เป็นการสูญเสียครั้งล่าสุดของวงการภาพยนตร์ฮอลลีวูด กับบุคลากรระดับตำนาน“ซิดนีย์ ลูเม็ต” ผู้กำกับรุ่นใหญ่ที่มีผลงานคลาสสิคมากมาย อาทิ Network, Serpico, Dog Day Afternoon และ 12 Angry Men ที่ได้เสียชีวิตลงแล้วในวัย 86 ปี ที่บ้านในนิวยอร์ก เมืองที่เขาผูกพันและทำหนังตลอดชีวิตที่นี่
ครอบครัวของ เลสลี่ กิมเบล หลานสาวของ ซิดนีย์ ลูเม็ต ได้ยืนยันว่าผู้กำกับรุ่นใหญ่ระดับตำนาน ได้สิ้นลมลงแล้วจากอาการของโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เมื่อวันที่ 9 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่น ปิดตำนานของคนทำหนัง ซึ่งสร้างผลงานที่ยังอยู่ในความทรงจำทั้งในแง่ของคุณภาพงานอันโดดเด่น และบอกเล่าเรื่องราวของวิถีชีวิตในเมืองใหญ่ของสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน
สัญลักษณ์แห่งนิวยอร์ก
ซิดนีย์ ลูเม็ต เป็นชาวฟิลาเดลเฟียโดยกำเนิด แต่ย้ายมาพำนักยังนิวยอร์กกับครอบครัวตั้งแต่ยังเด็ก ซึ่งมหานครแห่งนี้กลายเป็นฉากหลังในหนังของเขากว่า 30 เรื่อง จากทั้งหมด 50 เรื่อง แม้ ลูเม็ต จะยอมรับว่าเขารักและผูกพันกับเมืองแห่งนี้เป็นมาก แต่ผลงานต่าง ๆ กลับสื่อภาพอันเสื่อมโสมและกักขฬะของ นิวยอร์ก ออกมาโดยตลอด
หนังดราม่าอาชากรรมเข้มข้นอย่าง Prince of the City, Q&A, Night Falls on Manhattan และ Serpico เป็นผลงานซึ่งบอกเล่าเรื่องชีวิตอันอย่างยากลำบาก และเต็มไปด้วยการทุจริตของเจ้าหน้าที่ตำรวจในนิวยอร์ก ขณะที่ Dog Day Afternoon ซึ่งเล่าถึงเหตุการณ์การปล้นธนาคารในช่วงบ่ายอันอบอ้าว ก็เป็นเรื่องราวของตัวละครที่ไม่สามารถปรับตัว เข้ากับชีวิตที่เต็มไปด้วยความกดดันในนิวยอร์กได้
“ผมไม่ได้ต่อต้านอะไรแอลเอหรอกนะ” ลูเม็ต กล่าวในการให้สัมภาษณ์เมื่อปี 1997 ถึงการที่เขาใช้ชีวิตและสร้างงาน ในสถานที่ซึ่งห่างไกลจากเมืองหลวงแห่งฮอลลีวูดอย่าง ลอสแอนเจลิส มาโดยตลอด “แต่ผมแค่ไม่ชอบใช้ชีวิตอยู่ในเมืองที่มีบริษัทใหญ่ควบคุมอยู่แบบนั้น”
ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้อาศัยอยู่ที่ลอสแอนเจลิสแต่ ซิดนีย์ ลูเม็ต ก็สามารถรักษาสัมพันธ์กับสตูดิโอในฮอลลีวูดให้เป็นไปอย่างราบรื่นได้ ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าเขาสามารถทำงานให้เสร็จได้ในระยะเวลาตามกำหนด และไม่เคยใช้ทุนสร้างบานปลายเหมือนผู้กำกับใหญ่รายอื่น และการเริ่มงานในวงการโทรทัศน์ ก็ทำให้คนทำหนังรุ่นใหญ่รายนี้ทำงานได้อย่างรวดเร็ว โดยตามปกติเขาจะถ่ายทำฉากต่าง ๆ เพียงไม่เกิน 4 เทคเท่านั้น
ซิดนีย์ ลูเม็ต ถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ทั้งหมด 4 ครั้งและไม่เคยเป็นผู้ชนะ แต่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติในปี 2005 นอกจากนั้นยังได้รับรางวัล D.W. Griffith จากสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ สำหรับความสำเร็จตลอดการทำงานตลอดชีวิตด้วย
