“บ๊วย” น้ำตาแตก รับสัมพันธ์ “ตุ๊ก” ยังคลุมเครือ เผยยังตัดสินใจไม่ได้ว่าจะหย่าหรือไม่ ป้องที่กลับมาเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ไม่เกี่ยวสาว “โม” เป็นต้นเหตุ เจ้าตัวแจงส่วนหนึ่งเป็นเพราะเคยยอมตุ๊กมาตลอด พอตนลุกขึ้นมาแข็งข้อฝ่ายหญิงเลยช็อค รับเรื่องที่ตุ๊กกลับมารับงานเป็นเพราะรู้สึกเกิดความไม่มั่นคง จึงเป็นธรรมดาที่จะหาทางป้องกันให้ตัวเอง ลั่นยังหวังว่าจะกลับมาเป็นครอบครัวได้เหมือนเดิม
หลังจาก “ตุ๊ก ชนกวนัน วัชรคุณ” ออกมาให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าจนถึงวันนี้ปัญหาครอบครัวยังแก้ไม่ตก ส่วนสถานะความเป็นสามี-ภรรยาก็ยังคงคลุมเครือ ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าของวันนี้(9 ม.ค.) ผู้สื่อข่าวได้ตามไปสัมภาษณ์ “บ๊วย เชษฐวุฒิ วัชรคุณ” ที่ช่อง7 ระหว่างที่เจ้าตัวเดินทางมาจัดรายการคันปาก เพื่อสอบถามถึงประเด็นดังกล่าว งานนี้ก็ทำเอาหนุ่มบ๊วยปล่อยโฮออกมาด้วยความอัดอั้น พร้อมเปิดใจถึงสถานการณ์ครอบครัวที่ยังคาราคาซังอยู่ว่า…
“ก็บอกตุ๊กไปแล้วว่าเวลานักข่าวมาขอสัมภาษณ์ให้อ้างไปเลยว่าพี่บ๊วยไม่อยากให้สัมภาษณ์ก็ได้ ไม่ใช่พูดไปทุกอย่าง(หัวเราะแห้งๆ) สถานการณ์ในครอบครัวก็อย่างที่ตุ๊กพูด ทุกอย่างมันยังคลุมเครือ มันเป็นเรื่องของคนสองคน แล้วบังเอิญมันมาอยู่ในกระแส อยู่ในความสนใจของประชาชน แล้วก็มีหลายส่วนเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นแล้วมันก็ตัดสินใจกันยาก ก็เลยยังคลุมเครืออย่างที่ตุ๊กว่านั่นแหละครับ”
“ถมว่าตั้งแต่มีปัญหาได้พยายามประคับประคองชีวิตคู่ยังไงบ้าง จริงๆ มันก็มีเหตุการณ์หลายอย่าง ทั้งพยายามและอีกหลายๆ อย่าง เพราะทุกอย่างบอกได้เลยว่าตอนนี้ต้องคิดถึงลูกแล้ว แล้วความที่ผมเป็นผู้ชาย การที่เราจะพูดอะไรมากไปมันก็ไม่ดี ก็เลยบอกกับตุ๊กไปว่า เจอนักข่าวไม่ต้องให้สัมภาษณ์บ้างก็ได้ บอกเลยว่านี่มันเป็นเรื่องของครอบครัว เป็นเรื่องของคนสองคน แล้วผมก็คุยกับตุ๊กไปหมดแล้ว ยังพูดกับตุ๊กเลยว่าจะมีสัมภาษณ์อะไรอีกมั้ยตุ๊ก”
“สิ่งที่ตุ๊กให้สัมภาษณ์วันก่อนเราไม่ได้คุยเลยครับ เมื่อคืนเพิ่งคุยกับตุ๊กว่าเจอนักข่าวไม่ต้องให้สัมภาษณ์ก็ได้ตุ๊ก บอกเขา เขาก็เข้าใจ เขาก็เป็นเพื่อนเรานี่แหละ เป็นคนทำงานเหมือนกันน่ะแหละ แต่ว่าคุยกันว่าเราไม่สะดวกใจที่จะพูด ก็รอให้มันลงตัวก่อนดีกว่าครับ ฉะนั้นตอนนี้ผมก็ไม่สะดวกใจว่าจะเป็นอย่างไรนะครับ เอาเป็นว่าให้มันลงตัว แต่ทั้งหมดทั้งมวล ทุกคนต้องมีความสุขครับ”
