสอนและหลักธรรมจากคัมภีร์ลังกาวตารสูตรเสียเป็นส่วนใหญ่

ช่วงนั่งพิจารณาต่อผนังถ้ำนั้น ตำนานเกี่ยวกับท่านตั๊กม้อก็มีเรื่อยเลยตั้งแต่การที่ท่านเผลอหลับไปหลังจากนั่งพิจารณามาได้ 7 ปี ด้วยความเจ็บใจท่านก็เลยเอามีดมาเฉือนเปลือกตาออกไป เปลือกตาที่ถูกเฉือนก็กลายมาเป็นชาสำหรับดื่มแก้ง่วงเฉยเลย ขณะที่บางตำนานก็บอกว่าท่านนั่งเสียจนขาเสียไปสองข้างซึ่งทางญี่ปุ่นจะเชื่อตำรานี้จนกระทั่งทำตุ๊กตาดารูมะซึ่งเป็นตัวแทนของท่านตั๊กม้อขึ้นมาและไม่มีขากันนั่นเอง

แต่ผลจากการนั่งพิจารณาขนาดนั้นก็กลายมาเป็นตำราชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “อี้จินจิง ( Yi JinJing)” หรือที่คอกำลังภายในเมืองไทยรู้จักในนาม “เอ๊กกึงเก็ง” หรือแปลเป็นไทยก็คือ “คัมภีร์ย้ายกล้ามเนื้อเปลี่ยนเส้นเอ็น” ที่ใครต่อใครในยุทธภพต่างก็อยากฝึก หรือ ถึงขนาดท่องจำได้เท่านั้นก็สามารถทำให้ร่างกายเพิ่มพลังภายในที่อยู่ในตัวได้ระหว่างที่นั่งสมาธิ ท่านตั๊กม้อคิดค้นวิธีการหายใจและการเปลี่ยนกล้ามเนื้อและเส้นเอ็นก็เพื่อให้สามารถผ่านการนั่งสมาธิ 9 ปีติดต่อกันให้ได้นั่นเอง

ส่วนเหตุที่วิชาของท่านตกมายังพระองค์อื่นๆในเส้าหลินนั้น ตามประวัติบอกว่า ท่านตั๊กม้อเห็นพระอื่นๆมีสุขภาพร่างกายไม่แข็งแรงก็เลยถ่ายทอดวิชากายบริหารเพื่อให้ร่างกายภายนอกแข็งแรง และวิชากำลังภายในเพื่อเพิ่มลมปราณอันจะทำให้ร่างกายไม่เจ็บป่วยไข้ การบริหารร่างกายและการนั่งสมาธิเดินลมปราณเพื่อสุขภาพก็กลายเป็นวิชาหลักของเส้าหลินไปและผสมผสานกับหมัดมวยเดิมที่ไปสู้กับสัตว์ต่างๆ กลายเป็นท่าหมัดมวยและการฝึกที่เป็นมาตรฐานขึ้นมา

เมื่ออยู่ที่เส้าหลินระยะเวลาหนึ่งท่านก็ได้จากไป ซึ่งตามประวัติศาสตร์จริงๆนั้นท่านตั๊กม้อถูกวางยาพิษจนกระทั่งเสียชีวิต แต่สิ่งที่เป็นตำนานก็คือ ศพของท่านที่ถูกบรรจุอยู่ในโลงนั้น ตอนหลังก็เป็นโลงว่างเปล่าเหลือแต่รองเท้าอยู่ข้างเดียว ก็ไม่รู้ว่าท่านถอดจิตได้หรือฝ่ามิติไปได้ แต่จิตและวิญญาณรวมทั้งตัวของท่านหลังมรณภาพได้ออกเดินทางอีกครั้ง มีหลักฐานว่ามีคนเห็นท่านเหยียบต้นอ้อทวนกระแสน้ำขึ้นไป บ้างก็เห็นท่านขออาศัยเรือโดยสารออกทะเลกลับไปสู่อินเดียใต้บ้านเกิดของท่าน

ในโลกกำลังภายในของกิมย้งนั้น ไต้ซือกั๊กเอี๊ยง อาจารย์ของจางซานฟงฝึกคัมภีร์นี้ได้สำเร็จจนสามารถปราบสามศักดิ์สิทธิ์คุนลุ้นได้ ขณะที่เล้งฮู้ชงพระเอกจากเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรก็ได้คัมภีร์นี้มาสลายพลังภายในที่ตัวเองดูดมาแบบไม่ได้ตั้งใจเพราะวิชามหาเวทย์ดูดดาวที่เขาฝึกได้จนเกิดเป็นพิษในร่างกายสลายไปสิ้น เรียกว่าคัมภีร์นี้มีประโยชน์อย่างเหลือเชื่อสำหรับคนที่ใฝ่หาวิทยายุทธ

นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่กล่าวว่า จริงๆท่านตั๊กม้ออาจจะไม่ได้เป็นคนเขียนคัมภีร์นี้ขึ้นมา แต่เป็นนักเรียนของวัดรุ่นหลังๆเพราะ คัมภีร์เล่มดังกล่าวถูกพบหลังจากที่ท่านจากเส้าหลินไปแล้ว โดยพบร่วมกับคัมภีร์อีกเล่มนั่นคือ “ซีสุ่ยจิง( Xi Sui Jing )” หรือ “คัมภีร์ชำระล้างไขกระดูก” เรื่องคัมภีร์นี้ก็เป็นปริศนาที่จะต้องมาขยาย เช่นเดียวกันกับตัวของท่านตั๊กม้อในฐานะที่เป็นยอดวิทยายุทธ ที่นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ไม่เชื่อในเรื่องดังกล่าวเอาเลยละครับ

