ภาพเหตุการณ์ระทึกใจที่ น.ส.ปริมฤดี เจริญกำชัย วัย 24 ปี ใช้แขนด้านซ้ายกอดคอของลูกน้อยวัยแค่ขวบที่นอนหลับคอพับอยู่บนตักของตนเอง ซึ่งไม่รู้ประสีประสาว่าแม่ตนนั้นได้ใช้ลูกชายวัยละอ่อน "ด.ช.ฐานะพัฒน์ เจริญกำชัย" หรือ "น้องอั่งเปา" เป็นตัวประกัน โดยมือขวาของแม่กำมีดปอกผลไม้ยาว 12 นิ้วแน่น พร้อมกับเหวี่ยงมีดไปมา บ้างก็จ่อที่คอลูก และง้างออกตวัดไปมาตามท่าทางที่ต้องตะโกนโหวกเหวก ข่มขู่ตลอดเวลา ห้ามไม่ให้ใครเข้าใกล้ มิฉะนั้น จะทำร้ายเด็ก ได้คงสร้างความสะเทือนใจ หวาดกลัวแก่ประชาชนที่มุงดูจำนวนมาก ที่บริเวณหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ ฝั่งอิเซตัน ถนนราชดำริ เมื่อวันที่ 9 ก.ย. ที่ผ่านมา
อาการเครียดจัด!!จนทำให้ "น.ส.ปริมฤดี เจริญกำชัย" คลุ้มคลั่งครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเดิมที น.ส.ปริมฤดี เคยเปิดแผงขายชุดชั้นในสตรีอยู่บริเวณริมทางเท้าหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แต่เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาได้ถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจยึดแผงค้า ทั้งที่ได้จ่ายค่ารายเดือนให้กับเจ้าหน้าที่เทศกิจโดยตลอด แม้จะพยายามร้องขอความเป็นธรรม กับทางสำนักงานเขตปทุมวัน แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล ประกอบกับมีหนี้สิน และต้องเลี้ยงดูลูกชายเพียงลำพัง ซึ่งเมื่อร้องขอความเป็นธรรมไม่สำเร็จ จนไม่มีที่ทำกิน จึงทำให้มาก่อเหตุดังกล่าว
ก่อนเกิดเหตุมีคนเห็นว่า น.ส.ปริมฤดี ได้อุ้มลูกน้อยวัยกำลังน่ารัก เดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่บริเวณริมทางเท้าหน้าห้างฯ ตั้งแต่เวล 11.30 น. จนเวลล่วงเลยไปถึงช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง นายดี เรือน อายุ 22 ปี ชาวกัมพูชา พ่อค้าขายผลไม้เจ้าของมีดปอกผลไม้ เล่าว่า เห็น น.ส.ปริมฤดี อุ้มลูกชายเดินวนเวียนอยู่บริเวณริมทางเท้า มีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่พูดคุยหยอกล้อกับพ่อค้า แม่ค้าคนอื่นเหมือนปกติ แล้วเดินมาที่รถเข็นผลไม้ของตนเอง จากนั้น น.ส.ปริมฤดี ได้หยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนตู้ พร้อมบอกว่า "ขอยืมไปใช้ก่อนเดี๋ยวนำมาคืน" ซึ่งพอตนหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก็เห็น น.ส.ปริมฤดี นั่งอยู่ที่บริเวณรั้วคอนกรีตริมฟุตปาธถือมีดปอกผลไม้จี้ที่คอลูกชาย พร้อมตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่เทศกิจ และร้องโวยวายขอความเป็นธรรมเสียงดัง
เหตุการณ์ที่น.ส.ปริมฤดี หนีบช่วงคอของลูกไว้บนตัก กับภาพที่เจ้าตัวสะบดคำด่าเทศกิจ และข่มขู่จะทำร้ายลูกตัวเองเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นไปอย่างอึมครึมและตึงเครียด ระหว่างนั้นมีตำรวจและเพื่อนพ่อค้าแม่ขายที่รู้จักกัน พยายามพูดจาให้วางมีด แต่น.ส.ปริมฤดี ไม่ยอมทำตามท่าเดียว แต่ได้กวัดแกว่งมีดไปมา สลับกับจ่อคอลูกชายตัวเองเอาไว้อย่างน่าหวาดเสียว แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่า 1 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลง
การเกลี้ยมกล่อมพูดคุย เพื่อให้น.ส.ปริมฤดี ผ่อนคลาย และยอมหยุดพฤติกรรมอันน่าหวาดเสียว ยังคงดำเนินไป เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครร่วมกตัญญู ได้ขอให้น.ส.ปริมฤดีปล่อยเด็กจากตัวประกัน แต่ไม่เป็นผล จนในที่สุดขณะที่น.ส.ปริมฤดี กำลังด่าทอ กับตำรวจที่พยายามเจรจาอยู่นั่นเอง และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่น.ส.ปริมฤดี เผลอยกมือขวาที่ถือมีดอยู่ชี้หน้าด่าเจ้าหน้าที่เทศกิจ ซึ่งขณะนั้นทำให้พระเอกหนุ่ม "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่กำลังหาช่วงจังหวะอยู่ได้ตัดสินใจวิ่งเข้าชาร์จล็อคแขน ข้อมือของน.ปริมฤดี จนเป็นผลสำเร็จ และปลอดภัยทั้งแม่และลูกชาย ซึ่งทำให้ผู้เฝ้าเอาใจช่วยในเห็นเหตุการณ์ระทึกใจ ตลอดจนเจ้าหน้าที่โล่งอกกันไปตาม ๆ กัน
ส่วน "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" พระเอกฮีโร่ ซึ่งเข้าชาร์จตัว น.ส.ปริมฤดี กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุได้รับแจ้งว่ามีหญิงสาวจับเด็กชายซึ่งเป็นลูกของตนเองเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งตนประเมินว่า หญิงสาวรายนี้มีเจตนาเพียงต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมเกี่ยวกับแผงค้าที่ถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจยึดไป และเคยไปร้องกับทางเขต แต่เรื่องก็เงียบไป ทำให้ต้องมาก่อเหตุดังกล่าว คงจะไม่ทำร้ายเด็กอย่างแน่นอน ซึ่งก่อนที่จะเข้าชาร์จ ตนอาศัยจังหวะที่มีดห่างจากตัวเด็ก คิดว่า หากเข้าชาร์จในจังหวะนั้น ตัวเด็กจะไม่ได้รับอันตราย จึงได้สินใจเข้าชาร์จโดยทันที
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "นางภาวิณี อามาตย์ทัศน์" ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน กล่าวว่า เดิมทีน.ส.ปริมฤดี เคยมีแผงค้าอยู่นอกจุดผ่อนผันบริเวณหน้าห้างดังกล่าว แต่ได้ปล่อยให้ผู้ค้ารายอื่นเช่าต่อมาประมาณ 1 ปีแล้ว ซึ่งเมื่อต้องการจะกลับมาขายอีก ก็ไม่มีพื้นที่ว่างแล้ว จึงได้มาเขียนคำร้องไว้ที่ฝ่ายเทศกิจ หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ทางเทศกิจได้เรียกมาสอบถาม ซึ่งน.ส.ปริมฤดี ก็ยอมรับว่าได้ให้คนอื่นมาเช่าต่อจริง โดยเทศกิจพิจารณาแล้วว่าทำผิดกติกา จึงต้องยกเลิกสิทธิ์ จนกระทั่งเกิดเหตุขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางเทศกิจเขตปทุมวันได้พิจารณาแล้ว พบว่าเหตุผลของน.ส.ปริมฤดี เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ จึงอนุญาตให้น.ส.ปริมฤดี กลับไปขายสินค้าได้ตามเดิม โดยผู้ค้าที่มาเช่าช่วงต่อ ก็ยินยอมยกเลิกการขายและคืนแผงให้น.ส.ปริมฤดี ซึ่งทางเขตจะต้องให้ทำบันทึกว่าผู้ค้าจะต้องปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด หากวันไหนไม่สามารถมาขายเอง ก็ต้องปล่อยให้พื้นที่ว่างไว้ในวันนั้น และต่อไปหากยังมีการฝ่าฝืนกติกาอีก ก็จะต้องยกเลิกสิทธิ์ตามระเบียบ
