“อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ คำสุภาษิตนี้อาจจะใช้ไม่ได้สำหรับ “แม่เล็ก ธนาภา คงมาลัย” แม่บังเกิดเกล้าของดาราสาว “ตั๊ก บงกช” ที่ปัจจุบันมีโรคประจำตัวรุมเร้าถึง 7 โรค ทั้งความดัน โรคหัวใจ เส้นปลายประสาทอักเสบ กระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ เบาหวาน หรือแม้กระทั่งดวงตาที่พร่ามัวจนเลือนราง จนเกือบเอาชีวิตไม่รอดหลายครั้งหลายครา
แต่ในความทุกข์จากสังขารอันไม่เที่ยงนั้น กลับมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ “แม่เล็ก” ฮึดสู้และมีกำลังใจที่จะมีลมหายใจต่อไปนั่นก็คือ ลูกสาวอันเป็นที่รักคนเดียว เพราะตั้งแต่ตนเจ็บป่วยจนต้องล้มหมอนนอนเสื่อนั้น “ตั๊ก” ได้เปลี่ยนไปเป็นคนละคน จากที่เคยเกเรมีเรื่องทะเลาะกันบ่อยครั้ง มีข่าวฉาวให้คนเป็นแม่ต้องปวดใจมาตลอด แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นเด็กที่ว่านอนสอนง่าย และหันมาดูแลเอาใจใส่ประพฤติปฏิบัติตัวดีขึ้นราวเป็นคนละคน เหมือนได้ลูกสาวคนใหม่ เหล่านี้ทำให้ “แม่เล็ก” มองข้ามความทรมานของโรคภัย แต่กลับรู้สึกขอบคุณแทนที่ทำให้ได้ลูกสาวคนดีกลับมา
“ตอนนี้เรื่องสุขภาพก็ดีขึ้น หมอบอกว่า ต้องค่อยรักษาไปเรื่อยๆ ต้องใช้เวลาเพราะเราเป็นหนัก ก็ป่วยรวมๆ แล้วก็ 7 โรค มีทั้งความดัน เบาหวาน หัวใจ ปลายประสาทอักเสบ กระเพาะ ลำไส้ แล้วก็ตา เพราะว่าเราเป็นพังผืดขึ้นอยู่ตลอด ขนาดตัวแมลงบินผ่านก็มองไม่เห็น ตอนนี้เดินไปไหนก็ต้องใช้ไม้เท้า เพราะถ้าล้มไปจะมีปัญหา แต่ตอนนี้ได้น้องตั๊กดูแลดี ซึ่งเขาทำหน้าที่ได้ดีเกินคาด เขาพาแม่ไปหาหมอตลอดเพราะเราชอบลืม ยาก็เยอะเวลาไปทำงานเขาก็จะพาเราไปด้วย ไม่อยากให้แม่อยู่คนเดียว”
“โดยเฉพาะเรื่องเวลาหมอนัด เขาจะเตือนเราวันหมอคนนี้นัดวันนี้นะ เราก็จะถามเขากลับว่าแกไม่มีงานเหรอ เขาก็บอกว่าไม่เป็นไรหนูนัดเวลาเขาแล้ว เวลาไปหมอนัดเขาก็จะเปิดดูคิวว่าว่าตรงกันหรือเปล่า ถ้าตรงกับงานก็จะขอเลื่อนซึ่งเขาเต็มใจ ตอนนี้ก็เป็นห่วงสุขภาพเพราะถ้าลูกล้มไปอีกคนเราคงแย่ เรื่องอื่นไม่ห่วงแล้วคือเขาเหนื่อยง่าย เราก็แค่เป็นห่วงตรงนี้”
แต่ละเดือนค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แค่ยารักษาโรคปลายประสาทอักเสบก็เกือบ 5 หมื่นบาท
“ค่ารักษาพยาบาลก็ค่อนข้างสูง แต่ว่าช่วงที่ค่าใช้จ่ายสูงเราผ่านกันตรงนั้นมาแล้ว ซึ่งตอนป่วยก็ไม่ได้มีผู้ใหญ่หรือใครมาช่วยเหลือเลยนะ เป็นเงินเก่า เงินเก็บที่ตั๊กทำงานเก็บๆ มา แล้วก็เงินจากการขายน้ำพริกบ้าง เราใช้กันแบบพอเพียงเพราะเราเคยลำบากมาก่อน”