เราต้องพูดถึงเรื่องนี้กันก่อนว่า เรื่องของท่านตั๊กม้อนั้นมีทั้งที่เป็นตำนาน และถูกบันทึกเอาไว้จริงในช่วงเวลาที่ท่านมีชีวิตอยู่ แถมยังมีตำนานที่ต่อเติมกันตั้งมากมายในรุ่นหลัง โดยเฉพาะหลังจากที่พระในวัดเส้าหลินได้สร้างชื่อในฐานะนักรบกันเรียบร้อยแล้ว

นักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่ที่ศึกษาเรื่องของตั๊กม้ออย่างน้อย 3 คนที่ชื่อ ถังเหา สวีเจิน และชาวญี่ปุ่นที่ชื่อ มัตซึดะ ริวชิ (Tang Hao, Xu Zhen and Matsuda Ryuchi ) พูดถึงตัวท่านตั๊กม้อว่า ท่านเป็นนักทำสมาธิและเป็นนักเทศน์ที่คนเชื่อมั่นมาก แต่นิสัยอย่างหนึ่งของท่านก็สมกับที่จะเป็นพระน่ากราบนั่นคือ ท่านตั๊กม้อท่านไม่ชอบการต่อสู้และความขัดแย้ง ท่านเจอคนพาลส่วนใหญ่ก็จะหลีกเลี่ยงเสียมากกว่าจะทำให้เกิดการปะทะกัน เหมือนกรณีที่ท่านโดนวางยาพิษหรือการที่ท่านย้ายจากทางใต้ของจีนมาตอนเหนือแทนก็เพราะการไม่ต้องการขัดแย้งกับใคร

เพราะฉะนั้นคัมภีร์ที่เป็นวิทยายุทธและการต่อสู้ไม่น่าที่จะออกมาจากท่านแน่ เพราะท่านคงไม่ทิ้งมรดกที่จะทำให้หลักการของท่าน ของวัดและศาสนาเปลี่ยนไป

สำหรับนักประวัติศาสตร์รุ่นใหม่เชื่อนั้น เขาว่าสิ่งที่ท่านทิ้งเอาไว้ให้ก็คือ หลักการบริหารร่างกายและหลักของการฝึกหายใจอันเป็นการเพิ่มพลังปราณและพลังชีวิตรวมถึงลดการเมื่อยขบอย่างไม่ต้องสงสัย แต่อาจจะเป็นเพราะความแข็งแรงของพระที่พัฒนาขึ้นมาจากมรดกของท่านก็เลยทำให้ พระวัดเส้าหลินดูจะแปร่งๆไป กลายเป็นพระนักรบและพระนักการเมืองในเวลาต่อมา ซึ่งผลก็คือ เส้าหลินนั้นก็ถูกอำนาจรัฐหรือผู้ที่ต้องการก่อกบฏบุกเผาอยู่เรื่อยๆ แล้วก็มีหนังจีนและละครจีนเอาเรื่องวัดเส้าหลินถูกเผามาทำเรื่อยๆเหมือนกัน

นักประวัติศาสตร์กลุ่มดังกล่าวยังรายงานด้วยว่า สิ่งที่ท่านตั๊กม้อได้สอนบรรดาเส้าหลินรุ่นแรกๆก็คือ ฝ่ามืออรหันต์ซึ่งมี 18 ท่า( Eighteen Arhat Hands (Shi-ba Lohan Shou) )แต่มันก็ไม่ใช่วิชาการต่อสู้อยู่ดีครับ แต่กลับเป็นการผนึกท่าปางมือเพื่อทำให้เกิดพลังชี่และสมาธิจิตขึ้นมา

จุดเริ่มต้นที่ทำให้ชื่อของเส้าหลินโด่งดังในฐานะของกองกำลังที่เข้มแข็งก็คือ การออกไปสู้กับโจรในสมัยปลายราชวงศ์สุยซึ่งกบฏมีขึ้นทั่วทิศ ภาวะข้าวยากหมากแพงก็มีมากมายจนทำให้การบุกเข้าปล้นวัดที่มั่งคั่งจึงมีขึ้นอย่างไม่ขาดสาย พระในวัดจึงได้แสดงฝีมือสู้กับกองกำลังติดอาวุธทั้งหลายอย่างราบคาบ

แต่ที่ทำให้ดังสุดขีดก็ยิ่งเมื่อ 13 พระสงฆ์ได้รวมตัวกันไปช่วย “เจ้าฉินอ๋องแห่งราชวงศ์ถัง” หรือที่รู้จักกันในนาม “หลี่ซื่อหมิน” หรือในเวลาต่อมาก็คือ “ถังไถ่จงฮ่องเต้” จักพรรดิของประเทศจีนเขา พระทั้ง 13 รูปนี้ก็สามารถแบกหลี่ซื่อหมินหนีจากการวางแผนดักไล่ล่าของผู้นำกองกำลังอีกก๊กหนึ่งอย่าง “หวังซื่อชง” ได้อย่างเหลือเชื่อในสงครามที่หูหลอ

เรื่องสงครามและวีรกรรมแห่งพระเส้าหลินที่พัฒนากลายเป็นพระนักรบยังมีรายละเอียดและประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจอยู่อีก รวมถึงเรื่องตำราและตำนานต่างๆ ที่ส่งผลให้กลายเป็นสำนักอันดับหนึ่งของยุทธจักรยังมีอีกเยอะเลยครับ

กำลังโหลดความคิดเห็น