xs
xsm
sm
md
lg

มุมดีๆ เล็กๆ จากผู้ชายโรแมนติก “เสนาเพชร”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

“หลายคนอาจจะจำผมในภาพตลกๆ แต่จริงๆ แล้วผมเป็นคนโรแมนติกครับ...” คำบอกเล่าจากชายหนุ่มวัยเฉียด 50 ปีที่เชื่อว่าใครหลายๆ คนที่มีโอกาสได้รู้จักเขาคนนี้ผ่านรายการตลกทางทีวีรายการหนึ่งเมื่อหลายปีก่อนก็คงจะมีความรู้สึกไม่ต่างดังเช่นที่เขาบอก

พุฒิพงศ์ พรหมสาขา ณ สกลนคร หรือที่รู้จักกันดีในชื่อของ “เสนาเพชร” คือเจ้าของประโยคดังกล่าว

หลังยุติบทบาทการเป็นหนึ่งในพิธีกร “ยุทธการขยับเหงือก” เสนาเพชรผันตัวเองมาทำงานเบื้องหลังให้กับรายการต่างๆ รวมถึงรับงานแสดงบ้างประปรายก่อนจะหันมาจับงานภาพยนตร์ ซึ่งเพียงแค่งานหนังเรื่องแรกอย่าง “สิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารัก” ที่เขาทำร่วมกับ “วศิน ปกป้อง” ถูกปล่อยออกมา ความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวก็ทำให้ชื่อของเขาถูกจับตามองในฐานะผู้กำกับน้ำดีคนหนึ่งของบ้านเราขึ้นมาทันที

และนั่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจแต่อย่างไรหากผลงานล่าสุดชิ้นที่ 2 ของเขาอย่าง “30+โสด On Sale” ที่ได้ 3 สาว 3 พลอย เฌอมาลย์, เจี๊ยบ พิจิตรา, ตุ๊กกี้ ชิงร้อยฯ มาประกบกับนักร้องหนุ่มอารมณ์ดี เป้ อารักษ์ จะตั้งอยู่บนความคาดหวังของใครหลายๆ คนอยู่พอสมควร

“หลังจากหนังสิ่งเล็กๆ ที่เรียกว่ารักผ่านไปผมก็มาคิดว่าเราน่าจะทำหนังอะไรที่มันโดนความรู้สึกของผู้หญิงคงจะเป็นอะไรที่เราสื่อสารได้ง่ายในการพูดแบบปากต่อปาก เราก็มานั่งคิดทบทวนหลายๆ อย่างว่ามีเหตุการณ์อะไรที่ผู้หญิงรู้สึกร่วมกันได้บ้างนอกจากเรื่องของความรัก”

“ที่อยากเล่าเรื่องของผู้หญิงเพราะเขาเป็นเหล่าคนกลุ่มใหญ่ที่มีหลากอารมณ์ รู้สึกว่าถ้าพอทำออกมาเป็นหนังแล้วเขาน่าจะดู เขาคงจะสัมผัสอะไรบางอย่างที่เราอยากถ่ายทอดได้ เหมือนในเรื่องสิ่งเล็กๆ เราก็มานั่งลิสต์อะไรที่มาให้ผู้หญิงรู้สึกเสียความมั่นใจได้บ้าง”

“ก็ได้ข้อสรุปเป็นช่วงในวัยที่ใกล้เขตวิปริตของความรักได้บ้าง มองๆ แล้วตรงนี้น่าสนใจนะ เพราะที่ผ่านมาผมเคยเจอผู้หญิงมาปรึกษาเรื่องนี้เยอะมาก 10 คนในวัย 30 ก็มี 7 คนที่เจอประสบการณ์เหมือนกัน แล้วพอดีกับทางที่หัวฟิล์มท้ายฟิล์มเขามีเรื่องอยู่แล้วด้วย พอเรามาเจอกันก็เลยคุยกัน ทุกอย่างมันใกล้กันมากก็เลยสนใจทำร่วมกัน”

“คนอาจจะคาดหวังในความประทับใจ เราไม่ได้บอกว่าเราจะทำดีหรือด้อยกว่าเรื่องก่อน แต่เราจะพยายามทำให้มันเท่ากัน เราพยายามถ่ายทอดความรู้สึกเดียวกัน แต่ก็คงจะแล้วแต่ความรู้สึกของคนดู แต่เราเชื่อว่าถ้าเราตั้งใจในสิ่งที่ดี ก็น่าจะได้รับการต้อนรับที่ดีอะไรบางอย่างจากคนดูกลับมา”

