ขาเตียงสั่นคลอน! “บ๊วย” รับมีปัญหา “ตุ๊ก” สถานการณ์ครอบครัวเข้าขั้นวิกฤต แจงเป็นปัญหาของคนสองคน ป้อง “ไฮโซโม” ไม่ใช่มือที่3 แต่รับสนิทกัน ยันสัมพันธ์ไม่ใช่ความรัก เจ้าตัวตอบไม่ได้กับตุ๊กจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมหรือเปล่า แต่บอกจะทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อลูก
รักกันมาหลายปี จนมีโซ่ทองคล้องใจถึง 2 คน แต่ตอนนี้ครอบครัวของพิธีกรชื่อดัง “บ๊วย เชษวุฒิ วัชรคุณ” กับภรรยา “ตุ๊ก ชนกวนันท์ วัชรคุณ” กลับตกที่นั่งย่ำแย่ หลังข่าวลือออกมาหนาหูว่า “บ๊วย” นอกใจไปคบหากับ “ไฮโซโม” ลูกสาวเจ้าของร้านทองชื่อดัง อดีตแฟนของ “โจ นูโว” กลายเป็นข่าวที่ทำเอาช็อคใครหลายคน เพราะที่ผ่านมาคู่นี้ถือเป็นคู่ที่น่ารักมาโดยตลอด ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าของวันนี้ หนุ่ม “บ๊วย” ได้เปิดแถลงข่าวชี้แจงด้วยตัวเองหลังจากอัดรายการ “คันปาก” ที่ช่อง7 เสร็จ พร้อมยอมรับว่ามีปัญหากับตุ๊กจริง แต่ปฏิเสธข่าวกิ๊กไฮโซโม ซี่งตลอดการสัมภาษณ์หนุ่มบ๊วยมีสีหน้าตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัด
“ผมก็ไม่รู้ว่าข่าวมาได้ยังไงนะครับ เรื่องราวจริงๆ แล้วอย่างที่คุยในรายการคันปาก คือมันเป็นเรื่องของครอบครัว ซึ่งผมเองก็เป็นครอบครัวหนึ่งที่เป็นครอบครัวธรรมดาที่ตกลงใช้ชีวิตอยู่ร่วมงาน เวลาเราไปทำงานก็เป็นเรื่องของเวลางานครับ ผมก็ยังยืนยันเวลาที่ผมเลี้ยงลูก หรือเวลาที่ผมมีความสุขอะไรต่างๆ ผมเชื่อว่าผมทำหน้าที่ได้ดี ไม่ได้ต้องการสร้างภาพว่าเป็นแฟมิลี่แมนหรือว่าอะไร ก็จะมีเจตนารมณ์ที่อยากจะมีครอบครัว มีชีวิตที่ดีและสมบูรณ์อยู่แล้ว โดยเฉพาะที่มีลูกนะครับ”
“แต่ตอนนี้ข่าวที่ออกมาว่าเตียงหัก ข่าวที่ออกมาว่ามีมือที่สาม ผมรู้สึกว่ามันแรงเกินไปสำหรับผม โดยส่วนตัวแล้วเตียงยังไม่ได้หักนะครับ มันเป็นเรื่องของอย่างที่บอกว่าเป็นครอบครัวธรรมดา มีทุกข์มีสุข มีปัญหาบ้าง มันก็มีปัญหามาเรื่อยๆ ถามว่ามีใครมาถามไหม มันก็ไม่มีใครถาม และผมจำเป็นต้องไปบอกใครไหม ก็ไม่ได้จำเป็นใช่ไหมครับ เพราะฉะนั้นการที่มีปัญหากันเรื่อยๆ เราก็ปรับตัวกันมาเรื่อยๆ นะครับ มันเป็นเรื่องของครอบครัวเรา”
