ขณะที่บทความชิ้นนี้ถูกเผยแพร่ทางเว็บไซต์แมเนเจอร์ เชื่อแน่ว่า หลายๆ คนอาจจะกำลังอยู่กับคนรัก สวีตหวานที่ไหนกันสักแห่ง และก็เชื่อแน่ว่า ยังมีอีกหลายคนที่กำลังเปลี่ยวเหงาเพราะไม่มีใครให้หวานใส่ คล้ายกับที่เราๆ ท่านๆ ผู้เล่นเฟซบุ๊กเป็นกิจวัตรประจำวันนั่นแหละครับที่จะเห็นสเตตัสทำนองรำพึงรำพันว่าฉันยังโสด เหงาอิ๊บอ๋าย อยากมีใครสักคนเหลือเกิน สเตตัสแบบนี้ มันมาถี่มากเลยล่ะครับ คือยิ่งใกล้วันวาเลนไทน์เข้ามาเท่าไร ก็ยิ่ง “เยอะ” กันมากเท่านั้น
เปล่า, ผมไม่ได้จะบอกว่ารำคาญอะไรหรอกครับ เพราะคิดอย่างหนึ่งก็ดูอบอุ่นดี อย่างน้อยโลกนี้ก็มี “คนโสด” เป็นเพื่อนอยู่เยอะมาก (ไม่ฮา 555) แต่ที่สุดแล้ว มันก็เป็นแค่วันอีกหนึ่งวันซึ่งจะผ่านไปเช่นกับวันที่ผ่านมา ผมว่าคนเราบางที ก็ยึดติดและเป็นทุกข์กับ “เรื่องสมมติ” กันมากเกินไป มานั่งสงสารตัวเองในวันวาเลนไทน์ ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าเราย้อนกลับไปดูรากเหง้าที่มาของวันวันนี้ ก็อาจจะเกิดคำถามเสียด้วยซ้ำว่า มันกลายมาเป็น “วันรำพึงรำพัน” ของคนโสดไปได้อย่างไร
พูดอย่างนี้ ผมก็ไม่ได้จะทำตัวเป็นมนุษย์ขวางโลกแต่อย่างใด แต่ถ้าเราเข้าใจได้ว่า ความรักนั้นมีได้ทุกวัน (และก็เลิกมันได้ทุกวันเช่นกัน) ดังนั้น ก็จึงไม่น่าจะมีเหตุผลอะไรที่เราจะลากตัวเองไปเศร้าหรือเหงาในวันนี้
ทำใจดีๆ ไว้ครับ มันไม่ขาดใจตายหรอก เพียงเพราะคุณไม่มีใครให้ควงในวันวาเลนไทน์
เหนืออื่นใด ผมคิดว่า วันวาเลนไทน์ (ในมุมมองที่คนเข้าใจว่าเป็นวันแห่งความรัก) ก็เป็นอะไรที่ฉาบฉวยเอาเรื่องเหมือนกัน เพราะวันวันนี้ มันมักจะปิดตาของเราข้างหนึ่งให้มองเห็นแต่ด้านที่สวยงามเปี่ยมความสุขของการมีใครสักคน ทั้งที่ความเป็นจริง ในความรักที่เรามักจะมองว่าแสนหวานนั้น มันก็มีเรื่องราวมากมายที่คนสองคนต้องก้าวผ่านไปด้วยกัน...ผ่านได้ก็ดี ไม่ผ่านก็พัง...
ความรักไม่ได้มีเพียงสีชมพู เพราะยังแทรกอยู่ด้วยสีอื่นๆ อีกหลายสี นี่คือชีวิตจริงๆ ไม่ใช่ภาพฝัน
เมื่อมองในมุมนี้ ผมคิดว่า หนังอย่าง “วาเลนไทน์ สวีทตี้” ซึ่งเป็นภาคต่อของ “ส.ค.ส. สวีทตี้” นั้น นำเสนอให้เห็นได้ดีระดับหนึ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็นคู่รักระหว่าง “ฟิน” กับ “ดี้”, “หลังอาน” กับ “ฟ้า” ไปจนถึง “เง็ก” กับ “พี่หมี” ความรักของพวกเขาเหล่านี้ ต่างก็ไม่ได้มีเพียงด้านที่สวยงาม หากแต่ยังมี “คมหนาม” ที่ติดตามมากับกุหลาบสีสวย
ไม่ว่าจะเห็นด้วยหรือเห็นแย้ง แต่ผมรู้สึกของผมเองว่า หนังภาคต่อเรื่องนี้ทำได้ดีขึ้นกว่าภาคที่แล้ว ความลึกด้านอารมณ์ของเนื้อเรื่อง ทำได้สุดกว่า เพราะไม่ว่าจะลากไปซึ้ง หรือดึงไปเศร้า หนังก็นำพาเราไปจนสุดทาง ผมชอบฉากที่ฟินกับดีมทุ่มเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายในร้านอาหาร เพราะรู้สึกว่า มันต้องไปถึงจุดแบบนั้นแหละ หลังจากที่หนังบ่มเลี้ยงความขัดแย้งให้คาราคาซังอยู่ในความรู้สึกของคนทั้งสองมาพักใหญ่ๆ
วาเลนไทน์ สวีทตี้ จึงไม่ได้มีแค่ด้านที่หวานหอม หากแต่ยังชุบย้อมด้วยมิติที่หลากหลายของความรัก
กับความรัก บางที เราอาจเป็นเช่นกับเง็กที่ความรักอยู่ใกล้แค่สายตา แต่ทว่าไม่เคยมองเห็น หรือเราอาจเป็นเช่นเดียวกับเจ็ท (ว่าน-ธนกฤต) ที่ใช้จ่ายวันเวลาและคนควงอย่างเปล่าเปลืองจนหลงลืมสิ่งที่จำเป็นต่อหัวใจจริงๆ
แต่กระนั้นก็ดี ได้รักมาแล้ว ก็ใช่ว่าจะราบรื่น เหมือนกับคู่ของหลังอานกับฟ้า และคู่ของดี้กับฟิน คนสองคนจะอยู่ด้วยกันได้ ไปด้วยกันรอด ไม่ใช่เพียงแค่ฉันสามารถจีบเธอมาเป็นแฟน เพราะเส้นทางข้างหน้า หลังจากที่เป็นของกันและกันแล้วนั่นต่างหาก ที่ยากยิ่งกว่า...
