xs
xsm
sm
md
lg

มันยกแก๊ง คอนเสิร์ต“ซานตาน่า”ป๊ะป๋า ลาตินร็อก/บอน บอระเพ็ด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

โดย : บอน บอระเพ็ด (skbon109@hotmail.com)

เหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือคนยังมียอดคน เหนือชายยังมียอดชาย(จ๊าก!!!) และเหนือมือกีตาร์ยังมียอดมือกีตาร์

สำหรับ“คาร์ลอส ซานตาน่า”ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในยอดมือกีตาร์ที่ฝีไม้ลายมือเหนือกว่ามือกีตาร์ทั่วๆไปอยู่หลายสิบหลายร้อยช่วงตัว โดยเฉพาะในสาย“ลาตินร็อก” ซานตาน่าถือเป็นสุดยอดที่ครองความเป็นเบอร์หนึ่งมายาวนาน

นอกจากทางลาตินร็อกแล้ว ซานตาน่ายังสามารถเล่น ร็อก ป็อบ บลูส์ แจ๊ซ ฟังก์ และฟิวชั่น ได้อย่างยอดเยี่ยม นับได้ว่าเป็นยอดมือกีตาร์ที่มีความรอบจัดมากคนหนึ่ง โดยเกือบ 40 ปีที่เขาร่ายมนต์กีตาร์ผ่านยุทธรจักรวงการเพลง ซานตาน่าประสบความสำเร็จอย่างสูงปรี๊ด สามารถกวาดมาหมดทั้งชื่อเสียง เงินทอง และกล่อง จนนิตยสาร“โรลลิ่ง สโตน” นิตยสารดนตรีชื่อดังของโลก ยกให้เป็น 1 ใน 100 มือกีตาร์ผู้ยิ่งยงตลอดกาล และได้รับการจารึกชื่อไว้ในร็อกแอนด์โรลฮอลล์ ออฟ เฟม ในปี ค.ศ. 1998

ซานตาน่ามีเพลงฮอดฮิตติดชาร์ทและติดตรึงใจแฟนเพลงทั่วโลกมากมาย อาทิ Black Magic Woman,Oye Como Va, Europa, Jingo,Samba Pa Ti,Maria Maria,The Game Of Love,She’s Not There และเพลง “Smooth” ในอัลบั้ม“Supernatural”(1999) ที่ป๋าซานแกฟีเจอร์ริ่งกับ“ร็อบ โทมัส”(Rob Thomas) พา Smooth ขึ้นไปถล่มชาร์ตบิลบอร์ด ยึดครองหัวหาดเพลงยอดนิยมเบอร์หนึ่งอยู่หลายสัปดาห์ พร้อมกับพาเพลง Smooth และ อัลบั้ม Supernatural ทะยานขึ้นไปซิวรางวัลแกรมมี่ ในปี 1999 ไปถึง 10 รางวัล

ป๋าซาน(ตาน่า) มีทางกีตาร์เป็นเอกอุเฉพาะตัว เขาไม่ใช่ประเภทมือกีตาร์ฮีโร่ที่เน้นการเล่นลูกนิ้วไล่สเกลโชว์ความรวดเร็วปานรถไฟหัวกระสุนขบวนนรก เหมือนพวกมือกีตาร์ฮีโร่หลายๆคนในยุค 90 ’s แต่ป๋าซานเป็นมือกีตาร์ที่เล่นกีตาร์ได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ เสียงกีตาร์ของเขาอ้วน หนา ทรงพลัง มีทางโซโล แอดลิบ และทางเมโลดี้อันสวยงาม ยามดุดันเขาจะเล่นรัวปิ๊ก สะบัดปิ๊ก อย่างรวดเร็ว(แต่ไม่มั่ว)เกรี้ยวกราดเปี่ยมไปพลัง ยามเล่นเพลงสนุกๆมันๆ เสียงกีตาร์ของแก กับภาคดนตรี เบส กลอง คีย์บอร์ด และเพอร์คัสชั่นต่างพาช่วยกันสร้างสีสันได้อย่างสนุกสนานเพลิดเพลินและเมามัน ส่วนเมื่อถึงบทจะอ่อนหวานนั้น ป๋าแกก็กรีดกรายสายกีตาร์ได้อย่างหวานซึ้งหยดย้อย บาดลึกกินอารมณ์ ชนิดที่หลายคนกลัวมดจะขึ้นไปวิ่งเล่นบนสายกีตาร์และพลอยลามปามขึ้นไปทำรังบนหนวดของแกด้วย

