“บัณฑิต ทองดี” ผู้กำกับหนัง “พุ่มพวง” ยืนยันเดินหน้าฉายหนังต่อ หลังกรณีลูกสาว “ธีระพล” ยื่นโนติสต์ให้ระงับฉาย เหตุไม่พอใจที่บิดเบือนชีวิตพ่อ บอกเจตนาบริสุทธิ์ในการสร้าง ไม่ฟังธงอีกฝ่ายต้องการเรียกร้องเงินหรือไม่ ลั่นหากมาเคลียร์ตัวต่อตัวก็พร้อมจ่ายค่าลิขสิทธิ์ และไม่คิดสร้างกระแสด้วยวิธีนี้
เป็นเรื่องเป็นราวตั้งแต่ยังไม่เข้าฉายสำหรับภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ “พุ่มพวง” หลังจากมีกระแสข่าว “นางสุนีย์ อยู่กะเชนทร์” ลูกสาวของนาย “ธีระพล แสนสุข” แฟนคนแรกของราชินีลูกทุ่ง “พุ่มพวง ดวงจันทร์” ได้ส่งจดหมายทั้งน้ำตา ทักทวงในกรณีที่มีหลายสิ่งในภาพยนตร์ไม่ตรงกับความเป็นจริงของพ่อ ทั้งเรื่องของการเสียชีวิต และเรื่องความเจ้าชู้ ซึ่งสร้างความเสียหายให้กับครอบครัว พร้อมทั้งส่งทนายความยื่นหนังสือให้กับค่ายสหมงคลฟิล์ม ระงับการฉายภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว
ล่าสุด วานนี้ (19 ก.ค.) ได้มีการเปิดตัวภาพยนตร์พุ่มพวง รอบปฐมทัศน์ จึงได้สอบถามข้อเท็จจริงกับผู้กำกับภาพยนตร์ “อ๊อด บัณฑิต ทองดี” ซึ่งเจ้าตัวก็ชี้แจงว่าตนมีเจตนาดีในการสร้างภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว พร้อมยืนยันบทภาพยนตร์ไม่พาดพิงให้บุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงหรือทำให้เสียหายแน่นอน
“ต้องเรียนก่อนว่า ก่อนที่เราจะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เราได้มีการขออนุญาตตัวละครทุกตัวที่มีอยู่ในหนัง ไม่ว่าจะเป็นครูมนต์ ครูไวพจน์ ครอบครัว คุณพุ่มพวง ดวงจันทร์ คนรอบข้างที่มีตัวตนอยู่ในหนัง แต่ คุณธีระพล เราไม่รู้ว่าแกเสียชีวิตไปแล้ว ทายาทแกเป็นใคร เราก็ไม่รู้ เพราะไม่มีใครเจอทายาทแกเลย หลังจากที่แกเสียชีวิต เราพยายามตามหาโดยการประกาศทางหน้าหนังสือพิมพ์ก่อนสร้างหนัง แต่อาจจะไม่ถึงหูของลูกสาวคุณธีระพล เราก็แสดงเจตนารมณ์ความบริสุทธิ์ใจในการสร้างเราก็เลยสร้างต่อ”
“สิ่งที่ลูกสาวคุณธีระพล กังวล คือ เรื่องบทบาทกลัวว่าพ่อเขาจะเป็นคนไม่ดี ผมอยากให้มาดูหนังก่อน ผมยืนยันเลยว่าถ้าหนังเรื่องนี้คุณธีระพลดูไม่ดี คุณจะฟ้องกี่ศาลยังไงผมก็ยอม ในเรื่องคุณธีระพลเป็นคนที่ผลักดันและต่อสู้ ฝ่าฟันอุปสรรคมาพร้อมกับคุณพุ่มพวงจนได้กลายมาเป็นราชินีลูกทุ่ง ตอนจบอาจจะมีเรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ ที่ทะเลาะกันบ้างจนต้องแยกทางกันไป แต่มันก็เป็นเรื่องของชีวิตครอบครัวของมนุษย์ ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะฉะนั้นหนังเรื่องนี้คุณธีระพลจะไม่ใช่คนไม่ดีแน่ๆ”
“เรื่องบิดเบือนจากเรื่องจริงในหนังก็ไม่มีครับแต่จะเป็นเรื่องของการเล่าข้ามได้ หนังเรื่องนึงถ้าจะเล่าสิ่งที่ไม่ดีของแต่ละคนบางทีเราคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องเล่าขนาดนั้น อะไรที่ไม่ดีเผยแพร่ออกแล้วคนดูจะเสียความรู้สึกต่อบุคคลต่างๆผมว่าเราสามารถเล่าข้ามได้ บางอย่างที่อาจจะเป็นเรื่องจริงแต่เราไม่เลือกที่จะไม่เล่า เพราะเล่าแล้วจะทำให้คนรู้สึกไม่ดี หรือทำให้บุคคลที่พาดพิงเสียหายเราก็เลือกที่จะเล่าข้ามดีกว่า”
