xs
xsm
sm
md
lg

มองน้ำท่วมผ่านสายตา “เจ” ถ้าเป็นผมจะไม่กั้นบิ๊กแบ็ก กับปริศนาปักธงแดงได้ของมากกว่าจริงหรือ ?

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ขอบคุณภาพจากทวิตเตอร์เจ เจตริน
“เจ เจตริน” ผ่าวิกฤตน้ำท่วม เผย ถ้าเป็นหน่วยงานรัฐจะไม่กั้นบิ๊กแบ็ก เพราะรู้ชาวบ้านรอบนอกเดือดร้อน ในขณะที่เด็กในเมืองวิ่งแต๊ดแต๋สบายใจ บอกควรแก้ไขโดยการช่วยชีวิตคนก่อนไปปกป้องสิ่งของ พร้อมเล่าประสบการณ์ขณะลงพื้นที่เสี่ยงไฟดูด-จระเข้ แต่ยังไม่น่ากลัวเท่าเจอพวกคลั่งลัทธิการเมือง ปักธงแดงได้ของบริจาคเยอะกว่า ปาของใส่ทหาร

น้ำท่วมในปีนี้ ถึงแม้จะสร้างความเสียหายให้กับบ้านเมืองมหาศาล แต่ในอีกมุมหนึ่งก็ได้เห็นธาตุแท้ของนักการเมืองบางกลุ่ม และบางคน ที่อาศัยช่วงวิกฤตกอบโกยผลประโยชน์เข้าใส่ตัว บ้างก็ทุจริตถุงยังชีพ บ้างก็หน้าด้านเอาของที่ประชาชนบริจาคแปะชื่อตัวเอง หรือไม่ก็ขนขึ้นรถที่ติดภาพตัวเองหรา และอีกสารพัดความน่ารังเกียจที่หางโผล่ออกมาในช่วงที่คนไทยกำลังเจ็บปวดแสนสาหัส

แต่ในวงการบันเทิงเรากลับได้เห็นความตื่นตัวของดารา ไม่ว่าจะเป็นการกล้าแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์เหตุการณ์ครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา หรือการลงทุนลงแรงเป็นอาสา แต่ที่โดดเด่นและเป็นที่กล่าวขวัญมากที่สุดเห็นจะเป็น “เจ เจตริน วรรธนะสิน” นักร้องชื่อดัง ที่ก่อตั้งกลุ่ม FLOOD FIGHT ขึ้นมาช่วยเหลือผู้ประสบภัยและลงพื้นที่แทบจะทุกวันชนิด ส.ส.ในพื้นที่อาจต้องอายเลยทีเดียว

แม้แต่ ศปภ.ก็อาจต้องหน้าม้านไม่แพ้กัน เมื่ออ่านบทสัมภาษณ์ของเจที่มีวิธีคิดและการช่วยเหลือชาวบ้านที่ไม่ซับซ้อน พร้อมกันนี้ เจยังได้เปิดเผยถึงข้อมูลขณะไปลงพื้นที่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเหตุการณ์ต่างๆ ขณะไปทำงาน หรือว่าข่าวลือที่ว่า “ปักธงแดงได้ของบริจาคเยอะกว่า” และ “ทหารผู้เสียสละโดนปาข้าวของใส่” ไปฟังเรื่องจริงจากอาสาหน้าหล่อที่ช่วยเหลือชาวบ้านโดยไม่หวังคะแนนเสียงกัน

“ผมเริ่มออกไปช่วยตั้งแต่ปีที่แล้วตอนนั้นน้ำท่วมที่หาดใหญ่ เรานั่งดูข่าวในทีวีแล้วก็แบบ เฮ้ย...ตรงนี้เราเคยไป เฮ้ยตลาดนี้เราเคยเดินเล่น โรงแรมนี้เราเคยอยู่ เฮ้ย..มันท่วมขนาดนี้เลยเหรอ มันเลยหัวเลยเหรอ มันหนักนะเนี่ยทำยังไงดี อีกวันผมก็หิ้วเป้ลงไปกับเพื่อนเลย แล้วก็โทร.หาเพื่อนที่สุราษฎร์ธานี ซึ่งเป็นทีมเจ็ตสกี เฮ้ย...นายเอาเจ็ตสกีลงมาช่วยหน่อย พอไปถึงสนามบินหาดใหญ่ ก็เดินวนอยู่เป็นชั่วโมง ไม่รู้จะไปยังไง โทรศัพท์ก็ใช้ไม่ได้ ก็เลยเดินไปที่ทหารอากาศ ก็เจอรถจีเอ็มซีขึ้นไปก็เจอจิตอาสาเพียบ เจอ กาละแมร์ (พัชรศรี เบญจมาศ)เอาของมาบริจาค ก็เลยเริ่มต้นการช่วยเหลือตั้งแต่ตอนนั้น”

