“ไม่ใช่ทาง หรือ ไม่มีฝีมือ” ยังสรุปไม่ได้ หลังจากนั่งดู “วู้ดดี้” วุฒิธร มิลินทจินดา เจ้าของรายการ “วู้ดดี้เกิดมาคุย” พูดเรื่องน้ำท่วมเมื่อวันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคมที่ผ่านมา ต้องบอกว่าเสียดายฉากและโลเกชันที่อุตส่าห์ลงทุนไปถ่ายทำถึงหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม ลานพระบรมรูปทรงม้า พิธีกรเดินจิกปลายเท้าแกว่งไปแกว่งมาจนน่ารำคาญ อีกทั้งเสียดายความรู้ของแขกรับเชิญผู้ทรงคุณวุฒิ รวมถึงการจับดาราคนดังนั่งคุยป้อนคำถามแต่ไม่ได้สาระเท่าที่ควร เทปแรกไม่ผ่านจะเรียกว่า “ตายหมู่” ก็น่าจะได้
แต่ก็ไม่วายที่จะมีเทป 2 แก้ตัวในอาทิตย์นี้ ขอบอกว่า ถ้าวู้ดดี้อยากทำรายการกึ่งน้ำดีปนน้ำเน่าอย่างละคร แนะนำให้ดูสรยุทธ สุทัศนะจินดา เป็นตัวอย่าง ถึงจะดรามามากไปบ้าง ขโมยซีนบ้าง และน่าหมั่นไส้กับความโอเวอร์ จนอยากตะโกนใส่จอทีวีว่า “อะไรกันนักกันหนา” แต่ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่า ดรามาอย่างเฮียสรยุทธเข้าตาผู้ชม ครบเครื่องทั้งการบ้าน การเมือง และการตลาดจริงๆ
“วู้ดดี้เกิดมาคุย” วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน เวลา 22.30 น. ทางโมเดิร์นไนน์ จะเป็นเทปรายการตอนที่ 2 ที่ถ่ายทำกันไว้แล้ว โดยมีชื่อตอนพิเศษว่า “เราต้องรอด” นับเป็นการเกาะกระแส และอินเทรนด์ ตามประสาวู้ดดี้ แถมมีแขกรับเชิญในรายการน่าสนใจอย่าง อ.ศศิน เฉลิมลาภ เลขาธิการมูลนิธิสืบ นาคะเสถียร ผู้ที่โด่งดังจากคลิปน้ำท่วมในYoutube รองศาสตราจารย์ ศิริวัฒน์ โพธิเวชกุลจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหาร ลาดกระบัง ผู้เชี่ยวชาญด้านไฟฟ้า รองศาสตราจารย์นายแพทย์ชิษณุ พันธุ์เจริญ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านผู้ติดเชื้อในภาวะวิกฤตน้ำท่วม ร่วมด้วยบรรดาเซเลบ - ดารา เช่น จิระนันท์ พิตรปรีชา เนาวรัตน์ ยุกตะนันท์ ปณิตา พัฒนาหิรัญ จริญ ธรรมวัฒนะ และก้อย รัชวิน และผู้ประสบภัย อาสาสมัครจิตอาสาอีก 100 ชีวิต
ต้องบอกว่าทั้งฉาก แสง สี แขกรับเชิญ ทุกอย่างเพอร์เฟกต์หมด แต่การดำเนินรายการและประเด็นในการพูดคุยในเทปแรก “สอบตก” ทั้งรายการเป็นคำถามและคำตอบที่หลายคนรู้อยู่แล้ว จนเกิดคำถามว่า “ดูแล้วได้อะไร” ผู้ชมต้องเสียเวลาไปกับการแนะนำตัวของดาราที่มาร่วมรายการ เพราะแท้ที่จริงแล้วคนดูต้องการทราบรายละเอียดและที่มาของน้ำจากนักวิชาการที่พูดเข้าใจง่ายอย่าง อ.ศศิน รวมถึงแขกรับเชิญท่านอื่นที่มีความรู้เฉพาะด้านที่จะมาไขข้อข้องใจ
