xs
xsm
sm
md
lg

The Hangover 2 : เมืองไทยเรานี้ ‘อั๊กลี่’ นักหนา?!?!/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


Facebook...teelao1979@hotmail.com

ได้ยินเสียงบ่นกันเยอะเลยครับ สำหรับ “หนังเครดิตดี” เรื่องนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คนในพื้นที่อย่างพี่ๆ น้องๆ ไทยเรา ผู้เป็นเจ้าของโลเกชั่นจุดเกิดเหตุ ซึ่งจำนวนหนึ่ง เชื่อว่ารับไม่ได้กับ “ภาพเมืองไทย” ที่หนังนำเสนอ อย่างไรก็ดี เรื่องที่ควร “เสียใจ” ของหนังเรื่องนี้ อยู่ตรงนั้นจริงๆ หรือ?

แน่นอนครับ ที่บอกว่า “หนังเครดิตดี” นั้น ใช่ว่าเสแสร้งแกล้งชม หากแต่มองจากความเป็นมาของมันโดยตรง จากความสำเร็จมโหฬารเหนือความคาดหมายในภาคแรกที่พูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเป็น “ปรากฏการณ์แห่งปี ค.ศ.2009” เพราะจากหนังฟอร์มน้อยทุนไม่หนา (เพียงไม่กี่สิบล้านเหรียญ) The Hangover กลับกวาดรายได้ไปแบบเว่อร์ๆ จนกระทั่งเจ้าของหนังเองก็คงตื่นตกใจ และ “ได้อกได้ใจ” ที่จะสร้างภาคต่อตามออกมา โดยกำหนดให้เนื้อหาเรื่องราวเกิดขึ้นที่เมืองไทย
ในมุมนี้ มีเรื่องบางเรื่องที่ผมอยากพูดถึง ก่อนจะไปว่ากันที่ตัวหนัง...

เรื่องที่หนึ่ง ประเด็นเกี่ยวกับภาพลักษณ์ของเมืองไทย ผมพยายามมองอย่างทำความเข้าใจกับการที่หลายๆ คน “ไม่ค่อยปลื้ม” กับภาพเมืองไทยที่ปรากฏในหนัง ส่วนใหญ่ก็เป็นสถานเริงรมย์โลกีย์ (แถวสีลม พัฒน์พงศ์) ซึ่งผมว่าก็ไม่แปลกหรอกครับที่หนังจะ “เน้นจับ” ตรงจุดนี้ เพราะถ้าเราให้ความเป็นธรรมแก่หนัง และมองอะไรต่อมิอะไรจากมุมมองของเรื่องราว มุมมองของตัวละคร เราจะพบว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ต้องมานั่งปวดหัวกับหนังเลย

ทั้งนี้ ก็เนื่องจากว่า เนื้อหาของหนังมันเกี่ยวข้องกับกลุ่มตัวละครนักท่องราตรีที่อยากจะมาเมาปลิ้นกันสักคืนเพื่อร่ำลาชีวิตโสดให้กับเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่กำลังจะลั่นระฆังวิวาห์ ดังนั้น สิ่งที่อยู่ในใจหรือเป้าหมายปลายทาง มันก็หนีไปไม่พ้นจากแหล่งเริงรมย์แบบที่เห็น

ผมเคยเกริ่นๆ ไว้ในรายรายการ Viewfinder ว่า ไอ้กลุ่มแก๊งขาเมา เขาไม่ได้มาเพื่อจะเรียนรู้วัฒนธรรมไทย มาฟังโขน มาดูปราสาทหิน หรือสถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่มันจะมาเมา มาเที่ยวกรุงเทพฯ เพื่อความบันเทิงเริงใจ ถ้าจะให้ “มุมมอง” ออกมา “ดูดี” หรือว่า “คมคาย” เหมือนกับ “ฝรั่งมองไทย” อย่างคุณลุงไมเคิล ไรท์ ผู้ล่วงลับ อย่างนั้นก็คงเป็นไปได้ยากอยู่