ทำไมต้องเป็น พลอย-เป้?
“ทางหัวฟิล์มท้ายฟิล์มเองเขาก็มองไว้แล้ว ตั้งแต่เขาทำบทของเขาว่าอยากได้พลอยมาเล่น พอเราได้มีโอกาสอ่านบทแล้วเราเองก็รู้สึกว่ายังไงเรื่องนี้ก็ต้องเป็นพลอย เพราะพลอยเป็นผู้หญิงที่วัยเต็มที่สุดแล้ว เขากำลังสะพรั่งที่สุดแล้ว ถ้าเลยจากนี้ไปเขาอาจจะไปรับบทบาทอื่นแล้ว ตอนนี้เขาใช่”

“แล้วเรื่องนี้พลอยก็เล่นคอมเมดี้เรื่องแรก มันก็ไม่ได้ยากอะไรกับการที่เขาถนัดดราม่า เพราะเรื่องนี้เขาเล่นเป็นตัวเขาเอง ตัวตนของพลอยเป็นคนน่ารัก พลอยไม่ได้เล่นเป็นตัวละครในเรื่อง พลอยเขาเล่นเป็นตัวพลอย เหมือนเอาชีวิตหลังการถ่ายทำของเขามาเล่นเรื่องนี้ อยากจะพูด จะคิด จะรู้สึกยังไงก็ทำเลย เล่นตามใจ ในเรื่องนี้คุณจะได้รู้จักพลอยในมุมมองที่เปลี่ยนไป มันเป็นตัวเขาจริงๆ ไม่ใช่มาดระหง”

“ส่วนเป้ก็เล่นเป็นตัวเองครับ เป้เป็นผู้ชายคนนึงที่ผู้หญิงคุยด้วยแล้วสบายใจ เป็นผู้ชายที่ดูเป็นมิตร น่าเข้าไปคุยทำความรู้จักด้วย ตัวละครในเรื่องทุกๆ คนใช่หมด การที่เราเลือกนักแสดงที่มีคาแรกเตอร์ใกล้เคียงกับตัวตนเขาเองมันจะทำให้หนังของเราดูมีเสน่ห์ เพราะมันสามารถทำให้คนดูเชื่อในเรื่องราวเหล่านั้นจริงๆ และรักในตัวละครนั้นๆ ได้ง่ายๆ คนดูจับต้องได้”

รู้สึกอย่างไรกับการฉายเดี่ยวครั้งนี้?...“มันก็ไม่ได้ต่างอะไรมากจากเรื่องที่ผ่านมา เพราะเรื่องก่อนเราก็ทำงานกันเกือบจะเท่ากันอยู่แล้ว งานอื่นๆ ที่ผ่านมาผมเองก็คิดเองทำเองมาตลอด ไม่ว่าจะเป็นงานกำกับหรือเป็นโปรดิวเซอร์ อาจจะเพราะที่ผ่านมอาจจะเป็นหนังเรื่องแรกของผมด้วยไง”

ถามถึงเหตุผลที่เจ้าตัวหันมาสนใจเรื่องการทำหนังผู้กำกับอารมณ์ดีเผยว่า...“ผมรู้สึกว่าผมเป็นคนที่ทำงานขายอารมณ์ ขายความรู้สึกขบขัน อารมณ์ดีมาตลอดชีวิตแล้ว แต่การทำหนังมันก็เป็นสิ่งที่น่าลองว่าเราสามารถทำได้มั้ยก็ลองทำดู อย่างที่ผ่านมาผมก็มีพาร์ตเนอร์ เรื่องนี้เคยจะลองทำคนเดียวดูว่าจะไปรอดมั้ย แล้วเราก็ทำได้”

“เราพยายามถ่ายทอดความเป็นตัวเราออกมาในงานด้วยเหมือนกันนะ หลายๆ มุมมองในหนังเป็นตัวผมจริง ผมเองคนอาจจะมองว่าผมเป็นคนตลก แต่จริงๆ แล้วผมเป็นคนที่โรแมนติกมากๆ ผมชอบดูแลเอาใจใส่คนอื่นๆ ชอบดูแลเอาใจใส่ในความรู้สึกของคนอื่น ผมมักจะให้ความสำคัญและใส่ใจกับรายละเอียดสิ่งเล็กๆ อีกอย่างผมว่าการที่เราทำอะไรด้วยใจคนที่รับจะสัมผัสได้อย่างแน่นอน”

“แล้วงานทุกชิ้นผมให้ใจกับมันเกินร้อย ในการทำงานของผม ผมไม่เคยสั่งหรือว่าด่าใคร แค่บอกให้ทำ ถ้าไม่มีใครทำผมก็ทำซะเอง ก็เอาใจเขามาใส่ใจเรา ผมใช้วิธีซื้อใจคนมากกว่าครับ เราทำงานแบบช่วยเหลือกัน ผมชอบการทำงานระบบแบบนี้ และผมก็ใช้วิธีนี้มาตลอดชีวิตการทำงาน มันทำให้ผมทำงานได้ง่ายขึ้น”