แต่ในรายการ ว่ากันตามความจริงกว่าแขกรับเชิญจะพูดครบหมดทุกประเด็นที่ใคร่รู้ก็น่าจะกินเวลามากโขอยู่ เพราะการอธิบายในทางความรู้ต้องทมีที่มาที่ไป ไม่ใช่การแสดงความรู้สึก ความเห็นอย่างที่รายการบันเทิงนิยมทำกัน แต่วู้ดดี้ก็ไม่กล้าพอที่จะให้การสนทนาวิชาการปรากฏในรายการล้วนๆ ส่วนเซเลบและดาราถูกนำเข้ามาเป็นใบเบิกทางเพื่อสร้างความน่าสนใจให้แก่รายการเท่านั้นเอง โดยลืมคิดไปว่า วินาทีนี้ผู้ชมส่วนใหญ่ไม่ว่าจะเป็นผู้ประสบภัยหรือไม่ ล้วนแต่ต้องการความช่วยเหลือและความรู้เรื่องการป้องกันน้ำ ยิ่งถ้าใครฟันธงได้ว่าท่วมหรือไม่ท่วม จะโดนใจผู้ชมที่สุด แต่ปรากฏว่าผู้ชมต้องมาเสียเวลากับเซเลบ - ดาราแต่ละคนที่ตั้งคำถามไม่ตรงประเด็นและไม่เร้าใจเท่าที่ควร
คนที่จะตั้งคำถามประเภทนี้ได้ดีต้องคลุกคลีอยู่ในสถานการณ์จริง ยกตัวอย่าง บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ ที่ช่วยงานมูลนิธิร่วมกตัญญูมานาน และคลุกคลีช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมในครั้งนี้อย่างต่อเนื่อง คนที่ทำงานคลุกคลีกับข้อเท็จจริงเหล่านี้ต่างหากที่จะทำให้ผู้ชมได้ข้อมูลใหม่ๆ ที่คิดไม่ถึง
ด้านพิธีกรอย่างวู้ดดี้เองก็ดู “เยอะ” (อยู่แล้ว) สวมกางเกงรัดติ้ว เสื้อแนบเนื้อ ทำหน้าที่พิธีกร เดินเข้าเดินออกผ่านหน้าจอ จีบปากจีบคอพูดจาด้วยหางเสียงสูงปนแอ็กติ้งประกอบอีกต่างหาก เข้าใจว่า ติดมาจากวิชาการละครที่ร่ำเรียนมาจากเมืองนอก มีความสามารถขนาดเคยเล่นละครบรอดเวย์มาแล้ว แต่ “การแสดง” ที่มากเกินไปนี้ กลายเป็นการขโมยซีนและลดความน่าสนใจของบรรดาแขกรับเชิญตลอดจนดาราและเซเลบลงไปอย่างน่าเสียดาย เพราะยังไง วู้ดดี้ก็ยังคงเป็น “วันแมนโชว์” อยู่นั่นเอง ดังนั้น … เนื้อหาที่แท้จริงในเทปแรกจึงไม่เข้าน้ำเข้าเนื้ออย่างที่ควรจะเป็น
ไม่ใช่เพราะว่าวู้ดดี้ไม่มีฝีมือ!! เพียงแต่ครั้งนี้ “กระแส” น้ำท่วมมันคือ “ข่าว” ที่ไม่ใช่ “บันเทิง” วู้ดดี้จึงตกม้าตายเพราะไปจับงานที่ตัวเองไม่มีความถนัดและชัดเจน คนเก่งจะเกิดขึ้นต่อเมื่อถูกจัดวางให้ถูกที่ถูกทางและถึงพร้อมด้วยความรู้ - ประสบการณ์ ท่ามกลางความสนใจ และความเหมาะสม