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นเพียงการก่อเหตุเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าความที่คนในสังคมต้องปากกัดตีนถีบกับการทำมาหากิน เพื่อให้ตนเองและลูกน้อยอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ประกอบกับความเครียดจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง แม้จะยังไม่ถึงขึ้นเลือดตกยางออกทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต แต่ก็ไม่ควรเกิดขึ้นในกลางกรุงเทพฯซ้ำอีก
อาการเครียดจัด!!จนทำให้ "น.ส.ปริมฤดี เจริญกำชัย" คลุ้มคลั่งครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเดิมที น.ส.ปริมฤดี เคยเปิดแผงขายชุดชั้นในสตรีอยู่บริเวณริมทางเท้าหน้าห้างเซ็นทรัลเวิลด์ แต่เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมาได้ถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจยึดแผงค้า ทั้งที่ได้จ่ายค่ารายเดือนให้กับเจ้าหน้าที่เทศกิจโดยตลอด แม้จะพยายามร้องขอความเป็นธรรม กับทางสำนักงานเขตปทุมวัน แต่ไม่ได้รับการเหลียวแล ประกอบกับมีหนี้สิน และต้องเลี้ยงดูลูกชายเพียงลำพัง ซึ่งเมื่อร้องขอความเป็นธรรมไม่สำเร็จ จนไม่มีที่ทำกิน จึงทำให้มาก่อเหตุดังกล่าว
ก่อนเกิดเหตุมีคนเห็นว่า น.ส.ปริมฤดี ได้อุ้มลูกน้อยวัยกำลังน่ารัก เดินกระสับกระส่ายไปมาอยู่บริเวณริมทางเท้าหน้าห้างฯ ตั้งแต่เวล 11.30 น. จนเวลล่วงเลยไปถึงช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง นายดี เรือน อายุ 22 ปี ชาวกัมพูชา พ่อค้าขายผลไม้เจ้าของมีดปอกผลไม้ เล่าว่า เห็น น.ส.ปริมฤดี อุ้มลูกชายเดินวนเวียนอยู่บริเวณริมทางเท้า มีสีหน้าเคร่งเครียด ไม่พูดคุยหยอกล้อกับพ่อค้า แม่ค้าคนอื่นเหมือนปกติ แล้วเดินมาที่รถเข็นผลไม้ของตนเอง จากนั้น น.ส.ปริมฤดี ได้หยิบมีดปอกผลไม้ที่วางอยู่บนตู้ พร้อมบอกว่า "ขอยืมไปใช้ก่อนเดี๋ยวนำมาคืน" ซึ่งพอตนหันหน้ากลับมาอีกครั้ง ก็เห็น น.ส.ปริมฤดี นั่งอยู่ที่บริเวณรั้วคอนกรีตริมฟุตปาธถือมีดปอกผลไม้จี้ที่คอลูกชาย พร้อมตะโกนด่าทอเจ้าหน้าที่เทศกิจ และร้องโวยวายขอความเป็นธรรมเสียงดัง
เหตุการณ์ที่น.ส.ปริมฤดี หนีบช่วงคอของลูกไว้บนตัก กับภาพที่เจ้าตัวสะบดคำด่าเทศกิจ และข่มขู่จะทำร้ายลูกตัวเองเกิดขึ้นต่อเนื่องเป็นไปอย่างอึมครึมและตึงเครียด ระหว่างนั้นมีตำรวจและเพื่อนพ่อค้าแม่ขายที่รู้จักกัน พยายามพูดจาให้วางมีด แต่น.ส.ปริมฤดี ไม่ยอมทำตามท่าเดียว แต่ได้กวัดแกว่งมีดไปมา สลับกับจ่อคอลูกชายตัวเองเอาไว้อย่างน่าหวาดเสียว แม้เวลาจะผ่านไปนานกว่า 1 ชั่วโมง ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะอ่อนแรงลง