“ต้องแยกก่อนว่าตัวผมเองกับตุ๊กนี่คือหนึ่งครอบครัว คือเราจะมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่ เราจะมีแค่สองคน ผมไม่อยากให้ทุกคน สื่อมวลชนทุกฝ่ายทุกหรือแขนงอะไรก็แล้วแต่ ไปดึงบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง ผมเข้าใจว่าเนื่องจากว่า ในฐานะที่ผมก็เป็นสื่อมวลชนด้วยเองเนี่ย ประเด็นมันน่าสนใจ ที่เขาบอกว่าเป็นมือที่สามหรืออะไรก็แล้วแต่ เพราะฉะนั้นผมขอปฏิเสธ และอย่าเอาบุคคลที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะว่าเขาก็มีชื่อเสียง มีหน้ามีตาในสังคม และก็มีพ่อมีแม่ที่รักและเป็นห่วงนะครับ เพราะฉะนั้นการที่เราพูดอะไรแล้ว ไปทำร้ายใคร แล้วเขารู้สึกไม่มั่นใจในชีวิต ทำให้เขาศูนย์เสียอิสรภาพ หรือว่าทำให้คนเข้าใจผิด ในการมองอีกฝั่งหนึ่งเป็นมือที่สาม ผมว่ามันเป็นสิ่ิงที่ลูกผู้ชายอย่างผมไม่ควรทำ"
ปฏิเสธว่า “ไฮโซโม” ไม่ใช่มือที่สาม แต่ยอมรับว่าสนิทกับอีกฝ่ายจริงๆ
"สนิทกันจริงครับ ก็สนิทกันจริง ไม่รู้ว่ามาสนิทกันตอนไหนใช่ไหมครับ ก็คือผมทำงานอีเว้นท์ของฮั่วเซ่งเฮง ไปทำงานพิธีกรก็เนื่องจากว่าก็เป็นงานสนุกสนาน งานเลี้ยงแซยิด 60ปี ฮั่วเซ่งเฮง ผมก็ทำหน้าที่ของผมอย่างเต็มที่ในงานวันนั้นก็สนิททั้งญาติของทางน้องโมด้วย ก็สนิทกันได้เร็ว หลังจากงานนั้นก็จะมีโอกาสคุยงานกันอย่างต่อเนื่องว่า เอ๊ะ…ถ้ามีงานอีก ก็ส่วนมากจะเป็นเรื่องของงานมากกว่า เพราะฉะนั้นผมไม่ทราบว่าข่าวมาได้อย่างไร พอข่าวมาเป็นแบบนี้ผมก็จะบอกว่าที่มาที่ไปมันคืออะไร เพราะบางคนก็สงสัยว่ารู้จักกันได้ยังไง"
"แต่ยืนยันความสัมพันธ์ไม่มีนอกเหนือเกินคำว่าเพื่อนครับ ผมคิดว่าถ้าผมจะตัดสินใจทำอะไรในครอบครัวต้องชัดเจน แล้วก็ผมเป็นหัวหน้าครอบครัว วันหนึ่งถ้าเกิดผมทำอะไรต่างๆ สิ่ิงที่ผมต้องคิดมากที่สุดคือลูกสองคน ณ วันหนึ่งคือตอนนี้เขาอาจจะไร้เดียงสา ยังไม่รู้เรื่อง แต่ถ้าวันหนึ่งเขาโตขึ้นมาอ่านหนังสือได้ ข่าวก็ยังเป็นข่าวครับ เขาก็สามารถย้อนกลับมาดูได้และถ้าผมจะพูดอะไรเนี่ย หรือว่าตัดสินใจอะไรไป มันต้องดีที่สุดสำหรับเขาครับ"
"พอมีข่าวออกไป ผมก็ได้พูดคุยกับน้องโมครับ เนื่องจากว่าเรารู้จักกัน ก็พูดคุยว่ามันเป็นแบบนี้้นะ ขอโทษด้วยที่โมเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย (คือเราโทร.ไปขอโทษเขา?) ก็พูดคุยกันว่าข่าวมันเป็นแบบนี้ ผมก็ตกใจเหมือนกัน ทางนู้นเขาบอกว่าเขาไม่ได้เกี่ยวข้องอะไร ก็ช่วยชี้แจงด้วย"