ยอร์ช-ฤกษ์ชัย พวงเพ็ชร ทำหนังเรื่องนี้ออกมาได้ครบรสในความเป็นหนังรักโรแมนติก ขณะเดียวกัน อารมณ์ขันซึ่งถือเป็น “ทาง” ของยอร์ช-ฤกษ์ชัย มาแต่ไหนแต่ไร คนดูก็เก็บเกี่ยวได้ในวาเลนไทน์ สวีทตี้ อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ผมชอบมุกตลกที่เกิดขึ้นระหว่างเง็กกับเจ็ทมากที่สุด เพราะรู้สึกว่า นอกเหนือไปจากความฮา มันยังแทรกซ่อนไว้ด้วยแง่มุมความแตกต่างระหว่างผู้ชายกับผู้หญิง
ขณะที่มุกตลกซึ่งต้องจับตาก็คือมุกที่อยู่ในฉากของแดน-วรเวช ครับ แม้ว่าภาคนี้ บทบาทเรื่องรักของเขาจะถูกลดทอนลงเพื่อหลีกทางให้กับคู่อื่นๆ แต่เขาก็จะถูกมองเห็นและถูกจดจำได้เป็นอย่างดีด้วยมุกตลกในร้านอาหารที่กินความยาวร่วมๆ 10 นาที จำได้ว่า คนดูรอบเดียวกันฮาเต็มเสียงกันทั้งโรง
วาเลนไทน์ สวีทตี้ เป็นหนังที่ดูแล้วรู้สึก “สวีทตี้” มีความสุขสมกับชื่อหนัง ผมพูดแบบผ่านๆ ในรายการ Viewfinder เมื่อวันเสาร์ที่แล้วว่า นี่คือหนังที่เหมาะมากๆ สำหรับการควงแขนแฟนไปดู (หรือใครที่คุณกำลังคบหา) กระนั้นก็ดี ต่อให้คุณไม่มีใคร ก็อย่าได้กลัวเลยครับ ผมเห็นหลายคนไม่กล้าไม่ดูหนังคนเดียว ยิ่งในวันวาเลนไทน์ ยิ่งไม่กล้าเข้าไปใหญ่
มันก็คงเหมือนกับที่เราถูกพูดกรอกหูอยู่ตลอดเวลานั่นกระมังครับว่า คนเราเกิดมาต้องมีคู่ ทั้งที่ความเป็นจริง การมีคู่มันไม่ได้เป็นสูตรสำเร็จสูตรเดียวของการมีชีวิต แน่นอน พูดแบบนี้ ผมไม่ได้จะบอกให้คุณเดินออกไปใช้ชีวิต “ฟันดะ” แบบคนที่หลงลืมอะไรบางอย่างเหมือนอย่างเจ็ท แต่จะบอกว่าความสำเร็จของการเป็นคน มันไม่ได้มีแค่วิถีทางเดียว
บางคนอาจจะรู้สึกมีคุณค่าก็ต่อเมื่อมีคนมาเคียงคู่ แต่บางชีวิตก็มีคุณค่าแม้จะไม่มีคนมาเคียงข้าง จงเป็นอย่างที่คุณรักที่จะเป็น
แล้วใครกันล่ะที่บอกว่า เวลาไปดูหนัง มันต้องไปดูกันสองคนหรือหลายๆ คน (แต่แบบนี้ ค่ายหนังหรือเจ้าของหนังอาจจะชอบ ฮา)
ดูคนเดียวก็มีความสุขได้ครับ ถ้าหนังมันดี
อยู่เป็นโสดคนเดียวเดี่ยวๆ ก็ได้ครับ ถ้านั่น..มันเป็นทางของคุณ...