ยันไม่มีการระงับฉายภาพยนตร์แน่นอน บอกตั้งรับไว้แล้วว่าจะต้องเกิดกรณีฟ้องร้องเกิดขึ้น หรือแม้กระทั่งต้องเจอปัญหาต่างๆ พร้อมยืนยันความบริสุทธิ์ใจในการสร้างหนัง
“ผมให้เกียรติทางสหมงคลฟิล์มเป็นผู้ติดต่อประสานงานเคลียร์เรื่องนี้ มันเป็นเรื่องของทางบริษัทกับสำนักงานทนายความของเขา แต่ถ้าวันนึงถ้าเขาอยากเจออยากคุยกับผม ผมก็พร้อมที่จะไปคุยกันแบบเปิดอกถึงเจตนารมณ์ในการสร้างหนังเรื่องนี้ว่าเกิดเพราะอะไร เราเองก็เพิ่งได้รับเรื่องไม่ถึงอาทิตย์ซึ่งมันฉุกละหุกมากจึงไม่สามารถส่งหนังให้เขาดูได้ทัน แต่ก็อยากให้เขาได้ลองชมภาพยนตร์ดูก่อนว่ามันเป็นยังไงบ้าง”
“เบื้องต้นตอนนี้เราก็ได้ส่งทนายความไปเคลียร์แล้ว ด้วยตัวเขาเองก็ไม่กล้าออกมาจริงจังกับทางบริษัท เราพร้อมที่จะคุยกับเขา แต่ทางเขาส่งมาแต่ทนายอย่างเดียว เราคิดว่า การที่เขาส่งทนายมาคุยอย่างเดียวมันก็จะคุยกันไม่รู้เรื่อง ก็รอว่าเมื่อไหร่ที่เขาจะยอมคุยกับเราตรงๆ เรื่องของการระงับนั้นก็คงเป็นเรื่องยากเหมือนกันครับ เพราะถ้าจะระงับจริงๆคงต้องผ่านกระบวนการทางศาลเพื่อสืบสวนสอบสวน มีการประมวลต่างๆนานา เพื่อพิสูจน์จริงๆว่าเป็นการทำร้ายคุณธีระพลถึงจะสั่งระงับได้ ซึ่งต้องใช้เวลาป่านนั้นหนังก็คงออกจากโรงไปแล้ว ถ้าเขาชนะความเราก็คงต้องเสียค่าเสียหายให้เขา แต่ผมมั่นใจว่าเราทำดีแล้ว เราไม่ได้ทำให้ใครเสียหาย เราคิดว่าเราไม่น่าจะแพ้ครับ”
“ยังไงก็ยังยืนยันว่า หนังจะต้องฉายเพราะเราลงทุนกันมาเกือบ 30 ล้าน ส่วนเรื่องฟ้องร้องก็คงต้องให้ทางทนายความคุยกัน ตอนนี้ที่เราดูเรื่องของกฎหมายแล้วเราก็ไม่น่าจะเสียเปรียบ อาจจะต้องใช้ระยะเวลานึงในการสืบสวนสอบสวนรวบรวมข้อมูลก็คงเป็นเดือน ซึ่งหนังก็คงลาโรงไปแล้ว ตั้งแต่วันแรกที่ตัดสินใจทำผมรู้อยู่แล้วว่าหนังเรื่องนี้จะต้องมีปัญหาตามมาเยอะแน่ๆ ทุกอย่างผมได้ทำใจและตั้งรับไว้หมดแล้ว เราถึงพยายามขอทุกคนอย่างถูกต้องตามกฏหมายเท่าที่เราตามตัวได้”
ไม่กล้าฟันธงอีกฝ่ายต้องการเรียกร้องเงินหรือไม่ ยันหากมาเคลียร์กันยังไงตนก็ต้องให้ค่าลิขสิทธิ์อยู่แล้ว ปัดสร้างกระแสเพราะหนังจะไม่เป็นผลดี
“เราก็ไม่กล้าฟันธงขนาดนั้น เขาอาจจะบริสุทธิ์ใจที่จะอยากเรียกร้องจริงๆ ในการที่จะรักษาผลประโยชน์ของคุณพ่อเขา เราก็ไม่กล้าที่จะไปพูดว่าเขาต้องการเงิน เขาอาจจะไม่ต้องการเงินก็ได้ เราถึงต้องคุยกันถ้าคุยกันดีสามารถปรับความเข้าใจกันได้ยังไงเราต้องจ่ายเงิน เพราะบุคลิกของบุคคลที่เราใช้ในหนังเราจ่ายเงินทุกคน เราขออนุญาตอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกคน ส่วนเรื่องจะเป็นการสร้างกระแสให้กับหนังผมว่าคงไม่ใช่นะครับเพราะคุณสุนีย์มีตัวตนจริงๆ เท่าที่ฟังจากครอบครัวคุณพุ่มพวงเขาก็โกรธจริงๆ คงไม่สร้างกระแสหรอกครับ การมีกระแสแบบนี้ในมุมมองผมผมว่ามันไม่เป็นผลดีต่อหนังนะครับ เรื่องผลกระทบผมคิดว่ารายได้หนังคงไม่สะดุดหรอกครับ คิดว่าคนไทยเรามีการคิดแยะแยะออกและฉลาดขึ้น”