"ส่วนกับตุ๊กผมก็คุยกับตุ๊กว่าผมจะพูดแบบนี้นะ ว่าทุกทีที่ผ่านมาก็ไม่ได้ปัญหาอะไร ผมก็บอกตุ๊ก เราต้องคุยแล้วล่ะ เพราะบางทีเราก็เป็นครอบครัวธรรมดา ที่ก็ต้องกระทบกระทั่งกันบ้างเป็นเรื่องธรรมชาติครับ (แต่คำสัมภาษณ์ของตุ๊กที่บอกว่าตกลงเป็นยังไงให้มาถามบ๊วย เหมือนงอน?) ให้มาถามผมใช่ไหมครับ ไม่ๆ ถ้าเกิดจริงๆ แล้วเราอยู่ในข่าวหรือในสายงานจริงๆ เราจะรู้ว่าการสัมภาษณ์ ณ วินาทีนั้น คนสัมภาษณ์รู้สึกอย่างไรพูดออกไป แต่คนเขียนก็คงมีการใช้คำว่าเอาความรวมนั้นแหละ และมันมีถึงสามกระบวนการในการสื่อสารด้วยกัน คือจากคนพูดสื่อสารไป คนที่สองคือฟังแล้วรู้สึกอย่างไร มันจะบอกว่าไม่มีความรู้สึกเลยคงเป็นไปไม่ได้ มันไม่เป็นการถอดคำพูดเหมือนในคดีของศาลนะครับ สามคือคนดูและอ่านข่าวก็เป็นที่มาว่าทำไมเราถึงมารวมตัวกันอยู่ตรงนี้"
เมื่อถามต่อว่า “ตุ๊ก” เข้าใจและไม่ได้รู้สึกอะไรกับข่าวนี้ หรือว่ามีการเคลียร์กันแล้วใช่หรือไม่? เจ้าตัวก็บอกว่า…
"ไม่มีอะไรตั้งแต่แรกอยู่แล้วครับ ถ้ามีปัญหาก็มีปัญหาผมกับตุ๊กครับ ข่าวนี้กระทบความสัมพันธ์แน่นอนครับ ดูสิครับผมไม่เคยมีชีิวตต้องมานั่งถูกสัมภาษณ์เยอะขนาดนี้ ด้วยเรื่องนี้ครับ ก่อหน้านี้เราก็มีเรื่องทะเลาะกันเป็นธรรมดาครับ เรื่องของการทะเลาะ แต่ถามว่าหนักแค่ไหน ผมขออนุญาต ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องส่วนตัว และผมก็ขออนุญาตไม่พูดเพราะว่าหนึ่งผมก็เป็นผู้ชายครับ ถ้าเกิดพูดไปว่าทะเลาะกับตุ๊กเรื่องอะไร ใครไม่ดีใครถูกใครผิด มันก็ไม่ดีไม่สมควรใช่ไหมครับ"
"แต่ยืนยันครับว่าไม่ได้ทะเลาะกันเกี่ยวกับมือที่สาม กรุณาอย่านำมือที่สามเข้ามาเกี่ยวข้อง เพราะว่าจะทำให้เรื่องใหญ่โต ผมเชื่อว่าทุกครอบครัวก็ต้องมีปัญหา เป็นปัจเจกครอบครัว ผมก็มีของผม ตุ๊กเองก็ไม่ได้โมโหไม่ได้โกรธกับเรื่องโมเลย (อย่างนี้กระทบความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อนไหม มีช่องว่างระหว่างกัน?) ใช้คำว่าช่องว่างระหว่างกัน คือผมพูดอะไรผมต้องระวังมากเลยนะจริงๆ บางทีเนี่ย อย่างที่บอกมันมีด้วยกันสามตอน มันเป็นความรู้สึกที่ไม่่มีอะไรยืนยันว่าไม่มีอะไร”
