โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)

ความเสื่อม ทำให้วันแห่งความรัก(ของฝรั่ง) 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ กลายเป็น “วันเสียตัว” หรือ “วันเปิดซิง”ของวัยรุ่นไทยจำนวนหนึ่งไปเสียฉิบ
อย่างไรก็ดี แง่งามวันแห่งความรักของคนทั่วโลกนั้น ก็ยังคงทรงคุณค่าเกินกว่าที่วัฒนธรรมวันเสียตัวจะมาทำลายลงไปได้
สำหรับช่วงวันแห่งความรักปีนี้ ในวงการเพลงโลกอาจจะเจือปนไปด้วยบรรยากาศของความรักปนเศร้า ...เศร้าต่อการจากไปของราชินีเพลงป็อบ “วิทนีย์ ฮุสตัน” หรือ “วิทนีย์ ฮิวสตัน” (Whitney Houston) นักร้องเสียงสวรรค์ประทาน ซึ่งแม้ชั่วชีวิตของเธอจะมีผลงานสตูดิโออัลบั้มเพียงแค่ 7 ชุด แต่ว่าเธอมีบทเพลงฮิต เพลงดังมากมาย หลายเพลงยังคงครองความอมตะเหนือกาลมาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นในช่วงเทศกาลแห่งความรัก ผมจึงหยิบเอาอัลบั้มรวมเพลงรักของวิทนีย์ ที่ออกมาในชื่อ “Love,Whitney” ที่ออกมาใน ปี ค.ศ. 2001 มาบอกเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นการรำลึกความหลัง และ ไว้อาลัยต่อการจากไปของ วิทนีย์ ฮุสตัน ที่ป่านนี้บางทีดวงวิญญาณของเธออาจจะล่องลอยขึ้นไปร้องเพลงขับกล่อม สร้างความรื่นรมย์ให้กับเหล่านางฟ้า เทวดา บนสรวงสวรรค์ แล้วก็เป็นได้

อัลบั้ม Love,Whitney อัดแน่นไปด้วย บทเพลงรักหวาน-ซึ้ง-เศร้า รวม 16 เพลง เปิดนำกันด้วย "Until You Come Back" จากอัลบั้มที่สี่ “My Love Is Your Love”(1998) ผลงานการแต่งของ Babyface กับ Daryl Simmons
My Love Is Your Love เปิดโน้ตตัวแรกขึ้นต้นมาในซาวนด์ช็อกอารมณ์ ก่อนเข้าสู่โหมดของความหวานซึ้งกับน้ำเสียงอันทรงพลังและเสน่ห์ของวิทนีย์
ถัดมาเป็น "I Have Nothing" เพลงจากภาพยนตร์ “The Bodyguard”(1992) ที่เธอประกบคู่กับพระเอกคนดัง เควิน คอสต์เนอร์ ที่แม้หนังเรื่องนี้จะถูกวิจารณ์ไปในด้านไม่ค่อยโสภา แต่กับบทเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ที่วิทนีย์ได้ฝากน้ำเสียงอันทรงพลังไว้ถือว่าโด่งดังและยอดเยี่ยมมาก จนสามารถคว้ารางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มแห่งปีมาครอง ในปี 1993
I Have Nothing แต่งโดย เดวิส ฟอสเตอร์ กับ ลินดา ทอมป์สัน ขึ้นต้นนำมาด้วยเสียงเปียโน เล่นแตกโน้ตในคอร์ด ก่อนเบิ้ลด้วยซาวนด์กระแทกกระทั้นอารมณ์นำส่งเข้าตัวเพลงให้วิทนีย์ได้โชว์พลังน้ำเสียง
I Have Nothing ว่าด้วยอานุภาพแห่งรักที่หลังจากเธอทำลายกำแพงหัวใจ ฉันก็จะไม่เหลืออะไร ถ้าไม่มีเธอ วิทนีย์สามารถถ่ายทอดน้ำเสียงอารมณ์เพลงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการร้องแบบเล่นไดนามิกดังค่อย ร้องแบบหนักเบา โดยเฉพาะท่อนเปล่งพลังเสียงลากยาวแบบไม่มีแกว่งนั้น เธอแสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะทางด้านการร้องเพลงอย่างชัดเจน