“คือในความสัมพันธ์ของเรามันก็มีพูดคุยหยอกล้อกันเล่นทุกอย่างเหมือนเดิม แต่มันอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านของการเปลี่ยนแปลง (เปลี่ยนแปลงไปยังไง?) เปลี่ยนแปลงไปเพราะว่ามันเป็นข่าวไงครับ คือเราอยู่ในช่วงปรับความสัมพันธ์ว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นอย่างไร แต่ตอนนี้มันยังไม่ลงตัวก็เท่านั้นเอง ถ้าเกิดมันลงตัวแล้วเราก็คงบอก ไม่ได้คิดปิดบังอะไร แต่พอมันยังไม่ลงตัว มีหลายๆ ส่วนเข้ามา แทนที่มันจะไปได้ดีก็ไม่ได้ดีอย่างที่อยากจะให้เป็น”
“มันก็ต้องดีขึ้นอยู่แล้วครับ พอมีข่าวผมก็คุยกับตุ๊กว่ามันเป็นยังไง อย่างนั้นอย่างนี้ จะให้ผมมานั่งบันทึกเทป.....มันก็เป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นในการคุยกับ ผมก็บอกว่าตุ๊กเราไม่ได้เกลียดกันใช่มั้ย เราคุยกันในฐานะที่เรารักกันนะ พี่รักตุ๊กแล้วตุ๊กก็รักพี่ใช่มั้ย ก็ยังคุยกันขำๆ จับมือกัน ว่าเราจะเป็นเพื่อนกัน กอดคอ พูดคุยกัน ความสัมพันธ์เราก็ยังคุยในฐานะที่เรารู้สึกดีๆ ต่อกันใช่มั้ย ก็ใช่ เราก็ยังคุยกัน หัวเราะกัน”
“ส่วนเรื่องหย่าบางทีก็แล้วแต่คนตีความ สุดท้ายเรื่องราวจะเป็นยังไงก็คงต้องตัดสินใจอีกทีว่าจะหย่าหรือไม่หย่า ในครอบครัวไม่มีใครอยากให้มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น เราก็ต้องดูกันต่อไปว่า....เราคุยกันมากเลยว่าเราจะทำทุกอย่างให้ดี เพราะหนึ่งเราไม่ได้เป็นคนที่จะมาตัดสินใจทำอะไรก็ได้ เพราะเรามีลูกด้วย การที่เราจะตัดสินใจอะไรก็ต้องคิดอย่างดีที่สุดสำหรับลูกอยู่แล้ว”
เมื่อถามว่าเรื่อง “โม นภัสนันท์ พสวงศ์” ยังมีปัญหากันอยู่รึเปล่า? หนุ่มบ๊วยก็บอกว่า…
"มีไม่มีมันไม่ใช่...มันไม่มีตั้งนานแล้วครับ ตั้งแต่ก่อนน้ำท่วมอีก มีหรือไม่มีมันไม่กระทบเราสองคนเลย (ยืนยันเรื่องของมือที่สามว่าไม่มีแน่นอน?) ไม่ได้เกี่ยวข้องครับ อนาคตเราต้องวางแผนสิครับ เราเป็นพ่อเป็นแม่ เราต้องวางแผนเพื่อลูกของเราอยู่แล้ว เราเองคุยเรื่องนี้กันอยู่ตลอดเวลา บางทีผมก็พาลูกไปเที่ยวนั่นนี่ บางคนก็หาว่าผมสร้างภาพ โอเคครับ ผมก็สร้างภาพตามที่คุณหวังกันนั่นแหละครับ”
ปัดตอบกับ “ตุ๊ก” สุดท้ายสถานะจะยังเป็นสามี-ภรรยากันหรือเป็นเพื่อนกัน
