อันที่จริง ผมกะไว้ในใจว่าจะเขียนถึงเรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่หนังอย่าง Transformers 3 เข้าฉาย และผมมีโอกาสได้เข้าไปดูหนังเรื่องดังกล่าวในระบบสี่มิติ หรือ 4D แล้วมีความรู้สึกนึกคิดหลายๆ ประการที่อยากจะพูดถึง
เชื่อเหลือเกินครับว่า สำหรับคนที่ดูหนังโรงเป็นประจำ โดยเฉพาะโรงหนังในเครือเมเจอร์ ย่อมจะเคยผ่านตาโฆษณาชิ้นหนึ่งซึ่งพูดถึงโรงหนังฟอร์มใหม่ที่จัดฉายในระบบสี่มิติที่พารากอนซีนีเพล็กซ์
แน่นอนว่า ไม่ใช่แค่ผมคนเดียวหรอกครับที่อาจจะรู้สึกตื่นเต้นไปกับโฆษณาชิ้นดังกล่าวบ้าง ไม่มากก็น้อย เพราะภาพที่หนังโฆษณาสื่อออกมา มันทำให้เกิดความรู้สึกว่า อัตราความตื่นเต้นหรืออรรถรสการมีอารมณ์ร่วมไปกับฉากหรือเรื่องราวของหนังนั้น คงจะเพิ่มพูนทวีคูณ หากคุณและผมเดินเข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงระบบสี่มิติ
ก็แอบคิดแอบจินตนาการไปล่ะครับว่า มันน่าจะเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ก่อนที่วินาทีแห่งการพิสูจน์ความจริงจะมาถึง ผมกับทีมงานรายการ “การันตีหนัง” ของช่องซูเปอร์บันเทิง แท็กทีมกันตีตั๋วเข้าไปดูทรานสฟอร์เมอร์ส 3 ในรูปแบบ 4 มิติที่พารากอน หลังจากเสียเงินให้กับระบบสามมิติมาแล้วก่อนหน้า
คือต้องยอมรับว่า เป็นความพยายามของทางเมเจอร์ล่ะครับที่อยากจะจูนประสาทสัมผัสของคนดูให้ “ร่วม” ไปกับหนังได้มากยิ่งขึ้น ทั้งรูป รส กลิ่น เสียง และอีกหลายสิ่งหลายประการ แต่ถึงกระนั้น เราคงมิอาจมองข้ามในความเป็น “ของใหม่” ซึ่งอะไรๆ อาจจะยังไม่ลงตัว ไม่เข้าที่เข้าทาง และอีกปัจจัยหนึ่งซึ่งผมคิดว่าสำคัญไม่น้อยไปกว่ากัน ซึ่งทำให้การดูหนังสี่มิติของผม (และของใครอีกหลายคน) ไม่น่าปลื้มใจเท่าที่ควร ก็คือว่า หนังเรื่องที่ดู (ไม่ว่าจะเป็นทรานสฟอร์เมอร์ส 3 หรือกัปตันอเมริกา) ไม่ได้ถูกออกแบบมาสำหรับการรับชมในฟอร์แม็ทสี่มิติโดยตรง
ความสี่มิติที่เราได้เห็น จึงเป็นสี่มิติที่เกิดจากจินตนาการความนึกคิดของทางโรงหนังซึ่งมาเติมเข้าไปเอง ซึ่งหลังจากที่ได้ดูและสัมผัสแล้ว ผมก็ยังมองเห็นว่ายังอยู่ในขั้น “พยายามทำ” อยู่
ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผมรู้สึกว่า ทางโรงหนังสี่มิติทำได้ดีมากๆ ก็คงเป็นเรื่องของการออกแบบเก้าอี้ที่นั่งนั่นล่ะครับ มันกว้างขวางและนั่งสะดวกสบายดี
ส่วนเรื่องเทคนิค ที่เวิร์กที่สุด คงเป็นเรื่องการดอลลี่เก้าอี้ที่นั่งให้ลอยคว้างขึ้นลง (โดยเฉพาะในจังหวะที่เครื่องบินบินนั้น จะสัมผัสได้ชัดเจนที่สุด) ส่วนเรื่องลม (เวลารถวิ่ง) เรื่องกลิ่น อะไรต่างๆ นั้น ยังไม่น่าประทับใจ อย่างเรื่องทรานสฟอร์เมอร์ส ไอ้กลิ่นหม้อแปลงไฟฟ้าเผาไหม้ โรงหนังน่าจะเล่นได้มากกว่านี้ ขณะที่เทคนิคการใช้น้ำ ผมรู้สึกว่า มันเหมือนกับโดนปัสสาวะจิ้งจกตกใส่มากกว่า
เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นความภาคภูมิใจนักหนาของโรงหนังสี่มิติ ก็คือ การเล่นกับเก้าอี้นั่นแหละครับ ทั้งสั่น กระตุก และเอนซ้ายเอียงขวา คือช่วงแรกๆ ก็รู้สึกว่าแปลกใหม่ น่าตื่นเต้นอยู่หรอกครับ แต่ไปๆ มาๆ โรงหนังก็ดูเหมือนจะสนุกกับการละเล่นกับเทคนิคดังกล่าวนี้แทบจะตลอดเวลา แบบที่เรียกได้ว่า เอะอะอะไร ก็สั่นสะเทือนเก้าอี้ไว้ก่อน ให้มันดูมีมูฟเมนต์เยอะๆ ทั้งๆ ที่บางที มันไม่จำเป็นต้องมากมายขนาดนั้น และที่สำคัญ ผมว่าการทำแบบนั้น มันแย่งสมาธิในการรับชมหนังไปเยอะเลยนะครับ ต้องคอยระวังเก้าอี้มันจะสั่นสะเทือน หัวสั่นหัวคลอน โคลงเคลงไปมาอยู่นั่น (นั่งไม่ดี มีหวังตกเก้าอี้ได้เหมือนกัน)
ดังนั้น ความรู้สึกเชิงสรุปรวบยอดประสบการณ์ทั้งหมดสำหรับการดูหนังในโรงภาพยนตร์สี่มิติสำหรับผม ณ วินาทีนี้ การนั่งอยู่บนรถสักคนที่วิ่งไปบนทางวิบาก ก็ได้ความรู้สึกไม่ต่างกันสักเท่าไร
แต่เอาเถอะ ถึงมันจะไม่น่าประทับใจเท่าไรนัก ผมก็ยังเข้าใจครับว่า มันเป็นก้าวแรก ซึ่งอะไรที่ขึ้นชื่อว่า “ครั้งแรก” หรือครั้งที่หนึ่ง ใช่ว่ามันจะเวิร์กได้ใจเสมอไป ถึงกระนั้น ถ้าจะคิดว่ามันเป็นการ “เตรียมตัว” เพื่อต้อนรับการมาถึงของหนังสี่มิติ ที่ทำออกมาเพื่อฉายในระบบสี่มิติโดยตรง ก็ถือว่าไม่เป็นการสูญเปล่าครับ
และถึงตอนนั้น ค่อยมาว่ากันอีกทีว่า ถ้ามีหนังที่ทำขึ้นเพื่อฉายในระบบสี่มิติ เข้าฉายแล้ว ผลลัพธ์ความสนุกหรืออรรถรสในการรับชม มันจะเวิร์กกว่านี้ไหม?