ในขณะที่วงซานตาน่าเองนั้นก็ไม่ธรรมดาด้วย รูปแบบการเล่นและสไตล์ดนตรีอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะการเสริมเน้นด้วยทีมเครื่องเคาะ เพอร์คัสชั่น วงซานตาน่าถือว่าโดดเด่นมาก

ทั้งเสียงกีตาร์ของคาร์ลอส ซานตาน่า และทางดนตรีของวงซานตาน่า จัดว่ามีอิทธิพลอย่างสูงต่อนักดนตรีและวงดนตรีในบ้านเรา มือกีตาร์หลายคนพยายามเล่นเลียนแบบซานตาน่า บางคนถึงขนาดไม่ลงทุนก็อปตัวโน้ตต่อตัวโน้ตมาเล่นกันจะจะไปเลย ในขณะที่ไลน์เบส ทางกลอง การนำเครื่องเคาะเพอร์คัสชั่น มาร่วมวง หลายวงในบ้านเราก็นำรูปแบบมาจากวงซานตาน่าวงนี้

และด้วยความที่เมืองไทย มีแฟนานุแฟนเพลงผู้หลงใหลในเสียงกีตาร์และบทเพลงสไตล์ลาตินร็อกของซานตาน่าอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้ทาง“บีอีซี-เทโรฯ และ สิงห์ คอร์เปอร์เรชั่น พรีเซ้นส์” ได้นำวงซานตาน่ามาเปิดคอนเสิร์ตอีกครั้งในเมืองไทย(Santana Guitar Heaven 2011 Live in Bangkok) ที่อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี ในค่ำคืนวันที่ 1 มี.ค. ที่ผ่านมา

คอนเสิร์ตครั้งนี้ ป๋าซานพาทีมนักดนตรียุคปัจจุบันที่เจนจัดไปด้วยฝีมือและทีมเวิร์คอันแน่นปึ๊กมาโชว์ฝีมือ ประกอบไปด้วย กลอง :“เดนนิส แชมเบอร์ส”(Dennis Chambers),เบส :“เบนนี่ ไรเอทเวล”(Benny Rietveld),กีตาร์ริทึ่ม :“ทอมมี แอนโธนี”(Tommy Anthony),คีย์บอร์ด :“เดฟ แมทธิวส์”(Dave Matthews),เพอร์คัสชั่น :“คาร์ล เพอร์ราโซ”(Karl Perrazo), คองก้า :“ราอูล เรโคว”(Raul Rekow) และทีมเครื่องเป่าทรัมเป็ต ทรอมโบน 2 คน ร่วมด้วยทีมนักร้องต่างสีผิวอีก 2 คน

เรียกว่างานนี้ป๋าซานนำทีมวงดนตรีจัดเต็มมาเพื่อจะจัดหนักให้กับแฟนเพลงชาวไทยที่เข้ามารอชมกว่า 80% ของพื้นที่ฮอลล์อิมแพ็ค

ครั้นพอถึงเวลาประมาณ 20.45 น. มือทรัมเป็ตและมือทรอมโบนก็พร้อมใจกันส่งเสียงแตรอันแผดจ้าโหมโรงเปิดการแสดง แล้วต่อกันด้วยเครื่องดนตรีอื่นๆที่เล่นสมทบตามมา ก่อนพร้อมใจกันส่งท่วงทำนองให้กับ “คาร์ลอส ซานตาน่า” ที่ใส่ชุดขาวสะพายกีตาร์คู่ใจขึ้นมาโซโลโชว์ในเพลงเปิด