นอกจากเสียงร้องอันยอดเยี่ยมของวิทนีย์แล้ว ภาคดนตรีฝีมือการโปรดิวซ์ของพ่อมด เดวิส ฟอสเตอร์ ก็เสริมส่งกัน ทำให้ตัวเพลงทรงพลังเป็นหนึ่งในเพลงดังมากของภาพยนตร์เรื่องเดอะ บอดี้การ์ด

ต่อกันด้วย "Why Does It Hurt So Bad" เพลงรักช้าๆจากหนังดังหนังเรื่อง “Waiting to Exhale”(1995) ที่วิทนีย์ทั้งร้องทั้งเล่น หลังไปได้สวยจากเดอะ บอดี้การ์ด
"You Give Good Love" (Whitney Houston :1985) บทเพลงแรกจากอัลบั้มแรก และเป็นเพลงฮิตเพลงรักของเธอที่ขึ้นไปถึงอันดับ 3 ในชาร์ตบิลบอร์ด เป็นหนึ่งในบทเพลงที่สร้างชื่อให้กับวิทนีย์ในยุคแรก เพลงนี้มาในอารมณ์ป็อบโซลที่ไพเราะชวนฟัง กับน้ำเสียงใสๆสมัยเพิ่งเป็นสาวแรกรุ่น
ต่ออารมณ์เพลงกันด้วย “All The Man That I Need” จากอัลบั้มที่สาม “I'm Your Baby Tonight” (1990) เพลงเก่าของลินดา คลิฟฟอร์ด ที่มีเสียงแซกโซโฟนหวานๆมาช่วยสร้างสีสัน
จากนั้นก็เป็น 2 บทเพลงจากอัลบั้มที่สอง “Whitney”(1987) นำโดย "Why Does It Hurt So Bad" เพลงช้าๆซึ้ง และตามด้วย “Just the Lonely Talking Again Whitney” ที่มาแบบติดกลิ่นแจ๊ซชวนฟัง
“Exhale (Shoop, Shoop)” เพลงดังอันดับ 1 จากหนังเรื่อง Waiting to Exhale ที่นอกจากน้ำเสียงอันยอดเยี่ยมและภาคดนตรีที่เสริมส่งแล้ว เสียงประสาน Shoop, Shoop ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ช่วยหนุนให้เพลงนี้ยังคงน่าฟังมาจนถึงทุกวันนี้

ต่อมาเป็น "Miracle" จากอัลบั้ม I'm Your Baby Tonight ตามด้วย “For the Love of You” จากอัลบั้มที่สอง Whitney ที่เบรกอารมณ์ด้วยจังหวะกระชับคึกคักไม่ให้เนื้องานโดยรวมของอัลบั้มหวานซึ้งเกินไปจนกลายเป็นเลี่ยน
แล้วจึงมาถึงอีกหนึ่งเพลงสุดฮิตอย่าง "Saving All My Love for You" จากในอัลบั้มแรก Whitney Houston เพลงนี้เป็นแรกจากสตูดิโออัลบั้มของวิทนีย์ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด ก่อนที่
จะตามมาด้วยอีก 2 บทเพลงดังจากอัลบั้มเดียวกันคือ "How Will I Know" และ "Greatest Love of All"
Saving All My Love for You เป็นบทเพลงเก่าจาก Marilyn McCoo และ Billy Davis เพลงนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ถึงวิธีการร้องเพลงของวิทนีย์ในยุคแรก ที่ต่างออกไปการร้องแบบขับเน้นพลังเสียงและลากยาวแบบในยุคหลัง
Saving All My Love for You มาในอารมณ์ป็อบโซลที่วิทนีย์โชว์พลังเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนฟังอินและกระเจิงไปได้ไม่ยาก กับเนื้อหาว่าด้วยการเก็บความรักทั้งหมดของฉันเพื่อเธอ ที่ในช่วงท้ายของเพลงนั้นชวนสยึ๋ยกึ๋ยมาก ซึ่งถ้าเป็นในบ้านเราคงวิพากษ์วิจารณ์กันยาวไม่ต่างจากคันหู โดยเฉพาะกับท่อนที่ร้องว่า
“...We'll be making love the whole night through So, I'm saving all my love...”
