Facebook...teelao1979@hotmail.com
รุ่นพี่ที่ออฟฟิศของผมคนหนึ่ง เอ่ยถามเชิงอยากรู้ว่า หนังตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาคที่ 4 ดีหรือไม่ดี น่าดูหรือไม่น่าดู ก่อนจะปิดท้ายด้วยประโยคที่น่าคิดว่า ทำไม ในช่วงหลังๆ คนรอบตัวถึงไม่ค่อยตื่นเต้นหรือพูดถึงหนังแฟรนไชส์ชุดนี้เหมือนเมื่อยุคแรกๆ อีกต่อไปแล้ว อย่างน้อยที่สุด ก็ภาคที่ 4 นี้ ซึ่งพี่แกย้ำว่า คนรอบข้างพากันเงียบกริบ ราวกับว่า หนังยังไม่ได้เข้าฉายด้วยซ้ำไป
ด้วยความที่ไม่สามารถจะไปกำหนดรู้ใจของผู้ใดได้ว่าเพราะอะไร ความสนใจของผู้คนที่มีต่อหนังฟอร์มยักษ์ของท่านมุ้ย-หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล จึงค่อยๆ ลดน้อยถอยลงไปอย่างที่เห็น อย่างไรก็ดี คงไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกกระมังครับ หากแต่หลายคนก็คงจะบอกว่า ไม่ใช่เพราะไม่รักชาติ ไม่ใช่เพราะไม่ศรัทธาในสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแต่อย่างใด หากแต่เหตุผลที่ความสนใจของผู้คนซึ่งน้อยลงเรื่อยๆ นั้น น่าจะเป็นเพราะคุณภาพของหนังเองมากกว่า
พูดง่ายๆ ว่า ถ้าดัชนีความเชื่อมั่นของเจ้าโลกอย่างอเมริกาที่ลดลงมาเหลือแค่ 2 A ครึ่ง ผมคิดว่า หนังภาคที่สามของตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราชที่เข้าฉายไปเมื่อช่วงต้นปีนั้น ก็น่าจะเป็นปัจจัยที่สำคัญพอสมควรในการลดทอนความเชื่อมั่นของผู้คนต่อคุณภาพของหนังให้ลดลงตามไปด้วย
และที่สำคัญ มันดูเหมือนว่า หนังยิ่งทำไป ยิ่งดูเหมือนจะรักษาคอนเซ็ปต์ของตัวเองไว้ไม่มั่น คือไม่จำเป็นต้องพูดถึงความรู้สึกที่จะฮึกเหิมไปกับวีรกรรมความกล้าของบรรพชนแล้วเกิดรักชาติรักแผ่นดินขึ้นมาอย่างเข้มข้นแข็งขันนั้นที่แทบจะสัมผัสไม่ได้เลยในภาคที่ผ่านมา พลังของหนังในด้านอื่นๆ...บทภาพยนตร์ที่ดี ไดอะล็อกที่เจ๋งๆ หรืองานด้านโปรดักชั่นที่ควรจะยิ่งใหญ่อลังการ (อย่างฉากยุทธนาวี) ก็ดูจะ “อ่อนแรง” อย่างเห็นได้ชัด
แน่นอน เมื่อเป็นเช่นนั้น ย่อมส่งผลตามมาต่อความละล้าละลังของผู้คนที่ตัดสินใจไม่ถูกว่า จะไปดูหนังภาคที่ 4 ดีหรือไม่
แต่ผมขอบอกว่า อย่าได้กลัวอย่างนั้นเลยครับ!!
โดยส่วนตัว ผมมองว่า ความน่าสนใจของหนังภาคที่สี่นี้ นอกเหนือไปจากพล็อตหลักที่พยายามปักหลักอยู่กับการนำเสนอความกล้าหาญชาญชัยของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชแล้ว อีกส่วนที่ควรชม ก็คือ โครงสร้างของหนังซึ่งเปิดทางให้มีพล็อตรอง (Sup-Plot) อยู่หลายพล็อต และแต่ละพล็อตก็ทำหน้าที่ “ส่งสาร” แตกต่างกันไป
ไล่ตั้งแต่พล็อตเล็กๆ สั้นๆ เกี่ยวกับพระยาละแวกที่สะท้อนให้เห็น “ภัยใกล้ตัว” ของหอกข้างแคร่ ดังต้องการจะเปรียบโยงกับสถานการณ์ในโมงยามปัจจุบันอย่างไรก็อย่างนั้น
ขณะที่พล็อตในส่วนที่เกี่ยวกับเจ้าพระยากำแพงเพชรที่พ่ายทัพกลับมา หลายคนอาจจะมองว่า เพราะเหตุใด สมเด็จพระนเรศวรฯ ถึงดูจะใจไม้ไส้ระกำถึงเพียงนั้น แต่นั่นก็สะท้อนให้เห็นถึงความเข้มงวดกวดขันกับตัวเองให้มากๆ (ทั้งผู้นำและผู้ตาม) ในยามที่บ้านเมืองอยู่ในช่วงวิกฤติ
อีกพล็อตรองอันหนึ่งซึ่งผมคิดว่า หนังน่าจะเรียกคะแนนความสะเทือนใจหรืออารมณ์ร่วมในด้านเศร้าของคนดูได้เป็นอย่างดี ก็คงเป็นเรื่องราวของเลอขิ่นกับบุญทิ้ง จำได้ว่า เรื่องของคนคู่นี้ เคย “กรุ่นๆ” มาแล้วในภาคที่สอง แต่ภาคนี้ น่าจะถึงจุดสรุปเสียทีว่าอะไรเป็นอะไร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าจะมีจุดติเกี่ยวกับตัวละครทั้งสองนี้ก็คงเป็นฉากเลิฟซีนนั่นแหละครับ เป็นความล้นเกินที่ไม่จำเป็นเอาซะเลย เชื่อผมสิ มันไม่ได้ทำให้หนังดูสวยหรือดู “อีโรติกอาร์ต” ขึ้นมาแต่อย่างใด
แน่ล่ะครับว่า ขณะที่ความสะเทือนใจต่อเรื่องราวของ “พระรอง-นางรอง” ทั้งสองนั้น ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนของ “พระ-นาง” ของเรื่อง อย่างสมเด็จพระนเรศวรฯ กับมณีจันทร์ ก็เรียกความประทับใจได้เป็นอย่างดี ผมเชื่อว่า ซีนที่หยดน้ำตาของมณีจันทร์ตกแต้มพระพักตร์ของพระนเรศนั้น น่าจะเป็นอีกหนึ่งซีนที่ควรจัดได้ว่าดีที่สุดในบรรดาซีนทั้งหมดของหนังแฟรนไชส์ชุดนี้ ความเป็นห่วงบ่วงใยของมณีจันทร์ที่มีต่อกษัตริย์หนุ่ม ไปจนถึงความโศกาอาดูรของพระนเรศต่อการสูญเสียบางประการนั้น ถือเป็นอีกจุดที่สั่นสะเทือนอารมณ์อันอ่อนไหวของคนดูได้
สิ่งที่ผมชอบมากๆ ในภาคนี้ คือซีนอารมณ์ทั้งหมด ไม่แน่ใจว่า เป็นเพราะการไดเร็คต์ของท่านมุ้ย หรือทักษะการแสดงของตัวละคร หรือว่าเพราะทั้งสองอย่าง จึงทำให้ซีนอารมณ์ต่างๆ ที่เห็นในหนัง ทำให้คนดู “รู้สึกร่วม” ไปกับตัวละครได้อย่างจริงจัง แม้ลึกๆ ผมจะรู้สึกว่า ซีนอารมณ์แบบนี้ มันทำให้หนังขยับเข้าใกล้ความเป็น “ลิเก” หรือ “ละครน้ำเน่าทางฟรีทีวี” ไปบ้างก็ตามที
หนังภาคนี้ ใช้ชื่อว่า “ศึกนันทบุเรง” ซึ่งว่ากันว่าจะเป็นภาครองสุดท้าย ก่อนจะปิด “ตำนาน” แห่งบุรพกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้ในภาค “ยุทธหัตถี” ซึ่งหากไม่มี “เหตุขัดข้อง” เชื่อแน่ว่า ศึกครั้งมโหฬารยิ่งใหญ่จะเดินทางมาถึงในช่วงปลายปีนี้แน่นอน
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนที่ผิดหวังกับหนังภาคที่แล้ว และ/หรือ รู้สึกว่า เรื่องราวของสมเด็จพระนเรศวรฯ หนังทำออกมาได้ไม่น่าประทับใจอย่างที่ควรจะเป็น มาภาคนี้ น่าจะยินดีกันมากขึ้น ถึงแม้จะโดนแย่งซีนไปบ้างจากบรรดาซัพพล็อตที่เยอะจัด แต่เราก็จะได้เห็นบทบาทของสมเด็จพระนเรศวรฯ ในหลากหลายมิติ ทั้งความกล้าหาญ (เฉพาะอย่างยิ่ง ตอนพระแสงดาบคาบค่าย) ความเด็ดขาดตามบุคลิกของผู้นำในยามศึกสงคราม ไปจนถึงความน่าสงสารเวทนาอาดูร ทั้งหมดทั้งมวล ทำให้ผมคิดว่า ท่านมุ้ยสามารถกลับมาแก้มือได้สำเร็จ กับการทำให้บทบาท ตัวตน ตลอดจนวีรกรรมของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชกลับมาเจิดจรัสอีกครั้งหนึ่ง
และถึงตรงนี้ ผมเดาว่า ความเชื่อมั่นของคนดูที่มีต่อท่านมุ้ย ก็น่าจะกลับมาที่ระดับ AAA ได้แล้วล่ะครับ!!