“สิ่งที่เราไปเห็น คือ คนเหมือนซอมบี้เดินลุยน้ำระดับอกออกมา ตั้งแต่นั้นมามันก็หยุดไม่ได้เพราะเรารู้ว่าหลายๆ คน กำลังรอความช่วยเหลือ พออยุธยา บางปะหัน ชัยนาท และ สิงห์บุรีท่วมผมก็ไปลงพื้นที่อีก ไปลำเลียงถุงยังชีพ และก็เข้าไปช่วยเหลือผู้ที่ยังติดค้างอยู่ในบริเวณที่เป็นเขตน้ำท่วม”

“ภาพที่เห็นในทีวีกับภาพที่เราเห็นจริงๆ มันไม่เหมือนกัน มันเลวร้ายกว่าเป็นร้อยเท่า เพราะดูในทีวีก็จะเห็นว่าน้ำสูงนะ แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าร้อนหรือเปียกเหม็นเน่า แต่พอเรายืนอยู่ตรงนั้นปุ๊บ เราจะตั้งคำถามแล้วว่า เฮ้ย...พี่จะอยู่ยังไงวะเนี่ย เฮ้ย...พอพระอาทิตย์ตกมืดๆ จะทำไงวะเนี่ย เฮ้ย...ถ้างูมาจะทำไงวะ แล้วโจรมาทำไง”

“แต่ถ้าดูในทีวีก็จะแบบโอเคน้ำท่วม โจรขึ้นก็อืม...ทำไมไม่ระวังมันล่ะ แต่ลองคิดดูดิว่า ถ้าคุณตื่นนอนมาคุณกินมาม่า อาหารเที่ยงมาม่า ตกเย็นมาคุณกินปลากระป๋อง ตื่นเช้ามาคุณกินมาม่า อีกมื้อนึงปลากระป๋อง กับมาม่า ตกเย็นมาม่า กับปลากระป๋อง คุณวนแค่ 2 วันคุณก็ตายแล้ว แต่เขากินวนอยู่เป็นเดือน”

“พอมาปีนี้เป็นปีที่เราทำงานหนักเต็ม ที่เรียกว่า หนักกว่าปีที่แล้ว เพราะตอนที่หาดใหญ่เรายังไม่มีประสบการณ์ช่วยเหลือมาก และมันก็อยู่ไกลพอสมควร ก็เลยช่วยไม่ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยซักเท่าไหร่ แต่ปีนี้มันมาท่วมที่กรุงเทพฯ และ พุทธมณฑล มันเกิดใกล้บ้านเราเลยหลังซอย เพราะฉะนั้นเราก็ช่วยอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นเขตไหนที่เราสามารถไปได้ พุทธมณฑล, นนทบุรี, สายไหม, คลองสามวา, พหลโยธิน, คปอ., ปทุมธานี, นครนายก, รังสิต, คู้บอน, รามอินทรา, ดอนเมืองฯลฯ เราลุยให้หมดเลย และก็ก่อตั้งเป็นกลุ่ม FLOOD FIGHT ขึ้นมา”

“เราก่อตั้งขึ้นมาเพื่อให้เป็นองค์กรในการประสานงานติดต่อขอความช่วยเหลือได้ง่ายขึ้น ใครอยากจะช่วย FLOOD FIGHT ใครอยากจะร่วมมือ ใครอยากจะบริจาคของ ใครอยากจะมีจิตอาสานำน้ำมาบริจาค หรือใครอยากจะให้เราช่วยทางด้านไหน ก็ติดต่อเข้ามาหาเรา โดยที่เราได้เซ็ตเบอร์ขึ้นเบอร์หนึ่งเลย และใช้ทวิตเตอร์ในการสื่อสารกัน เรียกว่า ปีนี้ทำฟูลสเกลเลย”

“แต่ผมไม่อยากจะไปเปิดบัญชีเรี่ยไรเงิน เพราะทำไม่เป็น ผมไม่ทำระบบนั้น เพราะเงินแบบนั้นมันจะต้องมีขั้นตอน การทำงานมันก็ต้องมาช้าอีก เหนื่อยอีกกว่าจะไปขั้นตอนนั้นขั้นตอนนี้ เราไม่ใช่มูลนิธิที่จดทะเบียน เป็นแค่กลุ่มของผมที่ทำขึ้นมา เพราะฉะนั้นผมก็เลยลงทุนผลิตเสื้อยืด FLOOD FIGHT ขึ้นมา ต้นทุนก็หลายแสน และก็ไปขายที่ลานพารากอน ก็ขายได้เยอะพอสมควร คนก็มาซื้อย่างเต็มใจ และเราก็บอกว่าเงินนี้เราขอใช้ในการบำรุงภารกิจของทีมและนำไปซื้อสิ่งของที่จะบริจาค”