ต่อกันที่ “Run to You” จากซาวด์แทรคเรื่อง The Bodyguard และตามด้วย “I Believe in You and Me” อีกหนึ่งเพลงดังจากภาพยนตร์เรื่อง “The Preacher's Wife”(1996) ที่วิทนีย์เล่นคู่กับ แดนเซล วอชิงตัน

I Believe in You and Me นับเป็นอีกหนึ่งบทเพลงในแบบฉบับวิทนีย์ยุคเฟื่องที่เปิดโอกาสให้เธอโชว์น้ำเสียงโหนสูง ลากยาวกันอย่างอิ่มเอมในอารมณ์
มาถึงแทรคที่ 14 กับเพลง "Didn't We Almost Have It All" จากอัลบั้ม Whitney และตามต่อด้วย “All At Once” อีกหนึ่งเพลงดังจากอัลบั้มแรกของเธอ
จากนั้นมาปิดท้ายกันด้วย “I Will Always Love You” บทเพลงรักเนื้อหากินใจ ฉันจะรักเธอตลอดไป บทเพลงนำจากภาพยนตร์เรื่อง เดอะ บอดี้การ์ด
I Will Always Love You เปิดโอกาสให้วิทนีย์โชว์พลังเสียงของเธออย่างเต็มที่ ซึ่งแสดงให้เห็นความสุดยอดในพลังเสียงสวรรค์ประทานในช่วงพีคของเธอได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงก่อนเปลี่ยนคีย์ที่บทเพลงปล่อยท่อนเงียบหยุดนิ่งทิ้งอารมณ์ไปหนึ่งอึดใจ ก่อนจะกระชากอารมณ์คนฟังให้กระเจิงไปกับน้ำเสียงอันทรงพลัง ลากยาว โหนสูง ที่วิทนีย์ขับเปล่งออกมาแบบจัดเต็ม ที่มันได้กลายเป็นลายเซ็นของวิทนีย์และเป็นแม่แบบพิมพ์นิยมให้นักร้องรุ่นหลังๆเดินตาม รวมถึงในบ้านเราด้วย
เพลง I Will Always Love You แม้จะเป็นเพลงเก่าของ ดอลลี พาร์ตัน ที่วิทนีย์ ฮุสตัน นำมาร้องใหม่ภายใต้การโปรดิวซ์ของ เดวิส ฟอสเตอร์ ซึ่งสามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมลงตัวทั้งภาคเนื้อร้องและภาคดนตรี ชนิดที่นักวิจารณ์เพลงยกให้ว่าดีกว่าต้นฉบับเสียงอีก
และมันก็ทำให้บทเพลง I Will Always Love You ได้กลายเป็นลายเซ็น เป็นเครื่องหมายการค้าของวิทนีย์ นับจากหนังเรื่องนั้นเป็นต้นมา ซึ่งในงานประกาศผลรางวัลแกรมมี่ ครั้งที่ 54 ที่ผ่านมา "เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน" ได้กลั้นน้ำตาร้องเพลงนี้สะกดผู้ชมภายในฮอลล์ของโรงแรม Beverly Hilton Hotel และแฟนเพลงทั่วโลกที่จับตาเฝ้าชมการถ่ายทอดสด ชนิดที่หลายคนฟังแล้วกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
เพราะมันเป็นบทเพลงอันแสนเศร้าที่ถูกถ่ายทอดเพื่อไว้อาลัยแด่ ราชินีเพลงป็อบ วิทนีย์ ฮุสตัน ที่แม้เธอจะลาลับจากลาโลกนี้ไป แต่บทเพลงต่างๆของเธอยังคงอยู่
เช่นเดียวกับชื่อวิทนีย์ ฮุสตัน ที่ยังคงเป็นอมตะอยู่คู่กับวงการเพลงไปตลอดกาล