อัล ปาชิโน่ ซึ่งอำนวยการสร้าง และแสดงนำในผลงานเด่นของ ลูเม็ต อย่าง Dog Day Afternoon และ Serpico เป็นผู้กล่าวยกย่องเขาในการรับรางวัลออสการ์เมื่อปี 2005 ว่า “หากคุณสวดอ้อนวอนในการสวมบทบาทเป็นตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง ซิดนีย์ ก็คือบาทหลวงผู้รับฟังคำสวดดังกล่าว และทำให้มันกลายเป็นความจริง”
ผลงานในเส้นทางอาชีพอันยาวนาน 72 ปี
ลูเม็ต เริ่มสร้างชื่อเป็นผู้กำกับแถวหน้าของวงการโดยทันที ตั้งแต่กำกับภาพยนตร์เรื่องแรกอย่าง 12 Angry Men เมื่อปี 1957 หนังอันทรงพลังซึ่งเล่าเรื่องการถกเถียงของ คณะลูกขุน 12 คน ในคดีความที่ชายหนุ่มเชื้อสายเม็กซิโก ถูกกล่าวหาว่าก่อคดีฆาตกรรม ซึ่งหนังทำให้ชื่อของเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์เป็นครั้งแรกด้วย
หลังจากนั้น ลูเม็ต ยังมีเชี่ยวใกล้กับโอกาสที่จะได้รับรางวัลซึ่งทรงอิทธิพลมากที่สุดของวงการอีก 3 ครั้งจากผลงานอย่าง Dog Day Afternoon (1975), Network (1976) และ The Verdict (1982) แต่ก็พลาดไปหมด
ซึ่งแม้จะชวดรางวัลใหญ่อย่างภาพยนตร์ และผู้กำกับยอดเยี่ยม แต่ Network หนังที่วิจารณ์วงการโทรทัศน์อย่างเผ็ดร้อน ก็เป็นงานที่ส่งให้ เพ็ดดี้ เชเยฟสกี้ ได้รับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ขณะที่ ปีเตอร์ ฟินช์ และ เฟย์ ดันนาเวย์ ก็คว้ารางวัลในสาขานักแสดงนำชาย และหญิงไปครอง
ซึ่งแม้จะโด่งดังกับการนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับ ชีวิตที่ปากกัดตีนถีบของคนในเมืองใหญ่ ลูเม็ต ยังเคยสร้างหนังที่ว่าด้วยชีวิตของบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงหลายเรื่อง อาทิ ชีวิตของ ยูจีน โอ’นิว ใน Long Day's Journey into Night, อาร์เธอร์ มิลเลอร์ ใน A View from the Bridge, เทนเนสซี่ วิลเลี่ยมส์ ใน Orpheus Descending นอกจากนั้นยังเคยสร้างหนังเกี่ยวกับสงครามล้างเผ่าพันธุ์ใน The Pawnbroker, มีหนังเรื่อง Fail-Safe ซึ่งว่าด้วยสงครามนิวเคลียร์ และหนังเกี่ยวกับสายลับโซเวียต Daniel
ครั้งหนึ่ง ซิดนีย์ ลูเม็ต ยังหยิบนิยายของ อกาธา คริสตี้ เรื่อง Murder on the Orient Express มาดัดแปลงขึ้นจอภาพยนตร์ ด้วยการระดมดาราดังมากมายมาประชันบทบาท จนหนังประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ผลงานเด่นเรื่องอื่น ๆ ของเขายังรวมถึง Running On Empty, Equus, Family Business และ The Wiz
จากนักแสดง, ช่างเรดาร์ สู่ผู้กำกับระดับตำนาน