“พอเราเริ่มมีเงินเข้ามาช่วย ก็ทำให้เราสามารถซื้อเรือยาง 4.2 เมตร ซื้อเครื่อง 25 แรงสามารถเติมน้ำมันออกได้ทุกวัน สามารถเติมรถกระบะที่จะต้องลงพื้นที เติมรถบรรทุกที่จะต้องลงพื้นที่ จ้างสตาฟฟ์ที่จะต้องมาดูแล ตั้งแต่รถ ตั้งแต่เรือ ตั้งแต่เครื่อง ในช่วงวีกแรกเราก็สามารถที่จะเรี่ยไร และผสมกับเงินตัวเองซื้อเจ็ตสกีเพิ่มอีกหนึ่งลำ และเจ็ตลำนี้ก็จะเก็บบูชาไว้สำหรับน้ำท่วม พอน้ำท่วมเมื่อไหร่ลำนี้ก็จะออกทันที”

“สำหรับการช่วยเหลือในวีกแรกของน้ำท่วม ผมจะวางเอาไว้ คือ ช่วยคนแก่ คนป่วย เด็ก และคนพิการ ออกมาก่อน ซึ่งเราก็สามารถช่วยได้ออกมาหลายๆ สิบชีวิตเลยมากมายจริงๆ พอวีกถัดไปก็เป็นเรื่องราวของการช่วยทยอยคนที่ยังติดค้างออกมา และอีกวีกก็เป็นเรื่องของการนำเรือไปผสมกับทีมอาสาอื่น เอาเงินที่ได้จากการขายเสื้อไปผลิตถุงยังชีพ รับบริจาคน้ำ ซื้อยาเข้าไปแจกหลายๆ ที่ ไปถามคนแถวสายไหมจะเห็นผมบ่อยมาก และก็แถวลำลูกกา คลองสามวา ทวีวัฒนา ฯลฯ เราก็เอาของไปบริจาค”

“ถุงยังชีพเป็นสิ่งสำคัญ ผมจะสกรีนทุกถุง ถ้าใครเอามาบริจาคผมจะเปิดดูทุกถุง ถ้าเอาประเภทอาหารกรุบกรอบ ผมโยนทิ้งไม่เอาเปลืองเสียเวลาเสียพื้นที่เรือผม ถุงยังชีพของผมเปิดมาจะต้องมีข้าวสาร ปลากระป๋องเยอะๆ ต้องมีมาม่า มีหมูหยอง นมเด็ก คือ พูดง่ายๆ ถุงหนึ่งของผมไม่แพ้ถุงช่อง 3 เอาเต็มน่ะต้องมีเต็ม ข้าวสารนี่ต้อง 3 กิโลขึ้นไปต้องให้เขาอยู่ได้ซักหนึ่งอาทิตย์”

“หลังจากนั้น พอน้ำมันเริ่มลง FLOOD FIGHT ก็จะไปซื้อไม้กวาดมาหลายพันชุด ซึ่งผมไปเหมาจากชาวบ้านต่างจังหวัด เป็นการกระจายรายได้อย่างหนึ่ง และก็ซื้อน้ำยาทำความสะอาด รวมเป็นเงินหลักแสนน่ะ ก็เป็นเงินที่เราได้จากการขายเสื้อด้วยเงินส่วนตัวด้วย เงินที่คนอื่นช่วยด้วย และเงินจากหลายองค์กรที่ช่วยเรามา ที่คุยอยู่นี่ก็ยังแจกอยู่ที่หน้าแฟชั่นไอส์แลนด์ ไม่ได้มีการติดหน้าผม มีแต่เขียนว่า FLOOD FIGHT และก็ใช้สื่อมวลชนในการกระจายข่าวเพื่อให้ชาวบ้านมารับ ตอนนี้ก็มีคนมารับแล้ว 600-700 ชุด ยังเหลืออีกเยอะมาเลย เอาแค่รูปถ่ายบ้านน้ำท่วมเอกสารชุดเดียวกับที่รับ 5,000 บาท รัฐบาลนั่นแหละ
ขณะขับเจ็ตสกี

ขับเจ็ตสกีลากเรือช่วยเหลือผู้ประสบภัย
“สาเหตุที่เลือกแจกที่แฟชั่นไอส์แลนด์ เพราะคิดว่าที่นั่นเป็นศูนย์รวมของคน กทม.ฝั่งตะวันออก จากนั้นก็จะเอาไปแจกฝั่งตะวันตกอีก ตอนนี้ผมกำลังดำเนินเรื่องขอพื้นที่บิ๊กซี บางใหญ่เพราะเคยเป็นพรีเซ็นเตอร์บิ๊กซี ก็คิดว่า น่าจะได้ตอนนี้กำลังเตรียมคนไปนั่งเฝ้าวันละ 350 สองคน ตอนนี้ก็สั่งไม้กวาดเข้ามาเพิ่มอีก 2,000 กว่าชุด ชาวบ้านคงนั่งทำไม้กวาดกันมือเจ็บแล้ว (ยิ้ม) และก็สั่งน้ำยาเพิ่มขึ้นอีก ซึ่งมันก็เป็นไปตามที่เราเคยสัญญาไว้ว่า ฉันจะช่วยทั้งฝั่งตะวันตก และตะวันออก”