***********************************************************
คอลัมน์"เพลงวาน" จะนำเสนอบทเพลงน่าสนใจย้อนยุค สลับกับบทความแนะนำเพลงน่าสนใจในสมัยนิยม
*****************************************
แกะกล่อง

ศิลปิน : รวมศิลปิน
อัลบั้ม : Love For Life
อัลบั้มต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์จากค่าย Warner Music ที่รวบรวมเพลงรักอมตะไว้มากถึง 74 เพลง ในรูปแบบแพ็คเกจ 4 CD จากเสียงร้องของศิลปินต้นฉบับหลากหลายแนว หลากหลายอารมณ์ ด้วยระบบเสียงที่คมชัด “Love For Life” มีบทเพลงรักเด่นๆ เช่น “You're Inspiration”(Chicago), “More Than This”(Roxy Music),“Drive”(The Cars), “Baby I’m Want You”(Bread) ฯลฯ
สำหรับใครที่ซื้ออัลบั้มชุดนี้ ในร้านค้าที่ร่วมรายการ อาทิ บูมเมอแรง, แมงป่อง, แคป และร้านแกรม สามารถรับคูปองเพื่อส่งลุ้นรับแพ็คเกจโรแมนติค 3 วัน 2 คืน สำหรับ 2 คน (พักที่เก๊าไม้ล้านนาฯ เชียงใหม่)ภายใน 29 ก.พ. นี้
ความเสื่อม ทำให้วันแห่งความรัก(ของฝรั่ง) 14 กุมภา วันวาเลนไทน์ กลายเป็น “วันเสียตัว” หรือ “วันเปิดซิง”ของวัยรุ่นไทยจำนวนหนึ่งไปเสียฉิบ
อย่างไรก็ดี แง่งามวันแห่งความรักของคนทั่วโลกนั้น ก็ยังคงทรงคุณค่าเกินกว่าที่วัฒนธรรมวันเสียตัวจะมาทำลายลงไปได้
สำหรับช่วงวันแห่งความรักปีนี้ ในวงการเพลงโลกอาจจะเจือปนไปด้วยบรรยากาศของความรักปนเศร้า ...เศร้าต่อการจากไปของราชินีเพลงป็อบ “วิทนีย์ ฮุสตัน” หรือ “วิทนีย์ ฮิวสตัน” (Whitney Houston) นักร้องเสียงสวรรค์ประทาน ซึ่งแม้ชั่วชีวิตของเธอจะมีผลงานสตูดิโออัลบั้มเพียงแค่ 7 ชุด แต่ว่าเธอมีบทเพลงฮิต เพลงดังมากมาย หลายเพลงยังคงครองความอมตะเหนือกาลมาจนถึงทุกวันนี้
ดังนั้นในช่วงเทศกาลแห่งความรัก ผมจึงหยิบเอาอัลบั้มรวมเพลงรักของวิทนีย์ ที่ออกมาในชื่อ “Love,Whitney” ที่ออกมาใน ปี ค.ศ. 2001 มาบอกเล่าสู่กันฟังเพื่อเป็นการรำลึกความหลัง และ ไว้อาลัยต่อการจากไปของ วิทนีย์ ฮุสตัน ที่ป่านนี้บางทีดวงวิญญาณของเธออาจจะล่องลอยขึ้นไปร้องเพลงขับกล่อม สร้างความรื่นรมย์ให้กับเหล่านางฟ้า เทวดา บนสรวงสวรรค์ แล้วก็เป็นได้
อัลบั้ม Love,Whitney อัดแน่นไปด้วย บทเพลงรักหวาน-ซึ้ง-เศร้า รวม 16 เพลง เปิดนำกันด้วย "Until You Come Back" จากอัลบั้มที่สี่ “My Love Is Your Love”(1998) ผลงานการแต่งของ Babyface กับ Daryl Simmons