ต้องบอกว่าซานตาน่าวันนี้มาด้วยมาดของเจ้าพ่อจริงๆ แต่ไม่ใช่พวกเจ้าพ่อแห่งวงการนักเลงที่มาค้ายา ค้าอาวุธ ค้าผู้หญิง ที่พบเห็นได้ในหนังแอ๊คชั่นทั่วไป(แม้มาดก็แกจะเหมือนก็ตาม) หากแต่เป็นเจ้าพ่อกีตาร์เบอร์หนึ่งแห่งยุทธจักรวงการลาตินร็อกผู้มากไปด้วยฝีไม้ลายมือ ส่วนถ้าใครเหลือบมองเฉพาะท่อนล่างของแกมันก็ช่างดูป๋าไม่เบาอีกเหมือนกัน หากแต่เป็น“ป๋าเทพ โพธิ์งาม”นะ เพราะแกเล่นมาแบบสุดแนว ใส่รองเท้าไม่สวมถุงเท้าเหมือนกับป๋าเทพยอดตลกของเราเลย

อย่างไรก็ดีในช่วง 2-3 เพลงแรก ดูเหมือนระบบเสียงปราบเซียนของอิมแพ็ค จะทำให้ทีมมิกซ์ต้องทำงานหนัก เพื่อปรับจูนเสียงให้มันบาลานซ์เข้าที่เข้าทาง เพราะเสียงกลองกับเพอร์คัสชั่นมันดังล้ำออกมามากเกิน ในขณะที่เสียงเบสนั้นกับเบาบางจมหาย ส่วนเสียงร้องและกีตาร์ของป๋าซานก็ยังไม่ลอยเด่นออกมาเท่าที่ควร

กระทั่งเมื่อมาถึงเพลงนี้นั่นแหละ ระบบเสียงจึงเริ่มลงตัวเข้าที่เข้าทาง เรียกว่าเป็นการลงตัวที่ถูกจังหวะเวลาพอดี เพราะหลังส่งนำมาของเพอร์คัสชั่นกับคีย์บอร์ด ป๋าซานเพียงแค่ดีดสายกีตาร์บางๆเป็นวลีสั้นๆ“แตแต๊วแตว”ขึ้นเพลงมาเท่านั้นแหละ แฟนเพลงกรี๊ดกันสนั่นฮอลล์ เพราะเพลงนี้มันคือ “Black Magic Woman” อันสุดฮอตฮิตลือลั่นของมือกีตาร์หนวดงามผู้นี้

Black Magic Woman เปิดช่วงให้ป๋าซานโชว์ฝีมือกันแบบพองาม ท่ามกลางแฟนเพลงที่เริ่มคึก หลายคนขยับแข้งขยับขาตาม หลายคน(กรึ่ม)ได้ที่อดไม่ได้ที่ต้องลุกขึ้นเต้น จากนั้นถัดมาเป็นการตามต่อกันแบบเมดเล่ย์กับ“Gypsy Queen” เพลงที่ถูกเล่นคู่กับ Black Magic Woman เป็นประจำ

จบจาก Gypsy Queen เป็นโชว์ของทีมริทึ่มเซ็คชั่น อ้วน-ผอมจอมฝีมือ นำโดย “เบนนี่ ไรเอทเวล”มือเบส รูปร่างผอมเกร็งหุ่นกุ้งแห้งแดดเดียว ที่มาโชว์ลีลาทั้งเกี่ยว ดึง ทึ้ง ตบ รวมไปถึงการเล่นคอร์ดดีดรัวแบบกีตาร์อย่างเมามัน