“ถามว่ากระทบความสัมพันธ์ไหม การที่คนเราจะเลิกคบกัน ก็น่าจะมาจากปัญหาของคนสองคนถูกไหมครับ เลิกคบกันไม่ได้บอกว่าเป็นแฟนกันนะครับ เลิกคบกันชี้แจงว่าเป็นเรื่องของเพื่อนกัน การที่เราจะเลิกคบเพื่อนเป็นเพราะว่าเป็นข่าวเหรอ ต้องถามเหตุผลว่าเราจะเลิกคบเพื่อนด้วยเหตุผลอะไร ถ้าถามผมก็คงไม่ กับโมก็มีไปกินข้าวและไปกินก็ไม่ได้ไปคนเดียว หรือว่าไปกันสองคนกับโมอยู่แล้วนะครับ ก็ไปกับพี่ชายเขา แต่ด้วยภาพผู้หญิงผู้ชายมั้งครับ ผมว่าน่าจะถูกมองว่าไปกันสองคน หรือว่ายังไงก็แล้วแต่"
ส่วนที่มีข่าวว่าผู้ใหญ่บอกว่าถ้า “บ๊วย” จะคบ “โม” ก็ให้ไปเลิกกับ “ตุ๊ก” ก่อน? บ๊วยยืนยันเป็นเรื่องที่ตลกมาก
"อันนี้ผมตลกมาก นอกจากแปลกใจ จะใช้คำว่าตลกก็จะดูหน้าหมั่นไส้ ใช้คำว่าแปลกใจมากว่า ผู้ใหญ่เกี่ยวข้องอะไร การที่เราดึงผู้ใหญ่มา ชื่อก็บอกแล้วว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นผู้ใหญ่ทางฝ่ายไหนก็ตาม ผมคิดว่าไม่สมควรที่จะดึงผู้ใหญ่เข้ามาเกี่ยวข้องและก็ยืนยันแล้วว่า ความสัมพันธ์ระหว่างผมกับโมก็เป็นคนรู้จักกันครับ (มีข่าวเม้าท์แรงขนาดว่าตอนนี้บ๊วยหลงโมมาก?) ผมตอบยากมากนะครับ คำว่าหลงมันคืออะไร มันน่าจะเป็นเรื่องของคนที่คบกันมากกว่า ผมกับโมไม่ได้คบกันครับ ไม่ใช่ความรักครับ"
ย้ำถามถึงความสัมพันธ์ในครอบครัวท้ายที่สุดแล้วตอนนี้เป็นยังไง? บ๊วยเคลียร์ว่า….
"ทุกวันนี้อย่างที่บอกว่ามีปัญหา ผมก็พยายามปรับตัวให้ดีที่สุดอยู่แล้วนะครับ คำว่าครอบครัวหรือว่าลูกน่าจะสำคัญที่สุดในชีวิตของผมและก็ตุ๊กนะครับ เราสองคนก็จะทำหน้าที่พ่อและแม่ให้ดีที่สุด ถามว่าตอนนี้ผมพยายามแก้ปัญหา ถามว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ไม่ทราบ (ในส่วนของสามีภรรยาล่ะ?) ผมไม่ทราบจริงๆ ครับ ถ้าเกิดพูดไปปุ๊บวันหนึ่งเป็นอะไรยังไงก็แล้วแต่ มันไม่ได้แย่มากและมันก็ไม่ได้ คือ ณ วันหนึ่งมันเกิดอะไรขึ้นก็ได้ เพราะว่าอนาคตเป็นอะไรที่ไม่แน่นอน"
"ถามว่า ณ ตอนนี้ถือว่ายังเป็นครอบครัวที่สมบูรณ์อยู่ไหม ผมก็กลับบ้านทุกวันครับ เวลาชีวิตผมก็เล่นเวท เลี้ยงลูก ทำงาน (ที่บอกว่าวันหนึ่งมันจะเกิดอะไรขึ้นก็ได้ นั่นแสดงว่าตอนนี้ยังไม่ชัดเจน?) ก็แค่ว่าวันหนึ่งคนเรามีปัญหาอะไร ผมเชื่อว่าคนเราก็เคยมีปัญหานะครับ เวลาเรามีปัญหา เราไม่รู้ว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร ก็ต้องแก้กันไปทีละจุด โดยเฉพาะข่าวในวันนี้ มันจะง่ายมากเลย ถ้าผมพูดว่าโอ๊ยยังรักกันดี แต่ผมไม่อยากโกหกความรู้สึกตัวเอง ก็แค่บอกว่าตอนนี้ก็มีปัญหาก็เท่านั้นเองครับ”