“หลังจากนี้ ผมก็ไปร่วมกับโครงการพาวเวอร์ออฟไทย เป็นของไทยเบฟ ร่วมกับ 12 องค์กร ผมก็เป็นหนึ่งในพรีเซ็นเตอร์ ก็รู้สึกว่า เราได้ช่วยทั้งทางตรงของเรา และทางอ้อม ร่วมกับทางองค์กร คือ เรื่องช่วยน้ำท่วมผมช่วยทุกรูปแบบ”

ถ้าผมเป็นหน่วยงานรัฐ จะช่วยชีวิตคนก่อน ป้องกันสิ่งของ และจะไม่กั้นบิ๊กแบ็ก
“การทำงานของ FLOOD FIGHT ค่อนข้างมีระบบ เราวางแผนจากประสบการณ์ปีที่แล้วที่ไปช่วยใต้ ผมไม่รู้ว่าระบบของผมจะไปเทียบกับระบบของบ้านเมืองยังไง แต่ความตั้งใจความหมายของผม คือ 1.เราจะต้องช่วยเหลือสิ่งมีชีวิตก่อน เราจะต้องช่วยเหลือคนก่อนที่เราจะป้องกันของ เราต้องเอาคนออกมาก่อน”

“ถ้าผมเป็นหน่วยงานรัฐในมุมของผม ผมจะเอาชีวิตเป็นที่หนึ่งก่อน และผมจะไม่กั้นบิ๊กแบ็กไม่กั้นอะไร ผมจะช่วยชีวิตของคนก่อน คนที่อยู่หลังบิ๊กแบ็กเขาลำบากมาก คุณควรที่จะช่วยชีวิตคนก่อนมาป้องกันไอ้สิ่งของอะไรต่างๆ (สิ่งของหมายถึงป้องกันเมือง) ผมไม่สน...ผมว่าคนสำคัญที่สุด (แต่ป้องกันเมือง ก็คือ การป้องกันเศรษฐกิจ) เศรษฐกิจเราสามารถป้องกันตรงอื่นได้ แต่ถ้าคนตาย เศรษฐกิจมันก็ไปไม่ได้เหมือนกัน”

“ถ้าเหตุการณ์นี้มันเกิดขึ้นที่อเมริกา เขาจะดูแลคนก่อน อย่างตอนที่น้ำท่วมนิวออร์ลีนส์ไม่เห็นเขาจะมาป้องกันอำเภอ ป้องกันอะไรเขาเลย เขาเอาคนไปรวมที่สนามกีฬาใหญ่ก่อน เขาดูแลชีวิตก่อน นี่คือ หลักของมนุษยธรรม เพราะฉะนั้นถ้าเป็นผม ผมวางแผน 1.คนแก่ คนป่วย คนพิการ เด็ก หรือที่เคลื่อนย้ายเองไม่ได้เราช่วยเขาไว้ก่อน ช่วยเท่าที่เราะทำได้ คอนเซ็ปต์ของผมในการช่วยเหลือ ก็คือ ผมรับคนออกอย่างเดียว ไม่รับคนเข้า”

“ตอนที่ผมเข้าไปบางบัวทองก็มีคนแบบพี่ขอติดเข้าตรงนั้นแต่ผมไม่รับ เรือผมปล่อยโล่งเข้าไปผมจะรับออกอย่างเดียว คอนเซ็ปต์ของผมคือจะต้องช่วยชีวิตคนต้องเอาคนออกมา คุณจะเข้าไปทำไม (เข้าไปดูบ้าน) ผมอยากจะแนะนำว่าช่วง 7 วันแรกผมไม่แนะนำไม่ให้เข้าเลยให้ออกหมด”

“หมู่บ้านชลดา ซึ่งใหญ่มาก วันนั้นผมไปช่วยกับคุณดุ๋ง (พาที สารสิน) ผมช่วยออกมา 70 กว่าคน ผมก็ขับเจ็ตสกีเข้าไปนำล่องจดเลยซอยไหนจะมีคนออกกี่คน ทุกอย่างจะต้องมีแผนและก็เอาเรือเข้าไปรับ แต่เราเองก็ต้องระวังตัวด้วยเพราะเจ็ตสกีก็คว่ำไปหลายที กระแสน้ำบางทีมันแรงรั้วของหมู่บ้านบางหมู่บ้านมันเป็นทางน้ำเข้า รั้วหมู่บ้านบางหมู่บ้านทางด้านหลังเป็นทางน้ำออก เจ็ตอาจจะโดนดูดก็ได้ทุกอย่างก็ต้องระวังหมด และผมก็ต้องทำให้เป็นทั้งเจ็ตทั้งเรือยางขับมอเตอร์ก็ต้องเป็นหมดทำทุกอย่าง”