My Love Is Your Love เปิดโน้ตตัวแรกขึ้นต้นมาในซาวนด์ช็อกอารมณ์ ก่อนเข้าสู่โหมดของความหวานซึ้งกับน้ำเสียงอันทรงพลังและเสน่ห์ของวิทนีย์
ถัดมาเป็น "I Have Nothing" เพลงจากภาพยนตร์ “The Bodyguard”(1992) ที่เธอประกบคู่กับพระเอกคนดัง เควิน คอสต์เนอร์ ที่แม้หนังเรื่องนี้จะถูกวิจารณ์ไปในด้านไม่ค่อยโสภา แต่กับบทเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ที่วิทนีย์ได้ฝากน้ำเสียงอันทรงพลังไว้ถือว่าโด่งดังและยอดเยี่ยมมาก จนสามารถคว้ารางวัลแกรมมี่ในสาขาอัลบั้มแห่งปีมาครอง ในปี 1993
I Have Nothing แต่งโดย เดวิส ฟอสเตอร์ กับ ลินดา ทอมป์สัน ขึ้นต้นนำมาด้วยเสียงเปียโน เล่นแตกโน้ตในคอร์ด ก่อนเบิ้ลด้วยซาวนด์กระแทกกระทั้นอารมณ์นำส่งเข้าตัวเพลงให้วิทนีย์ได้โชว์พลังน้ำเสียง
I Have Nothing ว่าด้วยอานุภาพแห่งรักที่หลังจากเธอทำลายกำแพงหัวใจ ฉันก็จะไม่เหลืออะไร ถ้าไม่มีเธอ วิทนีย์สามารถถ่ายทอดน้ำเสียงอารมณ์เพลงออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้งการร้องแบบเล่นไดนามิกดังค่อย ร้องแบบหนักเบา โดยเฉพาะท่อนเปล่งพลังเสียงลากยาวแบบไม่มีแกว่งนั้น เธอแสดงให้เห็นถึงความเป็นอัจฉริยะทางด้านการร้องเพลงอย่างชัดเจน
นอกจากเสียงร้องอันยอดเยี่ยมของวิทนีย์แล้ว ภาคดนตรีฝีมือการโปรดิวซ์ของพ่อมด เดวิส ฟอสเตอร์ ก็เสริมส่งกัน ทำให้ตัวเพลงทรงพลังเป็นหนึ่งในเพลงดังมากของภาพยนตร์เรื่องเดอะ บอดี้การ์ด
ต่อกันด้วย "Why Does It Hurt So Bad" เพลงรักช้าๆจากหนังดังหนังเรื่อง “Waiting to Exhale”(1995) ที่วิทนีย์ทั้งร้องทั้งเล่น หลังไปได้สวยจากเดอะ บอดี้การ์ด
"You Give Good Love" (Whitney Houston :1985) บทเพลงแรกจากอัลบั้มแรก และเป็นเพลงฮิตเพลงรักของเธอที่ขึ้นไปถึงอันดับ 3 ในชาร์ตบิลบอร์ด เป็นหนึ่งในบทเพลงที่สร้างชื่อให้กับวิทนีย์ในยุคแรก เพลงนี้มาในอารมณ์ป็อบโซลที่ไพเราะชวนฟัง กับน้ำเสียงใสๆสมัยเพิ่งเป็นสาวแรกรุ่น
ต่ออารมณ์เพลงกันด้วย “All The Man That I Need” จากอัลบั้มที่สาม “I'm Your Baby Tonight” (1990) เพลงเก่าของลินดา คลิฟฟอร์ด ที่มีเสียงแซกโซโฟนหวานๆมาช่วยสร้างสีสัน
จากนั้นก็เป็น 2 บทเพลงจากอัลบั้มที่สอง “Whitney”(1987) นำโดย "Why Does It Hurt So Bad" เพลงช้าๆซึ้ง และตามด้วย “Just the Lonely Talking Again Whitney” ที่มาแบบติดกลิ่นแจ๊ซชวนฟัง