การเกลี้ยมกล่อมพูดคุย เพื่อให้น.ส.ปริมฤดี ผ่อนคลาย และยอมหยุดพฤติกรรมอันน่าหวาดเสียว ยังคงดำเนินไป เจ้าหน้าที่ตำรวจ เจ้าหน้าที่อาสาสมัครร่วมกตัญญู ได้ขอให้น.ส.ปริมฤดีปล่อยเด็กจากตัวประกัน แต่ไม่เป็นผล จนในที่สุดขณะที่น.ส.ปริมฤดี กำลังด่าทอ กับตำรวจที่พยายามเจรจาอยู่นั่นเอง และเป็นจังหวะเดียวกันกับที่น.ส.ปริมฤดี เผลอยกมือขวาที่ถือมีดอยู่ชี้หน้าด่าเจ้าหน้าที่เทศกิจ ซึ่งขณะนั้นทำให้พระเอกหนุ่ม "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" เจ้าหน้าที่อาสาสมัครมูลนิธิร่วมกตัญญู ที่กำลังหาช่วงจังหวะอยู่ได้ตัดสินใจวิ่งเข้าชาร์จล็อคแขน ข้อมือของน.ปริมฤดี จนเป็นผลสำเร็จ และปลอดภัยทั้งแม่และลูกชาย ซึ่งทำให้ผู้เฝ้าเอาใจช่วยในเห็นเหตุการณ์ระทึกใจ ตลอดจนเจ้าหน้าที่โล่งอกกันไปตาม ๆ กัน
ส่วน "บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์" พระเอกฮีโร่ ซึ่งเข้าชาร์จตัว น.ส.ปริมฤดี กล่าวว่า ก่อนเกิดเหตุได้รับแจ้งว่ามีหญิงสาวจับเด็กชายซึ่งเป็นลูกของตนเองเป็นตัวประกัน เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ซึ่งตนประเมินว่า หญิงสาวรายนี้มีเจตนาเพียงต้องการเรียกร้องความเป็นธรรมเกี่ยวกับแผงค้าที่ถูกเจ้าหน้าที่เทศกิจยึดไป และเคยไปร้องกับทางเขต แต่เรื่องก็เงียบไป ทำให้ต้องมาก่อเหตุดังกล่าว คงจะไม่ทำร้ายเด็กอย่างแน่นอน ซึ่งก่อนที่จะเข้าชาร์จ ตนอาศัยจังหวะที่มีดห่างจากตัวเด็ก คิดว่า หากเข้าชาร์จในจังหวะนั้น ตัวเด็กจะไม่ได้รับอันตราย จึงได้สินใจเข้าชาร์จโดยทันที
เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น "นางภาวิณี อามาตย์ทัศน์" ผู้อำนวยการเขตปทุมวัน กล่าวว่า เดิมทีน.ส.ปริมฤดี เคยมีแผงค้าอยู่นอกจุดผ่อนผันบริเวณหน้าห้างดังกล่าว แต่ได้ปล่อยให้ผู้ค้ารายอื่นเช่าต่อมาประมาณ 1 ปีแล้ว ซึ่งเมื่อต้องการจะกลับมาขายอีก ก็ไม่มีพื้นที่ว่างแล้ว จึงได้มาเขียนคำร้องไว้ที่ฝ่ายเทศกิจ หลังจากนั้นเมื่อวันที่ 29 ส.ค.ที่ผ่านมา ทางเทศกิจได้เรียกมาสอบถาม ซึ่งน.ส.ปริมฤดี ก็ยอมรับว่าได้ให้คนอื่นมาเช่าต่อจริง โดยเทศกิจพิจารณาแล้วว่าทำผิดกติกา จึงต้องยกเลิกสิทธิ์ จนกระทั่งเกิดเหตุขึ้น
อย่างไรก็ตาม ภายหลังเหตุการณ์ครั้งนี้ ทางเทศกิจเขตปทุมวันได้พิจารณาแล้ว พบว่าเหตุผลของน.ส.ปริมฤดี เป็นเหตุผลที่ยอมรับได้ จึงอนุญาตให้น.ส.ปริมฤดี กลับไปขายสินค้าได้ตามเดิม โดยผู้ค้าที่มาเช่าช่วงต่อ ก็ยินยอมยกเลิกการขายและคืนแผงให้น.ส.ปริมฤดี ซึ่งทางเขตจะต้องให้ทำบันทึกว่าผู้ค้าจะต้องปฏิบัติตามกติกาอย่างเคร่งครัด หากวันไหนไม่สามารถมาขายเอง ก็ต้องปล่อยให้พื้นที่ว่างไว้ในวันนั้น และต่อไปหากยังมีการฝ่าฝืนกติกาอีก ก็จะต้องยกเลิกสิทธิ์ตามระเบียบ
กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้จะเป็นเพียงการก่อเหตุเพื่อเรียกร้องความสนใจ แต่ก็สะท้อนให้เห็นว่าความที่คนในสังคมต้องปากกัดตีนถีบกับการทำมาหากิน เพื่อให้ตนเองและลูกน้อยอยู่รอดในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ประกอบกับความเครียดจึงทำให้เกิดเหตุการณ์ร้ายแรง แม้จะยังไม่ถึงขึ้นเลือดตกยางออกทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียชีวิต แต่ก็ไม่ควรเกิดขึ้นในกลางกรุงเทพฯซ้ำอีก