“ทุกอย่างเวลาที่ผมเข้าไปช่วยเหลือจะมีการวางแผนหมด แต่เป็นการคิดง่ายๆ ไม่มีอะไรซ้ำซ้อน คิดง่ายๆ ว่า ช่วยคนก่อนของเดี๋ยวว่ากัน เศรษฐกิจพังไม่พังอันนั้นเป็นเรื่องที่เราจะต้องไปวางแผนกัน สนามบิน โรงพยาบาล นิคมอุตสาหกรรม อันนั้นมันควรต้องกันแน่ แต่ไอ้บ้านคนหรืออะไรเฉลี่ยหรือใส่เข้ามาเหอะ กทม.เนี่ยผมมองว่าระบบดูดน้ำดีที่สุดในจักรวาลแล้วล่ะ เดี๋ยวก็ดูดออกปล่อยน้ำเข้ามาเหอะ ถ้าท่วมมันก็ไม่นานหรอก แหม...คุณหญิงคุณนายไฮโซทั้งหลายจะยอมให้น้ำท่วมบ้านตัวเองนานขนาดไหนเดี๋ยวก็ดูดกัน”

“ถ้าปล่อยน้ำเข้ามาระดับน้ำที่อยู่หลังบิ๊กแบ็กอาจจะไม่สูงมาก ชาวบ้านก็จะไม่เดือดร้อน คือ ถ้าผมไม่ได้ไปลงพื้นที่ปริมณฑลฝั่งตะวันออก หรือฝั่งตะวันตก ผมจะไม่รู้เหมือนกันว่าความรู้สึกของเขาเป็นยังไง ก็ช่างมันฉันอยู่ในเมืองสบายไม่ท่วม ไอ้เด็กตามเมืองก็ตะแร๊ดแต๊ดแต๋วิ่งไปวิ่งมามีความสุข แต่เขาไม่รู้ข้างนอกมันเดือดร้อนจริงๆ”

“แต่ในเมื่อมันผ่านมาตรงนี้แล้วก็โอเค้ (ลากเสียงปนถอนหายใจ) ในเมื่อปล่อยให้วิกฤตมันเป็นแบบนี้ไปแล้ว มันก็ผ่านไปด้วยธรรมชาติน้ำมันก็ค่อยๆ ระเหยแห้งกันไปค่อยๆ ทยอยออกไปตามริมนอก คนที่ยังทนอยู่ก็ยังต้องทนกันไป อย่างล่าสุด นนทบุรี อำเภอท่าอิฐ น้ำท่วมตั้งแต่ต้นตุลาคม นี่ก็ 2 เดือนเข้าไปแล้วก็ยังท่วมอยู่เยอะ ไร่นาสวนก็ท่วมหมด ที่ข่าวบอกว่าไม่ท่วมแล้ว บางทีเราก็ต้องใช้วิจารณญาณในการรับสื่อ”

“เรื่องการบิ๊กคลีนนิ่งก็เหมือนกัน อาจจะทำให้คนที่ยังท่วมอยู่รู้สึกบ้าง แต่ยังไงก็ต้องคลีนนิ่งยังไงก็ต้องทำความสะอาด แต่ว่าส่วนจะทำให้ออกมาได้ภาพเล็กภาพใหญ่ก็แล้วแต่ แต่ถ้าคลีนนิ่งกันจริงๆ ไม่ต้องมาทำอะไรกันมากมาย เพราะมันอาจจะทำให้คนมีความรู้สึกขุ่นข้องหมองใจยิ่งทำให้คนไทยทะเลาะกันเยอะ ไม่ว่าจะเป็นฝายน้ำด้านโน้นฝายน้ำด้านนี้ คนฝั่งนั้นคนฝั่งนี้ก็จะทะเลาะกันเยอะ เห็นแล้วก็รู้สึกไม่สบายใจความแตกแยกของเมืองเรามันก็มีอยู่แล้ว และนี่ยังจะมาแบ่งแยกคนชั้นนอกชั้นในอีก ผมก็ไม่ค่อยสบายใจ”

ที่สุดของชีวิตช่วยชีวิตคุณยาย
“ในการลงพื้นที่แต่ละครั้งเราก็จะเจอเรื่องราวต่างๆ แต่ที่ทำให้ผมอึ้งมากที่สุดคงจะเป็นตอนที่ลงพื้นที่ลำลูกกา วันนั้นตั้งเป้ากันไว้ว่าจะไปคลอง 2 แต่พอมาถึงคลอง 3 ก็มีเรือหางยาวลำหนึ่งไม่ได้ติดเครื่อง มีคุณยายคนหนึ่งอายุประมาณ 70 หรือ 80 ซะด้วยซ้ำแก่แล้วผมขาวนุ่งโจงกระเบนลอยน้ำมามีลูกสาวจับเรือไว้ และก็มีแพทย์สนามจากอาสาไหนไม่รู้กำลังตรวจ และก็เรียกรถเรียกเรือคันไหนก็ไม่มีใครจอด เพราะทุกคนก็มีเป้าหมายที่จะต้องไปทำ เนื่องจากอาสาทุกคต้องมีการช่วยเหลือจะต้องเป้าหมายชัดเจนถ้าแวะข้างทางมันจะไม่ถึงที่หมายที่วางไว้”

