xs
xsm
sm
md
lg

จากน้ำใจสาวเมืองเพชรฯ ถึงกระเช้าขึ้น "ภูกระดึง"/ไก่ อำนาจ

เผยแพร่:   โดย: อำนาจ เกิดเทพ

ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนนั้นเรียนอยู่ปี 2 หรือปี 3...

แต่ที่จำได้ก็คือเป็นช่วงปลายปีที่ผมกับเพื่อนรวม 7 คนได้ชักชวนกันไปเที่ยว "แก่งกระจาน" หลังได้รับการบอกเล่าจากรุ่นพี่ที่เคยไปมาแล้ว

มันเป็นการไปเที่ยวที่ค่อนข้างจะไร้การเตรียมตัวและข้อมูลเอามากๆ ทั้งวิธีการเดินทาง หรือแม้กระทั่งรายละเอียดเกี่ยวกับพื้นที่ที่จะไป

"พอถึงเพชร ก็ถามเขาเอา เดี๋ยวก็ไปถึงเองแหละ..." เป็นแผนการเดินทางที่เราตกลงร่วมกันระหว่างอยู่บนรถไฟและใช้แผนนี้จนกระทั่งพากันไปถึงศูนย์บริการนักท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติแก่งกระจานในราวๆ เกือบจะ 5 โมงเย็นด้วยความภาคภูมิใจเล็กๆ

"ตอนนี้ขึ้นไม่ได้ค่ะ ต้องรอเช้าก่อน" เจ้าหน้าที่สาวศูนย์บริการนักท่องเที่ยวฯ บอกพร้อมให้รายละเอียดสำคัญที่เราไม่รู้มาก่อนว่า ถ้าจะไปดูทะเลหมอกต้องไปที่ "พะเนินทุ่ง" ซึ่งห่างจากที่นี่ร่วม 50 กิโลฯ การเดินทางจะต้องใช้รถที่ค่อนข้างลุยๆ นิดๆ คนขับอาจจะต้องมีความชำนาญพอสมควรเนื่องจากสภาพถนนเป็นลูกรัง ทางแคบชัน โค้งเยอะ และการขึ้นไปรวมถึงเวลาลงก็จะมีเวลาเฉพาะ

"ถ้าไม่ได้เอารถมา เหมารถไปก็ได้นะ" เจ้าหน้าที่คนเดิมบอกคำแนะนำเพิ่มเติม ทั้งหมดทำให้เราต้องมาประชุมวางแผนกันใหม่

ระหว่างที่พวกเรากำลังคุยกันว่าจะเอาอย่างไร ก็มีนักท่องเที่ยวรุ่นๆ เดียวกัน 3 คนเดินเข้ามาชวนพวกเราเพื่อร่วมกันเหมารถขึ้นไป

"เด็กๆ เอ๊ย เที่ยวแบบนั้นมันจะได้รสชาติอะไร มันต้องลุยๆ อย่างพวกตรูนี่มันถึงจะเท่ห์ แล้วดูแต่งตัวมาเที่ยวป่าเข้าสิ อย่างกับคุณหนูคุณชายจะไปตีกอล์ฟ ฯ ..." เป็นคำพูดของพวกเราที่เหมือนกันอย่างไม่ได้นัดหมายหลังมาจับกลุ่มคุยกันในภายหลัง หากแต่สิ่งที่บอกกับทั้งสามไปในตอนนั้นก็คือ..."ขอบคุณ ไม่เป็นไรครับ"

ทั้งสามเดินกลับไปด้วยความผิดหวัง ขณะที่เราหันกลับมาวางแผนกันต่อ

"...48 กิโล ก็ไม่ไกลมากนี่หว่า เดินไปก็น่าจะได้ หรือไม่ก็โบกรถเอา...เรื่องเหมารถไม่เอาแน่ เพราะนอกจากไม่เท่ห์แล้วที่สำคัญเงินก็ไม่ค่อยมี...ไปตอนนี้เลยมั้ย เดินได้แค่ไหนเอาแค่นั้น แล้วกางเต้นท์นอนระหว่างทาง...หรือจะกางเต้นท์นอนที่นี่ก่อน เพราะจะค่ำแล้ว ฯลฯ..."