พูดแบบนี้ ไม่ได้หมายความว่า ผมไม่ห่วงเมืองไทย ไม่รักเมืองไทย และอยากให้เมืองไทยเป็นที่รับรู้ในด้านดีๆ นะครับ แต่ขณะเดียวกัน เราก็ต้องย้อนกลับมามองตัวเองด้วยว่า สิ่งเหล่านั้น ใช่ “ฝรั่ง” หรือ “คนข้างนอก” เขาออกแบบแต่งสร้างให้หรือเปล่า หรือว่ามันมีอยู่จริงแล้วในสังคมบ้านเรา น่าคิดกว่านะครับ แบบนี้ (ขับรถไปถนนรัชดาหรือซอยคาวบอยดูสักคืนปะไร) เหนือกว่านั้น หนังเองก็บอกตั้งแต่ต้นแล้วไม่ใช่หรือว่า เขาจะมา “ขอใช้โลเกชั่นในการถ่ายทำหนัง” ไม่ได้บอกว่าจะมานำเสนอ “ความเป็นไทย” หรืออะไรต่อมิอะไรที่มันสวยๆ งามๆ ตามที่เราอยากให้เป็น

สุดท้าย ผมว่าคนดูหนังที่มีวุฒิภาวะ (ไม่ว่าจะคนทั่วโลกหรือคนไทย) ก็คงไม่ “ตื้น” พอที่จะคิดว่า สิ่งที่ตัวเองเห็นในหนังนั้น คือ เมืองไทยทั้งหมด แล้วพลันเข้าใจว่าเมืองไทยมันมีความโสโครกโสมม อั๊กลี่ (Ugly) เสียนี่กระไร เพราะถ้า “โตกันแล้ว” จริงๆ ย่อมจะคิดว่า นี่คือทางเลือกหนึ่งสำหรับคนที่อยากมาท่องเมืองไทย โดยเฉพาะพวกที่ชอบใช้จ่ายชีวิตยามค่ำคืน

อย่างไรก็ดี ถ้ามันจะมีอะไรที่ผมดูแล้วรู้สึกว่า มัน “ไม่มีวุฒิภาวะ” เอาซะเลย ก็คงเป็นส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักแสดงคนหนึ่งในหนังอย่าง “จัสติน บาร์ธ่า” นั่นล่ะครับ ซึ่งออกมาโยนระเบิดปริศนาไว้ประมาณว่า เขาขยะแขยงกับสิ่งที่ได้พบเห็นในเมืองไทย โดยไม่บอก “สิ่งที่น่าขยะแขยง” นั้นคืออะไรยังไง?

การพูดแบบนี้ ไม่ “ฉลาดเลย” สำหรับคนคนหนึ่ง และผมเองก็อยากจะรู้เหลือเกินว่าไอ้ที่ว่า “น่าขยะแขยง” ในมุมมองของคุณจัสตินนั้น มันคืออะไร? และมันแตกต่างจากสิ่งที่ “น่ารัก” เป็น “อารยะ” ของอเมริกาบ้านเกิดเมืองนอนของเขามากน้อยแค่ไหน?

คือจริงๆ ก็ต้องยอมรับล่ะครับว่า ไอ้ความขยะแขยงน่ะ มันก็มีอยู่ในทุกๆ ที่นั่นแหละ ไม่ว่าอเมริกาหรือว่าเมืองไหนๆ บาร์อะโกโก้ โชว์อนาจาร โสเภณี ยาเสพติด คอร์รัปชั่น นักการเมืองห่วยแตก ฯลฯ มันก็มีไม่แปลกไปจากกันสักเท่าไหร่ในหลายประเทศ ยกเว้นแต่ว่า เวลาที่ “ฝรั่ง” เขามองชาติอื่นประเทศอื่น เขามองด้วยสายตาแบบไหน ซึ่งดูจากความเห็นของคุณจัสตินแล้ว หนุ่มตาน้ำข้าวคนนี้อาจจะมี “มายาคติ” เกี่ยวกับเมืองไทยมาแบบหนึ่ง (ซึ่งอาจจะเป็นแบบที่...ไม่รู้จริง) พอมาพบเจอกับอะไรที่มัน “ไม่เข้าท่า” ก็เลยพูดออกมาแบบ “ไม่เข้าที”