“Exhale (Shoop, Shoop)” เพลงดังอันดับ 1 จากหนังเรื่อง Waiting to Exhale ที่นอกจากน้ำเสียงอันยอดเยี่ยมและภาคดนตรีที่เสริมส่งแล้ว เสียงประสาน Shoop, Shoop ก็ถือเป็นอีกหนึ่งเสน่ห์ที่ช่วยหนุนให้เพลงนี้ยังคงน่าฟังมาจนถึงทุกวันนี้
ต่อมาเป็น "Miracle" จากอัลบั้ม I'm Your Baby Tonight ตามด้วย “For the Love of You” จากอัลบั้มที่สอง Whitney ที่เบรกอารมณ์ด้วยจังหวะกระชับคึกคักไม่ให้เนื้องานโดยรวมของอัลบั้มหวานซึ้งเกินไปจนกลายเป็นเลี่ยน
แล้วจึงมาถึงอีกหนึ่งเพลงสุดฮิตอย่าง "Saving All My Love for You" จากในอัลบั้มแรก Whitney Houston เพลงนี้เป็นแรกจากสตูดิโออัลบั้มของวิทนีย์ที่ขึ้นถึงอันดับ 1 ในชาร์ตบิลบอร์ด ก่อนที่
จะตามมาด้วยอีก 2 บทเพลงดังจากอัลบั้มเดียวกันคือ "How Will I Know" และ "Greatest Love of All"
Saving All My Love for You เป็นบทเพลงเก่าจาก Marilyn McCoo และ Billy Davis เพลงนี้ถ้าสังเกตให้ดีจะเห็นได้ถึงวิธีการร้องเพลงของวิทนีย์ในยุคแรก ที่ต่างออกไปการร้องแบบขับเน้นพลังเสียงและลากยาวแบบในยุคหลัง
Saving All My Love for You มาในอารมณ์ป็อบโซลที่วิทนีย์โชว์พลังเสียงได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถสร้างอารมณ์ร่วมให้คนฟังอินและกระเจิงไปได้ไม่ยาก กับเนื้อหาว่าด้วยการเก็บความรักทั้งหมดของฉันเพื่อเธอ ที่ในช่วงท้ายของเพลงนั้นชวนสยึ๋ยกึ๋ยมาก ซึ่งถ้าเป็นในบ้านเราคงวิพากษ์วิจารณ์กันยาวไม่ต่างจากคันหู โดยเฉพาะกับท่อนที่ร้องว่า
“...We'll be making love the whole night through So, I'm saving all my love...”
ต่อกันที่ “Run to You” จากซาวด์แทรคเรื่อง The Bodyguard และตามด้วย “I Believe in You and Me” อีกหนึ่งเพลงดังจากภาพยนตร์เรื่อง “The Preacher's Wife”(1996) ที่วิทนีย์เล่นคู่กับ แดนเซล วอชิงตัน
I Believe in You and Me นับเป็นอีกหนึ่งบทเพลงในแบบฉบับวิทนีย์ยุคเฟื่องที่เปิดโอกาสให้เธอโชว์น้ำเสียงโหนสูง ลากยาวกันอย่างอิ่มเอมในอารมณ์
มาถึงแทรคที่ 14 กับเพลง "Didn't We Almost Have It All" จากอัลบั้ม Whitney และตามต่อด้วย “All At Once” อีกหนึ่งเพลงดังจากอัลบั้มแรกของเธอ
จากนั้นมาปิดท้ายกันด้วย “I Will Always Love You” บทเพลงรักเนื้อหากินใจ ฉันจะรักเธอตลอดไป บทเพลงนำจากภาพยนตร์เรื่อง เดอะ บอดี้การ์ด