“ทุกคนรู้สึกว่าไม่มีใครเอาเปรียบใคร ไม่มีการสั่งงานชนิดกดขี่ข่มเหง การทำงานกับคนที่รู้ใจกันก็เป็นสิ่งสำคัญนะครับ มันทำให้เราสนุกและมีความสุขมากขึ้นกับการทำงาน”

ผู้กำกับอารมณ์ดียอมรับมุมมองที่นำเสนอผ่านวงการมายาทั้งละคร ภาพยนตร์ต่างๆ ล้วนมีผลต่อผู้เสพ เพราะฉะนั้นผู้เสพเองก็ควรจะมีวิจารณญาณในการเลือกอยู่พอสมควร

“ผมว่ามีส่วนนะ ผมว่าเรื่องของระบบธุรกิจหรือระบบวัฒนธรรมของละครบางทีเขาลืมมองสิ่งดีๆ ไป ความจริงเราสามารถเลือกเล่าสิ่งดีๆ ก็ได้นะ ไม่ได้จะยอตัวเอง งานของผมส่วนใหญ่เน้นนำเสนอเรื่องราวที่เป็นสิ่งดีๆ มากกว่าสิ่งร้ายๆ อย่างในหนังของผมจะไม่มีบุหรี่ ไม่มีคำหยาบ ไม่มีเรื่องของการมัวเมา เรื่องของความอิจฉา ผมว่าตรงนี้มันมีผลต่อเยาวชนแน่นอน”

“แต่ว่าไม่ได้เพราะเด็กเดี๋ยวนี้เขาก็รับสื่อนอกมาเยอะเหมือนกันจะมาว่าแต่ของเรามันก็ไม่ได้ ผมว่ามันอยู่ที่คนรอบข้างด้วย ปัจจุบันวัฒนธรรมตะวันตกมันเริ่มเข้ามามีบทบาทกับชีวิตเยอะด้วย โซเชียลเน็ตเวิร์กมันช่วยทำให้เกิดความคิดหรือวัฒนธรรมใหม่ๆ ที่มันดาร์คๆ เข้ามา แต่จริงๆ ทีวีบ้านเราก็มีส่วนช่วยสกรีนให้หน่อยก็ได้”

“แต่เอาจริงๆ มันเป็นเรื่องที่พูดยาก เพราะสิ่งเหล่านั้นคนดูเขาชอบไง ไม่ใช่ว่าสื่ออย่างเราไม่อยากทำนะ ผมเชื่อว่าคนในวิชาชีพนี้ทุกคนอยากนำเสนอสิ่งดีๆ คืนสู่สังคม แต่ทำยังไงได้ ก็ลูกค้า ผู้บริโภคเขาชอบแบบนี้ ทำไปเขาก็ไม่สนับสนุน แล้วเราจะทำยังไง ปากต้องกิน กองทัพก็ต้องเดิน หลายอย่างมันเป็นปัจจัยครับ"

“ถ้าจะให้เป็นผลคงต้องขึ้นอยู่กับกระบวนการของรัฐบาลต้องช่วยสื่อ โดยอาจให้มีงบประมาณสนับสนุน ถามหน่อยว่าทำไมเกาหลีเขาทำได้ เพราะรัฐบาลเขาเล็งเห็นปัญหาแล้วเขามาช่วยจริงจัง เทต้นทุนมาให้ 30 ล้านสร้างละครสนับสนุนประเทศ อย่าให้มีฉากเลิฟซีนเยอะ รู้ว่ามันมีจริงแต่ไม่ต้องถึงกับให้เห็นว่ามีการปล้ำ ดูดปาก หรือโชว์เลิฟซีนให้เห็นจะจะ ที่เหลือให้คนดูไปคิดเอาเอง”

“ทำยังไงให้ละครมันน่ารัก มีเสน่ห์ ก็เล่าๆ ไป มันทำได้ครับ การที่เราเล่าเรื่องโดยไม่มีฉากเลิฟซีนให้เห็นจะจะมันก็เป็นเสน่ห์อีกแบบนึง มันขึ้นอยู่กับมุมมองของผู้กำกับและนายทุนครับ”

คลุกคลีอยู่กับวงการนี้มา 30 ปีแล้วรู้สึกยังไงกับมันบ้าง?
“มายา (รีบตอบทันที) วงการบันเทิงคือมายา ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ตอนนี้ทุกอย่างมันเป็นธุรกิจ และในมายาเองก็ยังต้องมีวินัยของมันเอง การที่เราจะอยู่นานๆ ได้ในวงการนี้เราจำเป็นต้องมีวินัย เราต้องปฏิบัติตน เคารพสิทธิ์รุ่นพี่ รู้จักประมาณตน วางตัวให้ดี อย่าเย่อหยิ่ง อย่าไปเยอะจนเกินเหตุ เพราะวงการบันเทิงมันก็มีกันอยู่แค่นี้ มันเห็นและสัมผัสได้ เราไม่ใช่เงา เราเดินไปทางไหนคนก็เห็นเรา”
กำลังโหลดความคิดเห็น