ก่อนส่งต่อให้กับมือกลองร่างอ้วนใหญ่ “เดนนิส แชมเบอร์ส” หนึ่งในมือกลองยอดเยี่ยมระดับต้นๆของโลกในยุคปัจจุบัน ที่พกพาฝีมือตีกลองอันสุดยอดมาโชว์ต่อแฟนเพลง ทั้งการตีลูกหนัก ลูกเบา รัวสแนร์แบบละเอียดยิบ หรือการตีแบบมีลูกเล่นมีจังหวะจะโคน รวมไปถึงการโชว์ความเก๋าโคตรๆ ด้วยการใช้ 2 เท้าเบิ้ลกระเดื่องรัวลากยาวคุมจังหวะไปตลอด ส่วน 2 มือนั้นกลับไม่ตีกลอง หากแต่พี่แกเล่นไปเปิดน้ำดื่มกิน เล่นนำผ้ามาเช็ดหน้าเช็ดตา ขณะที่ 2 เท้าก็ยังคงเบิ้ลรัวกระเดื่องแบบจังหวะแม่นเปรี๊ยะอยู่เหมือนเดิม รวมไปถึงการนำผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดบนหัวล้านเลี่ยนมันแผล็บของแกที่นับว่าได้ใจแฟนเพลงสุดๆ

ดูเหมือนว่าดีกรีความมันของแฟนเพลงในอิมแพ็คถูกจุดติดแล้ว ทำให้ในเพลงมันๆถัดมาอย่าง “Oye Como Va” แฟนเพลงกว่าครึ่งของฮอลล์ต่างพากันลุกขึ้นยืน บางคนถึงกับเดินออกมาออกันบนช่องเดินเลยทีเดียว งานนี้พวกเขาไม่ได้มาร่วมกันก่อม็อบไล่ผู้นำแต่อย่างใด หากแต่พร้อมกันกันแด๊นซ์ตามความมันของเพลงนี้ ที่ฝีมือกีตาร์ของซานตาน่ายังคงจัดจ้านถึงใจเหมือนเดิม

จากนั้นมาดูป๋าซานเล่นอะคูสติกกีตาร์เสียงใสๆสลับกีตาร์ไฟฟ้าเสียงทรงพลังในเพลงดัง “Maria Maria”กันบ้าง ก่อนต่อกันด้วยการนำของเครื่องเป่าในเพลงสนุกๆอย่าง “Foo Foo” ให้ 2 นักร้องโชว์ร้อง “เอ๊ะ เอ๊ะ เอ๊ะ” ที่ให้อารมณ์คนละแบบกับเสียงร้อง“อ๊ะ อ๊ะ อ๊ะ” ของพี่ตูน บอดี้สแลม

ถัดมาถึงคิวของเพลงช่า ช่า ช่า มันๆอย่าง “Corazon Espinado” ที่หากว่าเปลี่ยนจาก 2 นักร้องผิวต่างสี มาเป็นน้า“แอ๊ด คาราบาว” มันจะกลายเป็นเพลง“จตุคามลามทุ่ง” ไปทันที เพราะทางดนตรีของจตุคามลามทุ่งมันช่างคล้ายกับเพลงนี้เสียเหลือเกิน

Corazon Espinado เป็นอีกเพลงหนึ่งที่ป๋าซานโชว์ฝีมือกีตาร์ให้ได้เห็นได้ยลยินกันแบบถึงใจ ทั้งลีลาการโซโลที่มีวลีสวยงาม ลูกลิคเด็ดๆที่เล่นตอดไปตลอด รวมถึงลูกเก่งของแกที่ดีดรัวเล่นโน้ตนำคู่ไปกับโน้ตประสาน และลูกเกี่ยวตวัดนิ้ว โอว...สุดยอด

ส่วน“Jingo” ในเพลงถัดมาเป็นการดึงอารมณ์ลงมานิดๆในกลิ่นอายอัฟริกัน ให้ทีมเพอร์คัสชั่นได้โชว์ฝีไม้ลายมืออันยอดเยี่ยมกันบ้าง