“ค่าใช้จ่ายเฉพาะค่ายาอย่างเดียวไม่รวมค่าเจาะเลือด หาหมอ นอนโรงพยาบาลเดือนละ 5 หมื่น เพราะยามันแพงมาก หมายถึงแค่ยารักษาโรคปลายประสาทอักเสบอย่างเดียวนะ เคยถามหมอว่าทำไมยาแพง แล้วหมอบอกว่ายาเป็นยาอย่างดีที่สั่งพิเศษมาเลยเม็ดละ 800 บาท แล้วต้องกินวันละ 4 เม็ด แต่ยาโรคหัวใจเราจ่ายเดือนละ 5 พันเอง แต่ละเดือนแทบไม่อยากนับ ว่าต้องเข้าโรงพยาบาลกี่หน เพราะมีหมอรักษา 7 คน คนละโรคละด้านเลย”
เชื่อเพราะธรรมะที่ทำให้ลูกเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น
“ตอนนี้ภูมิใจมาก ดีใจที่ได้ลูกที่ดีๆ กลับมา แล้วเขาเปลี่ยนไปมาก เราเชื่อเรื่องธรรมะหรือทำดีได้ดี ยิ่งเขาไปบวชนะ มันยิ่งส่งผลดีกับตัวเรา เขาบอกกับเราว่า ถ้าแม่ไม่ดีขึ้นตั๊กจะไปบวชให้ ชอบเขาตรงนี้ เวลาเขาไปบวชแล้วมากราบเราน้ำตาก็ไหลทุกครั้งนั่นแหละ ปลื้ม ร้องเพราะความปลื้ม เราไม่คาดคิดว่ามันจะเป็นไปได้ขนาดนี้”
“อย่างที่ชัดเจนเรื่องก็คือเรื่องตา ตอนนั้นเรามองแทบไม่เห็นแล้วเพราะเป็นพังพืด ซึ่งหมอนัดผ่าตัดแล้วนะ ตั๊กเขาก็ไปบวชให้ แล้วก็บวชมาเรื่อยๆ สุดท้ายเราก็ได้รับผลบุญ เลยไม่ต้องไปผ่าตัดแล้ว มันมองเห็นชัดขึ้นเรื่อยๆ จนหมอยังแปลกใจว่าทำไมตาถึงดีขึ้น เราก็เชื่อว่าคงเป็นเพราะศรัทธาที่เขาบวชให้ มันยิ่งใหญ่จริงๆ และเราเชื่อว่าเขาตั้งใจทำให้เรา”
“คือเขาไปบวชให้เราโดยที่เราเพียงแค่แนะนำ ก็อยากให้เขารู้เรื่องธรรมะ เขาบวชที 3-4 วัน แล้วก็บวชมาหลายๆ ครั้งแล้ว เดี๋ยวนี้ว่างงานแค่วันเดียวเขาก็ไปบวชเพราะขอให้ได้บวชหรือเขาฟังเทศน์ มาก็จะเอาคำที่พระเทศน์นำกลับมาใช้ อย่างเขาเคยบอกว่า เวลาหนูแอบแม่ไปเที่ยวมันก็มีความสุขกับเพื่อนแค่ตรงนั้น แต่เวลาไปเที่ยวแล้วกลับบ้านมา หนูก็ทุกข์ว่าทำให้แม่เสียใจ”
“แต่เวลาไปบวชมันมีความสุขที่ไม่ต้องทะเลาะกับแม่ หรือแม้กระทั่งเรื่องความรัก ตอนเขามีความรักเขาก็ทุกข์ว่าแฟนตอนนี้อยู่ไหนทำอะไรกับใคร แต่พอไปพึ่งธรรมะ ทำให้เขาสามารถปล่อยวางเรื่องนี้ได้ เรียกว่าเปลี่ยนเป็นคนละคนเลย จากแต่ก่อนที่เขาใจร้อน หงุดหงิดโมโหง่าย กลายเป็นว่าเดี๋ยวนี้ดีขึ้นเยอะ ไม่วีนไม่เหวี่ยงแล้ว”
โชคดีที่ป่วยหนักเจียนตาย ไม่น่าเชื่อว่าลูกสาวสามารถเช็ดอุจจาระ ปัสสาวะได้
“แต่ถ้าย้อนกลับไป ถ้าเราไม่ป่วยหนักขนาดนี้ ตั๊กอาจจะไม่ได้มาดูแลเราก็ได้ แต่ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนเขาไม่ดูแลนะ อาจจะมีเกเรบ้างหรือมีขัดแย้งกันบ้าง เขาจะโกรธเวลาเราห้ามทำนั่นนี่ แต่ตอนนี้เราขออะไรไปเขาทำได้หมด เรามีกำลังใจนะ คนเราป่วยถ้าลูกไม่ดีมันก็ไม่มีกำลังใจ แต่ตอนนี้เราได้กำลังใจจากเขามาก ไม่เครียดไม่เศร้าและสบายใจเรื่องเขา”
“ถามว่าท้อไหมที่ต้องเข้าโรงพยาบาลบ่อยๆ คือตั๊กเขาทำตัวไม่ดี ก็อาจท้อ แต่เดี๋ยวนี้เราไม่ท้อเลยเวลาไปโรงพยาบาลก็จะไปเป็นเพื่อนตลอด ข่าวต่างๆ ในแง่ลบของเขาก็ไม่ค่อยมีแล้ว เขาดูแลเราทุกอย่างนะ อย่างเมื่อก่อนเราเป็นหนัก ล้างก้นไม่ได้ เขาก็ทำให้เรา มาช่วยล้างช่วยเช็ด และก็มีช่วงที่เราถ่ายหนักไม่รู้ตัว เขาก็ทำให้เช็ดให้ล้างให้ก็ไม่คิดว่าเขาจะทำได้ ซึ่งเขาเคยจ้างพยาบาลมานะ แต่ทำไม่เหมือนเขา กลัวทำให้แม่ได้ไม่ดีเขาเลยทำเองดีกว่า”
“เรื่องแม่จะตายเขากลัวมาก ถ้าวันหนึ่งแม่จะเจ็บหนักหรือเป็นอะไรไป เพราะเราเคยบอกกับตั๊กว่า แม่ไม่ไหว แม่สงสารตั๊กไม่อยากให้ลูกต้องจ่ายเงินเยอะ เขาบอกเลยว่า แม่อย่าพูดอย่างนี้นะ หนูเป็นลูก หนูต้องดูแลแม่ให้ดีที่สุด หนูมีแม่คนเดียว ต่อให้มีเงิน ก็ไปจ้างแม่คนอื่นมาเป็นแม่แทนมันไม่ได้ เราก็ซึ้ง เขาก็โกรธมากถ้าพูดถึงเรื่องนี้ ชีวิตนี้เราก็อยู่กันสองคน เราไม่รู้จะมีชีวิตอยู่ได้อีกนานแค่ไหน แต่ทุกวันนี้เขาทำดีที่สุดแล้ว”
“ทุกวันนี้พอใจสุดๆ เป็นความสุขตอนบั้นปลายชีวิต เคยนอนคิดว่ามันคุ้มนะ ที่เรามานอนป่วยนอนเจ็บแล้วลูกเรามาดูแล แต่ช่วงที่เขาไม่ดูแลเรา ไปเที่ยวกับเพื่อนแล้วเรามาเครียดตรงนี้สิมันไม่คุ้ม ตรงนี้มันคุ้มมาก เรื่องเที่ยวเขาก็ไม่มีแล้ว เรื่องอนาคตเราก็ยังไม่รู้ว่าเขาจะทำยังไงต่อ จะหาเลี้ยงแม่ยังไง แต่เชื่อว่าเขาจะทำได้ดีที่สุด”
ฝากถึงลูกๆ ควรดูแลแม่ตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ อย่ารอให้ทุกอย่างสายไป
“หลายคนที่ยังมีแม่ที่ร่างกายสุขภาพแข็งแรงดี แล้วปล่อยปละละเลยก็อยากให้เขาคิดด้วยว่า คำว่าแม่นั้นมีความหมายมาก แม่ใช้เวลาอุ้มท้องมา 9 เดือน ระหว่างนั้นแม่มีความยากลำบากมาก เวลากินจะกินของร้อนก็ไม่ได้ กินของเผ็ดก็ไม่ได้ คือแม่คอยทะนุทนอม ถ้าคนเป็นลูกไม่สนใจแม่ ไม่ดูแลแม่ ยิ่งเวลาแม่ป่วยแม่เจ็บไม่ตอบแทนบุญคุณ คิดว่าไม่เจริญหรอก”
“เราต้องมีจิตสำนึกที่ดี อยากให้คิดว่า ตอนเราเป็นเด็กเสียใจร้องไห้มา เราก็ต้องวิ่งกลับไปซบอกแม่ ก็อยากให้คิดดูให้ดีแล้วกัน เวลาแม่อยู่ แม่ยังแข็งแรงดี ก็อยากให้ดูแล ไม่ใช่ว่าเห็นแม่ตายนอนในโลงแล้วไปเคาะว่าหนูเอาข้าวมาให้แล้วนะ ช่วงที่มีชีวิตอยู่ต้องทำให้ดีที่สุด”