“วันนั้นหมายของผมคือลำลูกกาซึ่งอยู่ลึกมาก แต่พอเจอคุณยายลอยน้ำอยู่ผมนั่งอยู่บนหลังคารถผ่านไปได้ประมาณเมตรหรือสองเมตรหันกลับไปมองแล้วแบบต้องตบรถให้จอด วันนี้ต้องขอแหกหมายซะหน่อย ขอหยุดหมายที่กำลังจะไปขอรับยายขึ้นมาก่อน ก็อุ้มคุณยายสภาพคือ คุณยายแน่นหน้าอกจะตายแล้วหายใจไม่ออกช็อกแล้ว ก็เอาขึ้นมาบนรถบนรถเรามีเรือจอดอยู่ลำหนึ่งเพื่อจะไปใช้ในภารกิจแต่ว่าต้องสละเรือลำนั้นให้ชาวบ้านพี่เอาไปเลย เพราะเราต้องการแค่พื้นที่เรือ”

“ก็พาคุณยายไปส่งที่โรงพยาบาล แต่กว่าจะไปถึงก็ใช้เวลาเป็นชั่วโมง เพราะการเดินทางขณะน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นเรือ หรือรถมันนานเหลือเกิน และก็มีอีกเคสหนึ่งที่เข้าไปช่วยคนตอน 3 ทุ่มต้องขับเจ็ตสกีเข้าไปช่วยคนที่อยู่ลึกเข้าไป 2-3 กิโล คิดดูสิ 2-3 กิโลน้ำมันไกลนะ เจ็ตสกีก็วิ่งเร็วมากไม่ได้ เพราะน้ำมันจะไปกระแทกบ้านชาวบ้าน ผมจะคำนวณตลอด แต่วันนั้นแอบวิ่งเร็วนิดนึง พออีกวันไปลงพื้นที่ที่นั่นอีกชาวบ้านก็ตะโกนถามเลย เมื่อคืนที่วิ่งเร็วๆ นี่ใช่พี่เจหรือเปล่า (หัวเราะ) ผมก็เออ...ผมเองแหละ โทษทีนะพอดีมีคนเป็นโรคไตไม่ได้ฟอกไตมาแล้ว 4 วัน โทรศัพท์แบตก็เหลือน้อยแล้วติดต่อประสานงานมาหลายหน่วยอาสาจนกระทั่งมาถึงผม และผมก็ต้องเข้าวันนั้น 3 ทุ่ม”

ปิ่น เก็จมณี ภรรยา เจ เจตริน กับลูกๆ เอาของบริจาคซอยคู้บอน

“เข้าไปมืดๆ มันน่ากลัวมาก บรรยากาศเหมือนลัดดาแลนด์ แต่เราก็ต้องเข้าไป ก็ไปรับเขาออกมา เพื่อส่งต่อให้ทีมอาสาอีกทีมหนึ่งเพื่อส่งโรงพยาบาล อันนั้นค่อนข้างอึ้ง เพราะเขาใกล้ตายแล้ว ค่อนข้างห่อเหี่ยวเขาอยู่คนเดียว”

ไม่หวั่นอันตราย ภรรยาบอกถ้าตายในหน้าที่ก็เท่ดีออก
“จระเข้นี่เป็นสิ่งที่คนลงน้ำจะกลัว มีอยู่วันหนึ่งผมพาลูกกับภรรยาไปลงพื้นที่ด้วย เป็นเคสที่นั่งเรือไปให้ของชาวบ้าน แถวคู้บอน รามอินทรา ก็ผ่านอยู่จุดหนึ่งมันมีจอกแหนเยอะ ผมยังพูดกับลูกกับภรรยาว่า ไอ้อย่างนี้จระเข้ชอบอยู่ พอหลังจากนั้น เปิดข่าวดูทีวีช่อง 3 ลงไปทำข่าวชาวบ้านเจอจระเข้ ยิงไปนัดนึงมันหนีไปได้ตรงที่ผมพูดเลย วันนั้นผมจำได้ว่าวันที่เราผ่านมันยังมีไก่ขันอยู่เต็มเล้าเลยนะ แต่อีกวันไปไม่เหลือไก่แล้ว”

“การที่เราออกมาแบบนี้ได้ก็เป็นเพราะครอบครัวด้วย ครอบครัวสนับสนุนครับ ปิ่น(เก็จมณี วรรธนะสิน) เขาสนับสนุน เราก็คุยเล่นกันตามประสาสามีภรรยา ปิ่นเกิดฉันตายโดนไฟดูด โดนไอ้เข้กัด โดนโจรปล้นทำไงวะ เขาก็พูดติดตลกดีดิ เธอตายในหน้าที่เท่จะตาย เราก็เออ...ขอบใจ” (หัวเราะ)