I Will Always Love You เปิดโอกาสให้วิทนีย์โชว์พลังเสียงของเธออย่างเต็มที่ ซึ่งแสดงให้เห็นความสุดยอดในพลังเสียงสวรรค์ประทานในช่วงพีคของเธอได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะช่วงก่อนเปลี่ยนคีย์ที่บทเพลงปล่อยท่อนเงียบหยุดนิ่งทิ้งอารมณ์ไปหนึ่งอึดใจ ก่อนจะกระชากอารมณ์คนฟังให้กระเจิงไปกับน้ำเสียงอันทรงพลัง ลากยาว โหนสูง ที่วิทนีย์ขับเปล่งออกมาแบบจัดเต็ม ที่มันได้กลายเป็นลายเซ็นของวิทนีย์และเป็นแม่แบบพิมพ์นิยมให้นักร้องรุ่นหลังๆเดินตาม รวมถึงในบ้านเราด้วย
เพลง I Will Always Love You แม้จะเป็นเพลงเก่าของ ดอลลี พาร์ตัน ที่วิทนีย์ ฮุสตัน นำมาร้องใหม่ภายใต้การโปรดิวซ์ของ เดวิส ฟอสเตอร์ ซึ่งสามารถทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมลงตัวทั้งภาคเนื้อร้องและภาคดนตรี ชนิดที่นักวิจารณ์เพลงยกให้ว่าดีกว่าต้นฉบับเสียงอีก
และมันก็ทำให้บทเพลง I Will Always Love You ได้กลายเป็นลายเซ็น เป็นเครื่องหมายการค้าของวิทนีย์ นับจากหนังเรื่องนั้นเป็นต้นมา ซึ่งในงานประกาศผลรางวัลแกรมมี่ ครั้งที่ 54 ที่ผ่านมา "เจนนิเฟอร์ ฮัดสัน" ได้กลั้นน้ำตาร้องเพลงนี้สะกดผู้ชมภายในฮอลล์ของโรงแรม Beverly Hilton Hotel และแฟนเพลงทั่วโลกที่จับตาเฝ้าชมการถ่ายทอดสด ชนิดที่หลายคนฟังแล้วกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่
เพราะมันเป็นบทเพลงอันแสนเศร้าที่ถูกถ่ายทอดเพื่อไว้อาลัยแด่ ราชินีเพลงป็อบ วิทนีย์ ฮุสตัน ที่แม้เธอจะลาลับจากลาโลกนี้ไป แต่บทเพลงต่างๆของเธอยังคงอยู่
เช่นเดียวกับชื่อวิทนีย์ ฮุสตัน ที่ยังคงเป็นอมตะอยู่คู่กับวงการเพลงไปตลอดกาล
***********************************************************
คอลัมน์"เพลงวาน" จะนำเสนอบทเพลงน่าสนใจย้อนยุค สลับกับบทความแนะนำเพลงน่าสนใจในสมัยนิยม
*****************************************
แกะกล่อง
ศิลปิน : รวมศิลปิน
อัลบั้ม : Love For Life
อัลบั้มต้อนรับเทศกาลวาเลนไทน์จากค่าย Warner Music ที่รวบรวมเพลงรักอมตะไว้มากถึง 74 เพลง ในรูปแบบแพ็คเกจ 4 CD จากเสียงร้องของศิลปินต้นฉบับหลากหลายแนว หลากหลายอารมณ์ ด้วยระบบเสียงที่คมชัด “Love For Life” มีบทเพลงรักเด่นๆ เช่น “You're Inspiration”(Chicago), “More Than This”(Roxy Music),“Drive”(The Cars), “Baby I’m Want You”(Bread) ฯลฯ
สำหรับใครที่ซื้ออัลบั้มชุดนี้ ในร้านค้าที่ร่วมรายการ อาทิ บูมเมอแรง, แมงป่อง, แคป และร้านแกรม สามารถรับคูปองเพื่อส่งลุ้นรับแพ็คเกจโรแมนติค 3 วัน 2 คืน สำหรับ 2 คน (พักที่เก๊าไม้ล้านนาฯ เชียงใหม่)ภายใน 29 ก.พ. นี้