จะด้วยความสมเพชเวทนาต่อแผนการของพวกเราหรืออย่างไรไม่ทราบ ทำให้เจ้าหน้าที่พี่ผู้หญิงซึ่งฟังพวกเราคุยกันมาโดยตลอดได้ยื่นเงื่อนไขที่ไม่น่าจะสามารถปฏิเสธได้ด้วยการชวนเราไปนอนพักที่บ้านของเธอ?

นอกจากจะได้ที่พัก(เป็นบ้านที่กำลังก่อสร้างจวนเกือบจะเสร็จ) ค่ำนั้นเรายังได้รับ "น้ำใจ" เป็นข้าวและอาหารฝีมือคุณแม่ของพี่สาวเจ้าหน้าที่คนที่ว่า พร้อมด้วยคำแนะนำจากคุณพ่อของเธอที่มีอาชีพเสริมด้วยการรับจ้างขับรถพานักท่องเที่ยวขึ้นไปบนแก่งกระจาน

"เดินไม่ได้หรอก...ถ้าจะโบกรถเหรอ เอาอย่างงี้ พรุ่งนี้พ่อต้องขึ้นไปส่งคนที่พะเนินทุ่งพอดี เอาเป็นว่าเดี๋ยวเช้ามืดพ่อจะขับพาพวกเราไปส่งไว้ที่แคมป์บ้านกร่างก่อน แล้วพ่อจะย้อนกลับไปรับคนที่ทำการอุทยาน แล้วพอพ่อขับมาถึงแคมป์บ้านกร่าง พวกเราก็ทำเป็นโบกทำทีว่าขออาศัยติดรถขึ้นด้วยก็แล้วกัน..."

เช้ามืดรุ่งขึ้นเราได้รับ "น้ำใจ" จากคุณแม่พี่สาวอีกครั้งเป็นข้าวเหนียวหมูทอด(มารู้ทีหลังว่าเหตุที่พี่สาวเจ้าหน้าที่อุทยานรวมถึงครอบครัวของเธอใจดีกับเราค่อนข้างจะมากมายก็เพราะรู้สึกถูกชะตา เนื่องจากผมนั้นมีใบหน้าที่เหมือนน้องชายของเธอมากๆ นั่นเอง) จากนั้นทุกอย่างก็เป็นไปตามแผน

ณ จุดตั้งแคมป์บ้านกร่าง ทันทีที่เห็นรถกระบะแบบมีแคปของคุณพ่อโผล่มาแต่ไกล เรารีบสะพายเป้ขึ้นหลังทำทีเป็นเดินๆ พอรถเข้ามาใกล้เราก็รีบส่งสัญญาณโบกทันที

พลันที่กระจกรถถูกไขลง นอกจากใบหน้าที่คุ้นของคุณพ่อในฐานะโชว์เฟอร์แล้ว ยังมีอีก 3 ใบหน้าของผู้โดยสารในฐานะของผู้ว่าจ้างที่เราต่างคุ้นเคยเป็นอย่างดี

"ไปไหนกันล่ะหนุ่มๆ...โห เดินไปเนี่ยนะ ไปไม่ไหวหรอก...เอ่อคุณๆ ให้พวกนี้เขาอาศัยรถไปด้วยก็แล้วกันนะ นึกว่าเอาบุญ...ได้ใช่มั้ยครับ ขอบคุณครับๆ...เอ้า โดดขึ้นท้ายเลยสิ รออะไรกันอยู่..." เสียงคุณพ่อพูดไปเรื่อยตามที่ซักซ้อมกันมาโดยไม่ทันสังเกตเลยว่าใบหน้าของพวกเรานั้นมันดูจะแตกเป็นเสี่ยงๆ ไปแล้ว

เฮ้อ!! อะไรมันจะบังเอิญปานนั้น...

ที่เล่ามาคือเรื่องที่ผมรู้สึกว่าสนุกมากๆ ครั้งหนึ่งในชีวิตของการเดินทางไปเที่ยว

หยิบยกเอาความหลังครั้งเก่ามาบอกกล่าวก็เพราะว่าช่วงนี้กระแสการสร้าง "กระเช้า" เพื่อขึ้น "ภูกระดึง" กลับมาเป็นข่าวอีกครั้งหนึ่งหลังหลายปีที่ผ่านมาเคยเกิดมาแล้วก่อนจะเงียบหายไป

การกลับมาครั้งนี้ต้องบอกว่าเสียงของผู้สนับสนุนอย่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นายปรีชา เร่งสมบูรณ์สุข ซึ่งเป็นส.ส.จังหวัดเลยเจ้าของพื้นที่นั้นค่อนข้างจะเอาจริงเอาจังทีเดียว สำทับกับความเห็นของนายดำรงค์ พิเดช อธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติฯ ที่ออกออกมาเปิดเผยว่าหลังจากที่ตนได้ลงพื้นที่เพื่อรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนระดับจังหวัดและชาวบ้านจำนวน 400 คนพบว่าส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะให้มีการก่อสร้าง

ดูและฟังการให้สัมภาษณ์ของท่านอธิบดีกรมอุทยานฯ ผ่านรายการทีวีรายการหนึ่งแล้วก็รู้สึกว่าน่าสนใจทีเดียวครับ

ท่านบอกในทำนองว่าแม้ปัจจุบันภูกระดึงจะมีการจำกัดนักท่องเที่ยว แต่ถึงเวลาที่มีนักท่องเที่ยวแห่กันมากันเยอะๆ เจ้าหน้าที่ก็จำต้องปล่อยให้ขึ้นไปเพราะหลายคนอุตส่าห์เดินทางมาไกล ถ้าไม่ให้ขึ้นไปก็คงจะเป็นการทำร้ายจิตใจกันเกินไป ซึ่งการมีกระเช้าจะสามารถช่วยควบคุมตรงนี้ได้เนื่องจากนักท่องเที่ยวบางส่วนสามารถใช้กระเช้าขึ้นตอนเช้า-ลงตอนเย็นโดยไม่ต้องค้างคืน ปัญหาขยะ ปัญหาห้องน้ำ หรือแม้แต่ปัญหาลูกหาบ (ซึ่งมีจำนวนลดลงไปมากเพราะหลายคนป่วยเป็นโรคกระดูกพรุนแถมเด็กรุ่นใหม่ก็ไม่ทำอาชีพนี้กันแล้ว) ก็จะลดลง หรือถ้าใครเกิดบาดเจ็บ-เจ็บป่วยขึ้นมาก็สามารถใช้กระเช้าในการขนส่งเพื่อความรวดเร็ว เด็กๆ จะได้เห็นความสวยงามของภูกระดึงได้เหมือนคนหนุ่มคนสาว คนเฒ่าคนแก่จะได้กลับมารำลึกถึงความหลังเมื่อครั้งเป็นวัยรุ่น-สมัยที่เป็นนักศึกษา ส่วนถ้าใครอยากจะเดินเท้า ทางอุทยานฯ ก็ยังมีทางให้เดินเหมือนเดิม

นอกจากนั้นในการก่อสร้างครั้งนี้ยืนยันว่าจะไม่ส่งผลต่อทัศนียภาพ วิวทิวทัศน์ ความสวยงามของภูกระดึงโดยรวมแต่อย่างไร รวมไปถึงในระหว่างการก่อสร้างก็จะพยายามให้มีผลกระทบต่อธรรมชาติให้น้อยที่สุด ชนิดที่อาจจะไม่ต้องตัดต้นไม้เลยสักต้นเลยทีเดียว!

เหมือนจะดูดีแต่รู้สึกว่ามันแปลกๆ ขัดๆ กันมั้ยครับสำหรับเหตุและผลที่ถูกยกมา?

ผมไม่เคยไปภูกระดึงครับ แต่ถ้าถามผมว่าเห็นด้วยมั้ยกับการสร้างกระเช้า? ถ้ามองกันถึงเหตุผลที่กล่าวอ้าง ผมคงตอบได้เต็มปากเต็มคำครับว่าไม่เห็นด้วย


เพราะ นอกจากเหตุผลที่ยกมาทั้งเรื่องการควบคุมปริมาณนักท่องเที่ยว, ปัญหาของขยะ, ลูกหาบ ฯ ผมมองว่าทั้งหมดจะเป็นเรื่องของ "การจัดการ" ที่ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยเลยกับการมีหรือไม่มีกระเช้าแล้ว มุมมองในทำนองที่ว่า...ทำไมคนที่ไปเที่ยวภูกระดึงจะต้องเฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นหนุ่มๆ สาวๆ เท่านั้น เด็กๆ กับคนแก่ๆ ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปบ้างหรือ? ใครอยากเดินก็เดิน คนเดินไม่ไหวก็ขึ้นกระเช้าไปไม่เห็นจะเสียหายอะไรตรงไหน...ตรงนี้ถือเป็นตรรกะและวิธีการคิดที่ตื้นไปนิด

ไม่ใช่คิดกันเอาง่ายๆ เอาสะดวก มองผลประโยชน์ที่จะได้ในระยะสั้นๆ เช่นนี้หรือที่ทำให้ประเทศเรานับวันจะเลอะเทอะ ไร้กฏไร้ระเบียบ ตลอดจนทำให้ "ของดี" ของที่มีคุณค่านับวันจะไร้ค่า หมดความสำคัญมากยิ่งขึ้นไปทุกทีๆ

ส่วนไอ้ที่ชอบอ้างกันว่าเมืองนอกเมืองนาเขาก็มีไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรทำนองนี้น่ะ เลิกซะทีเถอะครับ ตราบใดที่สามัญสำนึกต่อสาธารณะ ต่อส่วนรวมของบ้านเรายังต่ำกว่าของเขาอยู่มาก

ลองหาเหตุผลอื่น เช่น การมีกระเช้าที่มีการก่อสร้างโดยไม่รบกวนธรรมชาติสักนิดเดียวจะทำให้นักท่องเที่ยวได้เห็นมุมมองใหม่ๆ อันสดสวยงดงามวิจิตรตระการตาของภูกระดึงซึ่งการเดินด้วยเท้าไม่สามารถจะมองเห็นได้อะไรทำนองนี้จะเข้าท่ากว่ามั้ยครับ

อย่างที่บอกครับว่าผมยังไม่เคยไปภูกระดึง ฉะนั้นเวลาที่ได้ฟังเพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ที่ไปมาแล้วมาเล่าให้ฟังถึงบรรยากาศต่างๆ ก็ต้องบอกว่ารู้สึกอิจฉาและน่ายกย่องไปพร้อมๆ กัน

เพราะถึงแม้บรรยากาศบนภูจะ(ฟังแล้ว)สวยงามอย่างโน้น อากาศดีอย่างนี้ แต่เชื่อมั้ยครับว่าทุกครั้งที่ได้ฟังแต่ละคนเล่า ทุกคนดูจะรู้สึกดี รู้สึกภาคภูมิใจมากๆ ก็ตรงที่เขาได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งใน "ผู้พิชิต" เส้นทางการเดินทางท่องเที่ยวที่ได้ชื่อว่าหนักเอาการสายหนึ่ง

ผมว่าตรงนี้และครับเป็น "เสน่ห์" ที่ทำให้ภูกระดึงมี "คุณค่า" และเป็นแรง "ดึงดูด" ให้คนอยากจะมาเยือนมาลองพิสูจน์นอกจากความสวยงามของวิวทิวทัศน์มานับตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน

เหมือนกับที่ใครก็ไม่รู้ว่าไว้ครับว่า ในการเดินทางท่องเที่ยวนั้น เรื่องราว "ระหว่างทาง" นี่แหละครับที่จะทำให้เรารู้สึกว่า "จุดหมายปลายทาง" มีคุณค่าเพียงพอที่จะประทับอยู่ในความทรงจำของเรามากน้อยเพียงใด

อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดหากมีกระเช้าขึ้นมาจริงๆ แล้วถามว่าถ้าผมมีโอกาสไปเที่ยวภูกระดึงจะเลือกขึ้นกระเช้าหรือว่าเลือกเดิน?

ข้อนี้ตอบล่วงหน้าไม่ได้จริงๆ

...เพราะแม้จะรักในความสะดวกสบาย แต่ผมก็ยังอยากจะได้น้ำใจจากสาวเมืองเพชรฯ อยู่ครับ
กำลังโหลดความคิดเห็น