“คือ ปิ่นเขาสนับสนุนในการช่วยคนอื่น เพราะปิ่นเขาจะรู้ว่าผมเป็นคนที่เต็มที่ แต่ผมเป็นคนที่เซฟตี้เฟิร์สมาก ก่อนจะลงน้ำแต่ละบ้านกว่าจะลงได้นี่ทั้งหลังมือแตะเหล็ก ทั้งเครื่องวัดไฟดูดครบชุด เอาเท้าเขี่ยๆ ดูก่อน ตะโกนเลยตัดไฟหรือยังครับ ไม่ตัดไม่เข้าครับ ทุกอย่างเราก็ต้องชัดเจน เพราะถ้าเราช่วยตัวเองไม่ได้เราก็ช่วยคนอื่นไม่ได้เหมือนกัน”

ปักธงแดงได้ของเยอะกว่า
“แต่บางอย่างก็อันตรายไม่ใช่สัตว์ร้าย หรือไฟดูด ไม่ว่าจะเป็นโจร หรือพวกที่บ้าลัทธิทางการเมืองมีเยอะแยะ ปักธงแดงหน้าบ้านจะได้รับของมากกว่าปกติ (น้ำท่วมนี่ยังแบ่งสีอีกเหรอ) มันก็มีครบแหละครับ (นี่เขาฟ้องเจหรือว่าไง) ไม่หรอก....(หัวเราะ) มันมีหลากหลาย เพราะเราไปทุกหน่วยงาน กับทหารเราก็ไป บางคนก็โกรธทหารบ้างอะไร เราก็...พี่เวลานี้มันมาโกรธกันไม่ได้แล้ว เขาก็ระบายให้เราฟังบ้าง ปาของใส่บ้าง(ปาใส่เจเนี่ยนะ) ปาใส่ถ้าเรือหรือรถทหารวิ่งเร็ว อันนี้ก็เข้าใจนะอารมณ์ของคนที่เดือดร้อนคนที่ไม่เข้าใจอะไรง่ายๆ แต่เราไม่ถือสาเพราะเราไปช่วยไม่ได้ไปมีเรื่อง”

น้ำท่วมครั้งนี้เราได้เห็นภาพดาราหลายๆ คนลงพื้นที่ช่วยเหลือประชาชนผ่านสื่อมวลชน ถือว่าเป็นการโปรโมตการทำเรื่องดีๆ เป็นเรื่องที่สื่อมวลชนควรสนับสนุน แต่เป็นที่สังเกตว่าการลงพื้นที่ของ “เจ เจตริน” จะไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าวผ่านหน้าจอซักเท่าไหร่ แต่ถ้าใครตามทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กของเจจะรู้ความเคลื่อนไหวเหล่านี้ดี เรื่องนี้เจบอกว่า เป็นความตั้งใจที่ไม่อยากให้สื่อมวลชนตามไปทำข่าว
“จริงๆ แล้วมีสื่อหลายสื่อที่ขอตามลงพื้นที่ แต่ผมบอกว่าถ้าสื่อไปก็ต้องมีช่างกล้อง 1 คน ผู้ช่วย 1 คน ผู้สื่อข่าว 1 คน ซึ่ง 3 ที่บนเรือผม 4.2 เมตรเนี่ย ทำให้ของผมใส่ของบริจาคตไม่ได้ประมาณ 30 ถุง และถ้าเป็นภารกิจที่จะต้องเอาเจ็ตสกีไปช่วยดึงเรือเพื่อเข้าไปช่วยเหลือ 3 ที่นี่มีความหมายมาก เพราะฉะนั้นก็ต้องขอโทษพี่ๆ สื่อมวลชนด้วยที่ไม่สามารถให้ไปด้วย ซึ่งทุกคนก็เข้าใจหมดไม่มีใครว่าอะไรผมเลย ทุกคนรู้ว่าผมกำลังทำอะไรอยู่”

“ถึงจะไม่มีภาพผมออกตามช่องต่างๆ ว่าผมไปที่ไหนก็ไม่เป็นไร ผมเองก็เก็บภาพโดยใช้ไอโฟนถ่ายทุกภารกิจที่ผมไปช่วยแล้วก็มาโพสต์ในทวิตเตอร์กับเฟซบุ๊ก เพื่อที่ทุกคนจะได้รู้ว่า คุณเสื้อผม FLOOD FIGHT ตัวละ 500 หรือของที่คุณเอามาวางไว้หน้าบ้านผมเพื่อบริจาค ผมเอาไปทำอะไรบ้าง ผมไปช่วยอะไรบ้าง นั่นคือสื่อของผมเว็ปไซต์ WW.JJTRIN.COM , ทวิตเตอร์ @JJETRIN , เฟซบุ๊ก JETRIN คนตามประมาณ 1.8 แสน เฟซบุ๊กอีกหลายหมื่น เว็ปไซต์อีกหลายแสน ฉะนั้นคนที่ติดตามผมและอยากจะช่วยภารกิจนี้เขาก็จะเข้ามา”