บุคลิกและจริตของวู้ดดี้เหมาะสมกับงานบันเทิง ความสนุกสนานมากกว่างานข้อมูลข่าว งานนี้จึงไม่ต่างไปจากสำนวนที่ว่า “เหลาเท้าให้เท่ากับเกือก” เพราะสถานการณ์ที่ต้องการโหนกระแสน้ำท่วมเพื่อไม่ให้ตกเทรนด์แท้ๆจึงส่งผลให้คนเก่งอย่างวู้ดดี้กลายเป็นคนเปลือกบนผิวน้ำที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่างน่าเสียดาย
เมื่อเทียบกับรายการอื่น ว่ากันในเรื่อง “ชั้นเชิงของดรามา” ในงานข่าว แต่ไหนแต่ไรมายังไม่มีใครเทียบสรยุทธ สุทัศนะจินดาได้ ดูอย่างข่าวน้ำท่วมในช่วงนี้ ช่อง 3 มีความโดดเด่นมาก สัมภาษณ์กันทั้งน้ำหูน้ำตาเล็ด และทุกการเข้าถึงชาวบ้านของช่อง 3แยงซีนช่องอื่น และรายการอื่นทั้งหมด (กรณีนี้ไม่นับรวมข้อเท็จจริง ข่าวสารข้อมูลที่รอบด้าน) โดยการนำทีมของสรยุทธ สุทัศนะจินดา และทีมครอบครัวข่าว 3 ข่าวสามมิติ ทุกช่วงข่าว ยิ่งในรายการของเฮียยุทธ เอาคนดังระดับแม่เหล็กอย่าง “โน้ส- อุดม แต้พานิช, โก๊ะตี๋ อารามบอย,ตัน ภาสกรนที” ลงเยี่ยมชาวบ้านกลางดึกกลางดื่น เรตติ้งและความน่าสนใจเลยชนะเลิศชนะใจผู้ชมไปตามระเบียบ
นอกจากนี้ ในโลกไซเบอร์ รายการของ “จั๊ดจ์ ธีมะ กาญจนะไพริน” ดารา-พิธีกร ที่จัดรายการชื่อว่า “จั้ดจ์จัด” ในยูทิวบ์ ที่ยอดผู้ชมแตะสี่แสนครั้งแล้ว ตอน โอละพ่อ ศปภ. มาดที่ดูตลกขบขัน อารมณ์ดี พูดเก่ง เอามาใช้ได้ครบเครื่องแบบไม่ต้องเกิดมาคุยไปเรื่อยเปื่อย แต่พอคุยสาระและว่ากันตามเหตุผล จั๊ดจ์กลับทำได้ลึกและชัดเจนกว่าวู้ดดี้มาก แม้ว่ารายการจะออกอากาศแค่ในยูทูวบ์แต่ตอนนี้รัฐบาลคงได้ปวดหัวกับการออกมาตีแผ่ข้อเท็จจริง ทั้งเรื่องศปภ. รัฐบาล ตำรวจ หรือเรื่องราวน้ำท่วมที่ต้องบอกว่าจั๊ดจ์มีความสามารถและความรู้ บวกกับความกล้าที่ออกมาจัดรายการครั้งนี้ การทำหน้าที่พิธีกรก็ถือว่าเขาได้ใจคนในโลกไซเบอร์ไปแล้วในเวลานี้ แม้ว่าเขาจะเคยร่วมงานกับวอยซ์ทีวีมาเมื่อ 2ปีก่อน แต่พอถึงคราน้ำท่วมหนนี้จั๊ดจ์บอกว่านี่คือตัวตนที่ต้องขอพูดถึง และไม่ใช่ความอยากดัง!
“การแสดง” เป็นศาสตร์ที่เรียนรู้ ฝึกฝนกันได้ แต่ “งานข่าว” เป็นความชอบส่วนตัวของแต่ละบุคคล นี่คือความแตกต่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ความครบถ้วนขององค์ความรู้ของวิทยากร ความสง่างามของพื้นที่ และการถึงพร้อมในการดึงดูดอย่างดาราและเซเลบ บางทีก็ไม่สามารถสร้างความประทับใจให้แก่ผู้ชมได้
ว่าแต่สัปดาห์นี้ “วู้ดดี้ เกิดมาคุย” จะรอดหรือจะจมน้ำตาย ต้องลุ้นกันไป !!
.......................................
ที่มา นิตยสาร ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ ฉบับที่ 109 วันที่ 5-11 พฤศจิกายน 2554