และแล้วคอนเสิร์ตก็มาถึงจุดเบรกอารมณ์กับ “Europa” หนึ่งในยอดเพลงบัลลาดซานตาน่าที่เขาเปิดนำด้วยการเล่นโน้ตในทางคลาสิค ก่อนพูดนำส่งเข้าเพลงเกี่ยวกับโลกในอุดมคติที่ปราศจากสงครามมีแต่เสรีภาพ จากนั้นก็เป็นการกรีดกรายสายกีตาร์อย่างหวานซึ้งบาดใจ แสดงให้เห็นถึงความเป็นเลิศทางด้านการเล่นเพลงหวานเพราะของเขาได้เป็นอย่างดี

ช่วงต่อมาป๋าซานชวน “Mason Ruffner” ขึ้นมาเป็นมือกีตาร์รับเชิญ ร่วมเล่นร็อกแอนด์โรลมันๆกับบลูส์ดุๆ ก่อนผ่อนอารมณ์คนดูลงมาด้วยการจัดส่งบทเพลงที่โชว์ฝีมือทางดนตรีชุดใหญ่ลงมาอย่าง “Batuka”,”No One To Depend On”,”Taboo” และช้าๆซึ้งๆกับการขึ้นนำด้วยท่วงทำนองของเพลง “Misty” ด้วยฝีมือการเล่นกีตาร์หวานๆของซานตาน่า แล้วส่งผ่านไปให้ “เดฟ แมทธิว” โชว์ลีลาทางเปียโนแจ๊ซกันพอหอมปากหอมคอ ซึ่งหากว่าเล่นมากเกินกว่านี้ไปอีกสักเพลง คนดูอาจจะกร่อยและเบื่อได้

นั่นจึงให้ช่วงถัดมาทางวงกระชากอารมณ์คนดูให้ขึ้นมามันกันอีกครั้งกับเพลงสนุกๆอย่าง “She’s Not There”,”Evil Ways”,”A Love Supreme” และ “Sunshine Of Your Love” ของวง“ครีม”ผลงานเพลงหนึ่งเดียวในอัลบั้มชุดใหม่ของซานตาน่า “Guitar Heaven: The Greatest Guitar Classics Of All Time”

แล้วซานตาน่าก็ระเบิดอารมณ์ความมันของคนดูอีกครั้งด้วย“Smooth” ซึ่งผู้ชมกว่า 70% ต่างลุกขึ้นมาแด๊นซ์กระจายอย่างสุดกัน ก่อนปิดท้ายอารมณ์มันๆแบบลาตินกันด้วย “Dame Tu Amore” เป็นการจบคอนเสิร์ตแบบยังไงก็ต้องมีอังกอร์ เพราะด้วยความมันขนาดนี้แฟนเพลงคงไม่ยอมง่ายๆ

และก็เป็นเช่นนั้นจริงเมื่อทางวงหายไปเพียงสักพักก็กลับออกมาพร้อมด้วย “Soul Sacrifice”,”Bridegroom”,”In To The Night” ที่ในช่วงอังกอร์นี้ ทางวงเปิดโอกาสให้ 2 มือเพอร์คัสชั่นจัดหนักโชว์ฝีมือขั้นเทพกันอีกครั้ง ซึ่งก็ไม่รู้ว่า 2 มือของพวกนี้เป็นเนื้อหนังมนุษย์หรือว่าเป็นไม้หน้าสามกันแน่ เพราะพวกเล่นใช้มือเปล่าเพียวๆหวดฟาดหนังกลองกันแบบไม่ยั้งกันเลยทีเดียว

จากนั้นป๋าซานมาเอนเตอร์เทรนคนดูส่งท้าย ให้พร้อมกันพูด “Light&Love” ก่อนจบคอนเสิร์ตลงแบบเมามันทั้งคนดูและคนเล่น