“ส่วนสื่อออกทีวีก็ไม่เป็นไร ผมไม่ได้ถือว่าใครสร้างภาพ อย่างช่อง 3 ช่อง 7 ก็ต้องมีภาพมีอะไรไป เพราะมันเป็นเรื่องที่จะต้องให้คนเห็นถึงความลำบากแล้วควักเงินมาบริจาค พอคนเห็นภาพใครที่สามารถช่วยได้เขาก็จะช่วยกัน ไม่มีใครสร้างภาพหรอกงานนี้ ผมเองก็ไม่ได้แคร์ว่าจะต้องมีสื่อตามไป กลับทำงานได้สบายใจกว่าและก็ไม่มีใครว่า”

“การที่ทำตรงนี้สิ่งที่ผมได้ ก็คือ ได้ความภูมิใจในเอง และก็ได้ความภูมใจของครอบครัว ความภูมิใจของคุณพ่อคุณแม่ และที่สำคัญคือการได้ช่วยเหลือคนให้ยังมีชีวิตอยู่มันคือความภูมิใจที่สุดแล้ว นอกจากนั้นเราก็ยังได้สอนลูกด้วย ได้เป็นตัวอย่างให้ลูกดู”

“อย่างวันที่พาลูกไปเพื่อที่จะให้เขามาลำบากให้เขาเห็นว่าคนเขาลำบากกันนะ ให้เห็นน้ำสูงน้ำเน่า ให้เห็นคนหิวข้าว เพราะก่อนหน้านี้ เขารู้ว่าแค่ว่าผมหิ้วเป้ออกไปทุกวัน พ่อไปช่วยคนๆ จนวันหนึ่งที่พาเขาไปคู้บอนเพราะเห็นว่ามันใกล้บ้าน เขาก็บ่นอยากไปครับอยากไปเมื่อไหร่น้ำจะท่วมหน้าบ้านเราซักที พอเขาไปกลับมาก็กินข้าวเยอะขึ้นไม่กินเหลือ เพราะเวลาที่เขากินไม่หมดเราก็จะพูดว่า จำที่ซอยคู้บอนได้ไหม เขาไม่มีข้าวกิน ไม่มีแอร์เปิด ไม่มีพัดลมนะ เราต้องกินข้าวให้หมด เปิดปิดไฟต้องประหยัดไฟเด็กก็จะเรียนรู้ทันทีว่า นั่นคือสิ่งที่ถ้ามันเกิดวินาศภัย อุทกภัย หรืออะไรเกิดขึ้นก็ตามมันจะเกิดความไม่สบายเขาต้องคำนึงถึงทรัพยากรที่ใช้ น้ำที่ดื่ม อาหารที่กิน มันต้องใช้ให้คุ้มใช้ให้เป็นรู้จักการเผื่อแผ่รู้จักการให้”

“เขาเห็นน้ำมาบริจาคที่บ้านผม 400-500 แพ็ก เป็นโกดังใหญ่แต่วันนั้นน้ำจะท่วมบ้านผม ผมพาลูกไปบิ๊กซีหน้าหมู่บ้านไปซื้อน้ำกลับมาบ้าน 3-4 แพ็ก ลูกคนเล็กถามทำไมไม่เอาน้ำที่อยู่บ้านกิน ผมบอกกินไม่ได้ลูก อันนี้น้ำเขาเอามาบริจาค เดินผ่านน้ำกองใหญ่โตน้ำในบ้านถึงไม่มีกินแต่เราก็ไม่แตะ ขวดเดียวก็ไม่แตะ เขาถึงได้เข้าใจว่า อันนี้คือการให้ อันไหนของเราก็คือของเรา เราทำให้เขาเห็นความซื่อสัตย์ความเสียสละ”

กับสิ่งที่หลายๆ คนยกย่องให้ “เจ” เป็นซูเปอร์สตาร์ซูเปอร์ฮีโร่ แต่เจ้าตัวกลับบอกว่าไม่ใช่
“งานนี้ผมไม่ใช่ซูเปอร์ฮีโร่ อาสากู้ภัยทุกคนก็ไม่ได้เรียกตัวเองว่าฮีโร่ คนที่เป็นฮีโร่คือคนที่อยู่หลังบิ๊กแบ็ก คนที่อยู่ต่างจังหวัดชัยนาท, อยุธยา, ลพบุรี, สิงห์บุรี, ปทุมธานี พวกนั้นคือฮีโร่ เขายอมท่วมแทนคนใน กทม.ทหารก็คือฮีโร่ ผมไม่ใช่ฮีโร่....ผมเป็นซูเปอร์แมน” (ยิ้ม)
เจ เจตริน กับคุณพ่อและพี่สาว ร่วมกับ เจ๊ฉอด สายทิพย์ เซอร์ไพร์สวันเกิดขณะขึ้นเวทีช่วยน้ำท่วม
เจ เจตรินทำงานอาสาร่วมกับทหาร
กำลังโหลดความคิดเห็น