บางที คุณจัสติน แกอาจจะวาดภาพไว้ล่วงหน้า หรูหรา ว่าเมืองไทยถิ่นนี้แสนดียิ่งนัก พอมาเจออะไรที่มันไม่น่ารัก ก็พลอยเสียใจ...ไม่เข้าใจ และลึกๆ ยอมรับไม่ได้

อย่างไรก็ดี พูดกันอย่างถึงที่สุด ผมคิดว่าทั้งหมดทั้งมวลนั้น มันก็เพียง “หนัง” เรื่องหนึ่งล่ะครับ แล้วที่สำคัญ เป็นหนังที่ว่าด้วย “ไอ้พวกขี้เมา” ด้วย และไม่เมาธรรมดา หากทว่า “เมาเละ” เป็นโจ๊ก ดังนั้น จะให้คนเมาเดินเข้าไปดูโขนหรือรำไทย มันจะได้ฟีลล์หรือ?

เมื่อมองอย่างเข้าใจ ก็จะมองเห็นความเป็นจริง ไม่เจ็บปวด ไม่ทุรนทุราย ตรงกันข้าม ผมคิดว่า สิ่งที่น่าเสียดายเสียใจมากที่สุดสำหรับการนั่งดูหนังเรื่องนี้ก็คือ ผมไม่รู้สึกว่าตัวเองจะได้รับประสบการณ์แปลกใหม่อะไรเลย เพราะภาพรวมของหนังทั้งหมด The Hangover 2 เดินตามครรลองของภาคหนึ่งชนิดที่จะเป็นการลอกกันมาแบบเป๊ะๆ เหมือนกับการ Copy & Paste เหมือนหยิบโครงเรื่องมา ช็อตต่อช็อต ปรับเปลี่ยนเพียงสถานที่เกิดเหตุและองค์ประกอบต่างๆ เท่านั้น (จาก “เสือ” ของไมค์ ไทสัน ในเวอร์ชั่นแรก มาเป็น “ลิง” อย่างนี้เป็นต้น)

ส่วนในด้านของความฮา ก็ถือว่า “พอใช้ได้” เฉพาะอย่างยิ่ง ผมว่าสำหรับคนที่ยังไม่ได้ดูภาคหนึ่งมาก่อนหน้า อาจจะ “ฮา” มากกว่า ขณะที่ “คนเคยฮา” มาแล้วในภาคก่อน อาจจะรู้สึกว่า เพราะสถานการณ์มัน “ประเมินได้” จึงส่งผลให้รู้มุมที่จะฮาล่วงหน้า และพอมันออกมาอย่างที่คาด มันก็ไม่ฮาแล้ว เหมือนมุกตลกที่จับทางได้นั่นล่ะครับ

สรุปก็คือ เราจะเห็นภาพสองภาพที่ซ้อนทับกันตลอดเวลา และก็เป็นที่แน่นอนว่า สิ่งที่มาก่อน ย่อมมีภาษีกว่า และยิ่งถ้าสิ่งที่มาทีหลัง ไปฝังตัวกับรอยเก่า ความหมายของมันจึงไม่มีอะไรมากไปกว่าการ “ผลิตซ้ำ” ย่ำรอยเก่า และก็เป็นรอยเก่าที่ไม่ได้เท่าเดิม

ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นจุดที่ “น่าเสียดายเสียใจ” จริงๆ สำหรับผลงานเรื่องนี้ของผู้กำกับท็อดด์ ฟิลลิปส์...






กำลังโหลดความคิดเห็น