ซิดนีย์ ลูเม็ต เกิดเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 1924 เป็นลูกชายของสองนักแสดงละครเวทีภาษายิดดิช ทำให้ตัวของเขาเองก็ได้ก้าวสู่วงการกับบทบาทนักแสดงเด็กตั้งแต่อายุเพียง 4 ขวบ และเริ่มต้นกับงานละครวิทยุ
จนกระทั่งปี 1934 ลูเม็ตได้เปิดตัวในละครบรอดเวย์กับบทเล็ก ๆ ในละครของ ซิดนีย์ คิงส์ลีย์ เรื่อง Dead End ต่อมายังเคยสวมบทบาทเป็นพระเยซูในละคร The Eternal Road ของ แม็กซ์ ไรน์ฮาร์ดท์ และ Journey to Jerusalem ของ แม็กเวล แอนเดอร์สัน มาแล้ว
ในช่วงสงครามโลก ลูเม็ต ได้ทำหน้าที่ช่างซ่อมเรดาร์ ของกองทัพสหรัฐฯ ในอินเดีย และพม่า จนกระทั่งเมื่อสงครามจบสิ้นลง เขาก็ได้กลับเข้าสู่อุตสาหกรรมบันเทิงพร้อมตั้งคณะนักแสดงขึ้นมา แต่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 1950 ภายหลังยูล บรินเนอร์ เพื่อนสนิทคนหนึ่งได้เชิญให้ ลูเม็ต มาทำงานที่ CBS-TV ในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับ จนหน้าที่การงานของเขาก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ได้นั่งเก้าอี้ผู้กำกับเป็นครั้งแรก และมีผลงานในซีรีส์เรื่อง Danger กว่า 150 ตอน
ในยุคที่ผู้กำกับต่างสร้างชื่อจากวงการโทรทัศน์ อาร์เธอร์ เพนน์, จอห์น แฟรงเกนไฮเมอร์, เดลเบิร์ต มานน์ และอีกมากมายคือเหล่าผู้กำกับหนุ่มที่ก้าวจากงานในจอเล็กไปสู่การเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ รวมถึง ซิดนีย์ ลูเม็ต ด้วย
หลังจากแจ้งเกิดในยุค 50s, โด่งดังสุดขีดในยุค 60s จนถึง 70s ในปี 2001 ซิดนีย์ ลูเม็ต จึงกลับคืนสู่วงการโทรทัศน์อีกครั้ง กับการสร้าง, เขียนบท และกำกับซีรีส์ 100 Centre Street ซึ่งเล่าเรื่องเมืองนิวยอร์กอันเป็นที่รักของเขา
ในปี 2006 เขาสร้างหนังเรื่อง Find Me Guilty ที่มี วิน ดีเซล แสดงนำในเรื่องราวการไต่สวนคดีว่าด้วยองค์กรอาชญากรรม ส่วนผลงานลำดับสุดท้าย Before the Devil Knows Your Dead เป็นหนังที่มี ฟิลลิป ซีย์มัวร์ ฮอฟแมน, อีธาน ฮอว์ค และ มาริซ่า โทเม รับบทนำ
ลูเม็ต กล่าวว่าเขาไม่ได้พยายามที่จะทำหนังเกี่ยวข้องกับนิวยอร์กเพียงอย่างเดียว “แต่บทหนังที่จะเล่าเรื่องเกี่ยวกับนิวยอร์ก มันก็คือการเริ่มต้นที่ยอดเยี่ยมแล้ว ความจริงก็คือมหานครแห่งนี้ สามารถเป็นอะไรก็ได้ที่คุณอยากให้เป็น”
ขณะที่ในด้านชีวิตส่วนตัว ลูเม็ต แต่งงาน 4 ครั้ง โดย 3 ครั้งแรกจบลงด้วยการหย่าร้าง จนกระทั่งได้พบรักกับ แมรี กิมเบล เมื่อปี 1980 และครองคู่กันจนถึงวินาทีสุดท้ายของชีวิต ซึ่ง เจนนี่ ลูเม็ต ลูกสาวที่เกิดจากภรรยาคนที่สอง ยังตามรอยเท้าบิดา ด้วยการเป็นนักแสดง ต่อมาก็ผันตัวไปเขียนบทภาพยนตร์ และมีผลงานเป็นหนังขวัญใจนักวิจารณ์เรื่อง Rachel Getting Married
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ ""ซ้อ 7"ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |