หากถามคนที่มีอายุ 30 ปีขึ้นไปว่า "ทะเล" ที่ไหนเป็นทะเลแรกที่ท่านได้มีโอกาสไปสัมผัสกับความเค็มของน้ำ เชื่อว่าคงจะมีไม่น้อยที่มี "บางแสน" เป็นคำตอบ
และในจำนวนไม่น้อยที่ว่า ก็คงจะมีอีกไม่น้อยเช่นกันที่ไปบางแสนครั้งแรกจากการไปทัศนศึกษานอกสถานที่กับทางโรงเรียน
ผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้นครับ
ตอนนั้นจำได้ว่าตื่นเต้นมากๆ ที่จะได้ไปเห็นทะเล "ของจริง" เป็นครั้งแรกในชีวิต ทว่าทันทีที่ได้พบเจอกันแม้จะดูยิ่งใหญ่อลังการ ทว่าด้วยความร้อนของแสงแดด สายลมที่พัดผ่านมาพร้อมกับกลิ่นคาวและความเหนียวเหนอะซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ค่อยจะชอบเอาเสียเลย ผมก็รู้สึกได้ทันทีว่าทะเลกับผมคงจะเป็นได้เพียงกิ๊กกัน หาใช่คู่แท้แต่อย่างไร
แต่กระนั้นทุกครั้งทุกคราที่มีโอกาสไปหากิ๊กคนนี้ ทั้งโดยเพื่อนชวนไปหรือไปทำงานตามหมายเชิญ ผมเองก็ไม่เคยที่จะปฏิเสธนะครับ
ในทางตรงข้ามกลับรู้สึกยินดีเสียด้วยซ้ำ เพราะอย่างน้อยๆ การได้ไปเห็นความความยิ่งใหญ่สุดลูกหูลูกตาของทะเลก็เป็นการย้ำให้รู้ว่า เราเองก็แค่เศษเสี้ยวอันน้อยนิดในความยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ซึ่งต่อให้มนุษย์เราจะมีมันสมองที่ฉลาดปราดเปรื่องเท่าไรก็มิอาจจะเอาชนะได้
ทว่าก็เป็นเรื่องที่น่าแปลกนะครับที่หลายคนคิดเพียงแค่จะกอบโกยเงินทองจากความสวยความงามของธรรมชาติให้ได้มากที่สุดเพียงอย่างเดียวโดยไม่เฉลียวเลยว่าหากเมื่อยามถึงเวลาที่ธรรมชาติเอาคืนนั้น มันจะนำมาซึ่งการสูญเสียที่โหดร้ายและรุนแรงเพียงใด
เกริ่นเรื่องทะเลจนชักจะออกทะเล กลับมาที่บางแสนกันดีกว่า
หลังไม่ได้ไปเยือนเสียนาน เมื่อวันศุกร์-เสาร์ที่ 11-12 ก.พ.ที่ผ่านมาผมก็เกิดอาการครึ้มอกครึ้มใจที่จะไปเยือนเมืองแสนสุขแห่งนี้อีกครั้งหลังได้รับทราบว่าที่นั่นจะมีงาน "บางแสนย้อนยุค 2554"
เดี๋ยวนี้การเดินทางไปจังหวัดชลบุรีนั้นแสนจะสะดวกมากๆ ครับ ขนาดคนไม่มีรถอย่างผมยังใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าๆ บนรถตู้จากอนุสาวรีย์ชัยฯ กับอีกไม่ถึง 10 นาทีบนรถสองแถวสีแดง เท่านี้ก็ได้ไปยืนฟังเสียงสนต้องลมดังอู้ๆ ที่บางแสนแล้ว
บางแสนที่ผมเห็นวันนี้ต้องบอกว่าไม่ต่างอะไรไปจากที่มาเห็นเมื่อครั้งแรกมากนัก คือน้ำทะเลที่สีไม่ชวนให้น่าลงไปเล่น, มีขยะลอยอวดโฉมสื่อให้เห็นถึงความมักง่ายของผู้ทิ้งอยู่เป็นระยะๆ, ชายหาดที่เต็มไปด้วยร่มและเก้าอี้, นักท่องเที่ยวที่เมามายประเภทโป๊งชึ่งทัวร์, กลิ่นส้มตำ-ไก่ย่างที่หอมคละคลุ้งจนแทบจะกลบกลิ่นคาวของน้ำทะเล รวมไปถึงรถจักรยานเช่าที่ขี่พร้อมๆ กันได้ตั้งแต่ 2 ไปจนถึง 7-8 คน