สำหรับคนดูนั้นส่วนใหญ่ต่างมีอารมณ์ร่วมและสนุกไปกับบทเพลงมันๆที่ทางวงจัดหนักมาให้ ส่วนทางผู้เล่นนั้นทุกคนดูสนุกสนานและเอนเตอร์เทนต์กับสรรพเสียงดนตรีที่ถ่ายทอดออกมา ในขณะที่ชั้นเชิงทางดนตรีนั้น แต่ละคนเจนจัดหายห่วง โดยเฉพาะกับ“คาร์ลอส ซานตาน่า”พระเอกของงานนั้น ฝีไม้ลายมือและทางดนตรีของแกยังคงเจ๋งสมศักดิ์ศรีเบอร์หนึ่งแห่งยุทธจักรกีตาร์ลาตินร็อก ซึ่งแม้ว่าวันนี้วัยของซานตาน่าจะเดินทางผ่านหลักสี่ เลยดอนเมืองเข้าสู่หลัก 6 ร่วมเป็นหนึ่งในสมาชิกสภา ส.ว. สูงวัยมาได้สักพักแล้วก็ตาม แต่เมื่อทอดตาทั้งแผ่นดินจนตาไหม้เกรียม ผมยังไม่เห็นมีมือกีตาร์ลาตินร็อกคนใด หาญกล้าขึ้นชั้นมากระตุกหนวดงามๆของป๋าซานแกได้
*****************************************

หมายเหตุ : สัปดาห์นี้ของดคอลัมน์แนะนำเพลงเก่า เพื่อเปิดพื้นที่ให้กับคอนเสิร์ต
*****************************************

คอนเสิร์ต

คอนเสิร์ต “Mahler’s Titan”

วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ ชวนชมคอนเสิร์ต “Mahler’s Titan” ที่จะมาทำให้เสียงเพลงของ Gustav Mahler คีตกวีชื่อก้องโลกดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง ด้วยการบรรเลงของวงดุริยางค์ฟีลฮาร์โมนิกแห่งประเทศไทย (TPO) ภายใต้การสนับสนุนของรัฐบาลไทย ในการดูแลของวิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล

คอนเสิร์ตครั้งนี้จะนำเสนอบทเพลงเช่น Symphony No.1 in D major ผลงานของคีตกวี Mahler ชื่อ “Titan” เป็นชื่อของนวนิยายของJean Paul เรื่อง Titan ที่ Mahler นำมาสร้างเป็นซิมโฟนีบทนี้

นอกจากนียังได้พบกับการโชว์ลีลาของ Gunars Upatnieks โซโลอิสท์หนุ่มยุโรปตะวันออกมือดับเบิลเบสขั้นเทพคนหนึ่งของโลก ผู้คว้ารางวัลมาแล้วจากการประกวดเช่น รางวัลที่ 1 และรางวัลขวัญใจผู้ชมจาก International ARD competition ปี 2009, รางวัลที่ 1 และรางวัลกรังปรีซ์จากการประกวด International Society of Bassists Competition in Solo Division, USA ปี 2008 เขาจะมาวาดลีลาเสียงทั้งทุ้มนุ่มและดุดัน ในบทเพลง Concerto No.1 in B minor ของ Giovanni Bottesini รวมกับวง TPO

สำหรับคอนเสิร์ตครั้งนี้อำนวยเพลงโดย Dariusz Mikulski วาทยกรชาวโปแลนด์ จัดแสดง ณ หอแสดงดนตรี วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล มี 2 รอบ คือ วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม 2554 เวลา 19.00 น. และวันเสาร์ที่ 12 มีนาคม 2554 เวลา 16.00 น. บัตรราคา 500, 300 และ 100 (นักเรียนนักศึกษา) บาท สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมหรือสำรองที่นั่งกรุณาโทร. 0 2800 2525 - 34 ต่อ 153-154 หรือ www.music.mahidol.ac.th, http://www.thailandphil.com
กำลังโหลดความคิดเห็น