"ผมไม่ตอบดีกว่านะครับ เอาเป็นว่าเราก็ยังเป็นสามี-ภรรยากัน แต่ไม่รู้ว่ามันจะลงเอยกันในแบบไหน มันเป็นคำถามที่ตอบยากจริงๆ ครับ (ในเมื่อไม่มีมือที่สามแล้วทำไมครอบครัวถึงกลับไปเป็นเหมือนเดิมไม่ได้ ทำไมถึงยังต้องมีการตกลงกันในเรื่องอื่นๆ?) เอางี้นะครับ เรื่องมือที่สามไม่เกี่ยวข้อง แต่เรื่องของคนสองคน ทำไมคนเป็นแฟนเขาถึงเลิกกันทั้งๆ ที่เขาก็ไม่มีอุปสรรคเพราะอะไรล่ะครับ มันก็ต้องมีหลายเหตุผล มันเป็นเรื่องของคนสองคนมากเลย”
“ผมไม่รู้จะพูดยังไง ยิ่งผมพูดไปวันนี้ผมพูดอย่างนี้ แล้วคำพูดอันนี้ก็จะกลายเป็นประเด็นในสังคม อีกทั้งในโลกอินเตอร์เน็ต ใช้คำว่าผมอ่านแล้วผมรู้สึกจริง ผมรู้สึกนะ แต่ผมพยายามไม่คิดมาก คืออ่านแล้วก็ตายไปเลย เจอคำสิ่งที่ด่าทอเยอะมาก ผมอาจจะไม่ใช่คนดีอย่างที่คุณคิด ที่คุณกำลังด่าผมกันมาก..(ลากเสียงยาว) แต่ผมก็ไม่ใช่คนเลว ผมรับผิดชอบครอบครัว ผมดูแลตุ๊ก ให้เงินเดือน ดูแลอย่างดีทุกอย่าง ดูแลมากกว่าที่ผมดูแลตัวผมเองอยู่แล้วครับ”
ถึงกับน้ำตาแตกเมื่อถามว่าสภาพจิตใจตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง
“สภาพจิตใจ ไม่ดีเลยครับ เพราะเจอมาเยอะ ผมเองก็เป็นมนุษย์ที่มีหัวจิตหัวใจ ผมรักลูกของผมนะครับ(น้ำตาคลอเสียงสั่นเครือพร้อมกับหยิบกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา) พอผมพูดถึงเรื่องของลูก... ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของครอบครัวดีกว่านะครับ เราต้องตัดสินใจอยู่บนพื้นฐานที่ดีที่สุดสำหรับลูกอยู่แล้ว (หรือว่าเพิ่งจะค้นพบว่ามีบางอย่างที่เข้ากันไม่ได้?) ไม่ใช่เพิ่งจะค้นพบหรอกครับ เราคุยกันมาตลอดเวลาที่เราคบกัน อยากให้มันดีขึ้น ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่บางอย่างที่เราอยู่ด้วยกัน...ตลอดเวลาที่เราอยู่ด้วยกัน มันก็มีเรื่องที่ตุ๊กไม่ชอบผม ผมไม่ชอบตุ๊กใช่มั้ยครับ เพียงแต่ว่าที่ผ่านมาผมเคยยอมมาตลอด แล้ววันนึงที่ผมไม่ยอมขึ้นมา มันก็เท่านั่นเอง เขาก็ช็อคหรืออะไรก็ว่ากันไป มันเป็นเรื่องของความสัมพันธ์จริงๆ ครับ ไม่เกี่ยวกับเรื่องอะไรเลย”
“ไม่คิดว่าจะร้องไห้...แต่ว่ามัน... ทุกคนอยากให้แฮปปี้เอนดิ้งอยู่แล้วครับ เพราะอะไรคนสองคนถึงไม่ยอมกัน ผมไม่พูดดีกว่านะครับ ผมไม่ได้บอกว่าตุ๊กไม่ดี ตุ๊กเป็นผู้หญิงที่ดีมาก..(ลากเสียงยาว) เป็นผู้หญิงที่ทุ่มเทเสียสละเพื่อลูกมากๆ ยอมทิ้งอาชีพหน้าที่การงาน แต่ในมุมกลับกัน ผมเองก็ดูแลครอบครัวอย่างดีมากพอสมควรนะครับ พ่อแม่ตุ๊กกับพ่อแม่ผม สุดท้ายไม่ว่าจะยังไงเราก็ยังเป็นเด็กสำหรับพ่อแม่เราอยู่แล้วครับ เราก็พูดคุยกันทั้งพ่อแม่ตุ๊ก พ่อแม่ผมเขาก็ปล่อยให้เป็นการตัดสินใจของทางตุ๊กและผมจะดีกว่า”
ตั้งแต่มีปัญหากันสาว “ตุ๊ก” กลับมารับงานมากขึ้น จนหลายคนมองว่าเพราะเตรียมตัวเพื่อจะเป็นซิงเกิ้ลมัม กับเรื่องนี้ “บ๊วย” แจงว่า
"เวลาเกิดเรื่องอะไรที่จะมีการเปลี่ยนแปลงมันก็ต้องมีบ้าง แต่ผมเชื่อว่ามันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีขึ้นครับ เรื่องที่ตุ๊กกลับมารับงานก็ได้คุยครับ ในเมื่อเขาเกิดความไม่มั่นคง ก็เป็นธรรมดาที่มีระบบป้องกันตัวของมนุษย์อยู่แล้วครับ (ตุ๊กบอกว่าก็มีบางส่วนที่เขาต้องดูแลตัวเอง?) ผมมีหนี้สินเยอะนะครับ ฉะนั้นในการทำงาน ผมยังต้องดูแลรับผิดชอบ อย่างน้อยที่สุด ผมพูดได้เลยว่าผมดูแลตุ๊กและลูกอย่างดี ที่ผ่านมาเจอเรื่องน้ำท่วม มันชัดเจนมากจากรายจ่ายเท่าเดิม แต่รายรับน้อยลงมาก ทุกคนกระทบหมด ฉะนั้นมันเป็นเรื่องช่วงน้ำท่วมด้วย”
“แต่ช่วยของคุณตุ๊กคือช่วยดูแลเวลาซื้อโน่นนี่ ผมก็อาจจะดูแลไม่ดีเท่าที่ควร แต่ค่าใช้จ่ายอย่างค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ เงินเดือนพ่อแม่ ค่าทุกอย่าง ผมดูแลทั้งหมด ค่าอย่างอื่นให้คุณตุ๊กดูแลเท่านั้นเองครับ เพียงช่วงน้ำท่วมมันลำบากหมด ผมก็ให้ตุ๊กและลูกมากกว่าที่ให้ผมอยู่แล้ว”
“ชีวิตคนเรามันไม่มีทางเป็นเรื่องเวลาได้หรอกครับ ผมเชื่อว่าทุกคนก็อยากเห็นทั้งรอยยิ้มของผมกับตุ๊กและลูกนะครับ คนก็อาจจะอยากเห็นตุ๊กยิ้มมากกว่าผมอยู่แล้วก็ได้ แต่คนเป็นพ่อเป็นแม่อยากเห็นลูกมีรอยยิ้มมากที่สุดครับ ผมอยากให้กลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่แล้วครับ อยู่ในช่วงที่เราคุยกันอยู่ครับ คือเวลาเราเดินไปแล้วนะครับ มันเป็นสิ่งที่เรากระทำกันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นผมทำหรือตุ๊กทำ มันเป็นช่วงว่าผลการกระทำว่าเป็นอย่างไรมากกว่า เราก็คุยกันอยู่ว่าทำยังไงให้มันดีที่สุดครับ”
“สำหรับกำลังใจที่เอาใจช่วยเรา ผมก็ขอบคุณมากครับที่เป็นกำลังใจให้ แล้วก็ขอบคุณมากครับที่ด่าผม ทำให้ผมรู้ว่าผมไม่ใช่คนดีอย่างที่ผมคิดจริงๆ นะครับ แต่ผมก็เป็นลูกผู้ชายคนนึงที่มีความรับผิดชอบ แล้วผมรับผิดชอบมากกว่าที่หลายคนคิด อาจจะเกินจินตนาการก็ได้ครับ”