“ต่อไปผมก็จะพยายามทำให้ดีที่สุด โดยยืนบนพื้นฐานของความถูกต้อง และก็ความเหมาะสม (ณ วันนี้ความสัมพันธ์ในครอบครัวถึงขั้นแตกหักไหม?) ผมพูดไม่ได้จริงๆ ครับ ถ้าวันหนึ่งผมพูดอะไรไป แล้วผมเชื่อว่าลูกอ่านหนังสือได้ ทุกวันนี้ย้อนอดีตต่างๆ ข่าวก็เป็นข่าว มันเป็นข่าวอยู่ในกระแสสังคม วันหนึ่งคนสนใจแต่สามสี่วัน อาทิตย์หนึ่ง เดือนหนึ่งผ่านไปคนก็จะลืม แต่สำหรับครอบครัวผมมันสำคัญ และมันก็จะอยู่ตลอดไป"
เจ้าตัวเลี่ยงที่จะตอบ หลังผู้สื่อข่าวแย็บถามว่าที่ยังไม่ชัดเจน เพราะอยู่ในกระบวนการของการตัดสินใจหรือเปล่า? โดยบอกว่า…
"ทุกวันนี้ผมก็กลับบ้านครับ ไม่ได้มีอะไร ผมเชื่อว่าใครที่่มีครอบครัวไม่อยากจะเลิกหรอกครับ ใช่ไหมครับ และก็อะไรต่างๆ เนี่ย ก็คงต้องตัดสินใจหลายอย่างๆ ครับ ถามว่าวันนี้ฟังอาจจะดูแย่มาก วันพรุุ่งนี้อาจจะไม่ดูแย่อย่างนี้ก็ได้ เนื่องจากว่าผมเองก็พูดในฐานะที่นอนไม่หลับ แล้วก็เครียดนะครับ จะบอกว่าคนอื่นที่นั่งทำรายการก็สนุก ผมก็อยากจะเล่นด้วย แต่ก็จะถูกมองอีกว่ามีอย่างนี้ยังสนุกสนานได้อีก คือผมเชื่อว่าการอ่าน การเสพ การทำอะไรก็แล้วแต่กับข่าวนะครับ เรามาพร้อมกับการวิเคราะห์ตามเสมอ เพราะฉะนั้นผมต้องทำงานเป็นคนทำงาน บางคนอาจจะเข้าใจ บางคนอาจจะให้กำลังใจขอบคุณครับ บางคนอาจจะไม่เห็นด้วย บางคนอาจจะหมั่นไส้ไม่เป็นไรครับ ผมก็คิดว่าผมได้ทำหน้าที่ หรือว่าพยายามไม่พูดอะไรที่กระทบทุกๆ ฝ่ายให้มากที่สุดครับ"
"เมื่อคืนตุ๊กป่วยเข้าโรงพยาบาล ผมก็เป็นคนพาไปโรงพยาบาลเองครับ (เครียดกับข่าวหรือว่ายังไง?) ผมไม่ทราบเหมือนกันครับ ก็ปวดหัวตัวไม่ได้ร้อนมาก เหมือนจะอาเจียนอย่างนี้ ก็พาไปโรงพยาบาล แล้วก็ทานยา มียาฆ่าเชื้ออาจจะรับประทานอะไรไม่ค่อยดี ก็ปรึกษาหมอว่ายาฆ่าเชื้อทานเข้าไปมีผลต่อลูกไหม เพราะว่าลูกต้องกินนมตุ๊ก ก็ดูแลกันไปแบบนี้ครับ งานตอนช่วงบ่ายที่ต้องออกคู่กันคงไม่ได้ไป(วันนี้มีงานที่บ๊วยกับตุ๊กต้องออกงานคู่กัน) ทีแรกผมถามว่าไปคนเดียวได้ไหม อะไรต่างๆ เนี่ยไม่ได้เกี่ยวกับว่ากลัวสื่อมวลชน กลัวผมก็ไม่ได้มานั่งตรงนี้ ผมคิดว่าผมบริสุทธิ์ใจผมมานั่งแล้วก็พูดคุยดีกว่า"
อาจจะเพราะว่าแคนเซิ่ลงานวันนี้เลยทำให้เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นมาหรือเปล่า?
"ผมพูดไปเชื่อไม่เชื่อก็เป็นเรื่องของคนอื่นแล้วกันนะครับ ผมพูดตามความรู้สึกและความจริงที่ผมเจอ ก็คือว่าตุ๊กป่วยจริงครับ ผมพาไปโรงพยาบาลจริง เขาไม่ไหวเพราะว่าเขาดูแลลูก เพราะฉะนั้นควรไปไหมครับ ผมคิดว่าไม่ควรไปนะครับ"
โดยในครั้งนี้ ทางรายการคันปากได้เปิดเทปการให้สัมภาษณ์ของ “ตุ๊ก ชนกวนันท์” ด้วยว่า…
“ข่าวก็คือข่าว ตุ๊กไม่ได้รู้สึกอะไร สิ่งที่สำคัญที่ทำให้รู้สึกก็คือลูก ไม่รู้ว่าคนอื่นรู้สึกคลุมเครือหรือว่าอะไร การที่เรารู้สึกว่าเรายังมีครอบครัวอยู่ ทุกคนมีหน้าที่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด พี่บ๊วยก็ไปทำงานกลับมาบ้าน ดูแลลูกด้วยกัน พ่อแม่ที่ได้เลี้ยงลูกด้วยกันมันหาที่ไหนไม่ได้ แล้วก็หาไม่ได้ง่ายๆ เรามีความสุขกับการเลี้ยงลูก มันไม่สามารถสร้างขึ้นได้เป็นเรื่องของพ่อแม่ เพราะฉะนั้นเราก็เติมความหวานกันระหว่างเลี้ยงลูก ไม่ได้มีปัญหา นั่นเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกสวีท”
“เราอยู่ด้วยกันเห็นหน้ากันทุกวัน อะไรที่เรารู้ก็รู้ อะไรที่เราไม่รู้ เราก็ไม่ต้องรอข่าว แล้วค่อยมาถาม บางทีแล้วเรา2 คนต้องรู้เอง การอยู่ด้วยกันมันกลมๆ ผลัดกันไปผลัดกันมา ความรักมันไม่มีเหตุผลไม่มีศักดิ์ศรีอยู่แล้ว เราดูแลกันในสิ่งที่เราทำได้และทำให้ดีที่สุดด้วยหน้าที่ของภรรยา พี่บ๊วยเองก็ตั้งใจทำงานและดูแลลูก ตุ๊กก็ตั้งใจ แล้วก็เป็นหน้าที่ที่เราเห็นแล้วว่าควรเลี้ยงลูกเป็นหลัก เพราะไม่อยากให้คนอื่นเลี้ยง อยากให้ลูกเติบโตกับแม่ เป็นความเหนื่อยบนความสุข”
“สุดท้ายก็ขอขอบคุณที่เรามีกันและกัน เราทุกคู่ก็มีเรื่องราวของแต่ละชีวิตคู่ ขอบคุณที่เขาเป็นสามีที่ดี เป็นพ่อที่ดีของลูก ครอบครัวมันขาดคนใดคนนึงไปไม่ได้อยู่แล้ว ขอบคุณที่เขาเป็นส่วนหนึ่ง รวมกันเป็นครอบครัวและสร้างมันขึ้นมา ชีวิตมันก็มีเรื่องราวในชีิวิตแต่ละวันไม่เหมือนกัน และเรื่องมันก็เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ตามสภาพของแต่ละวัน แต่เอาเป็นว่าถ้าเราเข้มแข็ง และเป็นกำลังใจให้กัน ก็เชื่อว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันทุกวันอย่างมีความสุขค่ะ”