ฟังแล้วอาจจะไม่น่าอภิรมย์เอาเสียเลยสำหรับคนที่ต้องการจะเสพบรรยากาศของทะเลประเภทไปนอนให้แดดโลมไล้ผิวกายบนหาดทรายขาวที่เงียบสงบ น้ำสีครามที่ชวนให้ดำลงไปดูปะการังและฝูงปลา มีที่พักหรูมองเห็นวิวสวย แต่ทั้งหมดมันก็คือเอกลักษณ์เฉพาะของที่ท่องเที่ยวแห่งนี้ครับ
ในความรู้สึกของผม บางแสนเหมือนกับอาหารคลาสสิกที่บางคนมองว่าเป็นอาหารสิ้นคิด อย่างกะเพรา...+ไข่ดาวครับ
จริงอยู่ที่ว่าบางแสนอาจจะไม่ใช่หรืออาจจะไม่เคยที่จะได้เป็นตัวเลือกอันดับต้นๆ เลยของผู้ที่เลือกจะไปเที่ยวทะเล แต่บางแสนก็มักจะเป็นตัวเลือกสุดท้ายเสมอของคนที่ไม่รู้จะไปเที่ยวทะเลที่ไหนดีมานานหลายสิบปี และนั่นเองที่ทำให้ชายหาดที่มีความยาวร่วม 5 กิโลแห่งนี้มีเรื่องมีราวให้จดบันทึกจนพอที่จะเป็นวันวานให้ผู้ที่เคยมีความผูกพันในความทรงจำหวนมาร่วมระลึกนึกถึงได้
ว่ากันถึงในส่วนของงาน "บางแสนย้อนยุค" ซึ่งจัดกันที่บริเวณลานแหลมแท่น ปีนี้จัดกันมาเป็นปีที่ 3 แล้วครับ มีเทศบาลเมืองแสนสุข องค์กรบริหารส่วนจังหวัดชลบุรี เป็นโต้โผ และมีผลิตภัณฑ์ตราช้างเป็นผู้ให้การสนับสนุน
ปีนี้บางแสนย้อนยุคไปในห้วงเวลาของละครดัง "วนิดา" ดังนั้นเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศ ผมก็เลยสมมติจนถึงขั้นต้องสะกดจิตหลอกตัวเองว่าเป็นคุณประจักษ์เหตุเพราะในความเป็นจริงหน้าตาของผมเมื่อเทียบกับคุณ "ติ๊ก เจษฎาภรณ์" แล้วคงจะเป็นได้แค่คุณกงจักรเท่านั้น
นอกจากจะได้เห็นวนิดาตั้งแต่รุ่นหลานยันรุ่นป้าจนระรานตาแล้ว ในงานก็มีกิจกรรมมากมาย ตั้งแต่โซนบางแสนวันวาน ที่มีอาหารเครื่องดื่มมากมายหลากหลายประเภทมาจำหน่าย, โซนบางแสนลีลาศ, โซนบางแสนร้อยปีที่มีนำสินค้าโบราณมาวางขาย ทั้งแผ่นเสียง โปสเตอร์ ของเล่นโบราณ, โซนเวทีรำวงย้อนยุค, โซนงานวัด ที่มีทั้งปาเป้า สายน้ำตกน้ำ รวมไปถึงในส่วนของเวทีกลางที่มีศิลปินมาขับกล่อมให้นึกถึงช่วงเวลาคืนวันที่ผ่านมา ทั้ง คีรีบูน, แม่เม้าส์ สุดา และแม่แดง ฉันทนา, วงสุนทราภรณ์, วงเพื่อน รวมถึง 2 ดูโอ เบิร์ท-ฮาร์ท
ผมเองตั้งใจจะไปดูวงเพื่อนครับ และก็ไม่ผิดหวังเพราะได้ฟังเพลงสนุกๆ ทั้ง ตี๋ดอยตุง, งานวัด ฯ หรือจะเป็นเพลงช้าๆ ซึ้งๆ อย่าง ป่านฉะนี้, ใจคนคอย จากเสียงหวานๆ ของคุณกุ้ง ตวงสิทธิ์ ที่ดูเหมือนแกจะหยุดอายุของหน้าตาไว้ที่ 25 เท่านั้น
แต่โดนที่สุดก็เห็นจะเป็น ว้าเหว่ ที่คุณฟาโรห์มือกีต้าร์เป็นคนร้องนี่แหละครับที่มันขยี้เข้าไปถึงหัวใจคุณประจักษ์เวอร์ชั่นหน้ากงจักรอย่างผมซึ่งเดินควั่กทั่วทั้งงานก็ไม่มีวนิดาคนไหนจะแม้แต่ชายตามอง กระทั่งอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงครวญหงิงๆ ไปตามเพลงอย่างไม่อายคนรอบข้างที่ควงกันมาเป็นคู่ หลายต่อหลายคู่...
ว้าเหว่ เร่ไปกับหัวใจ ช้ำ เหงากระหน่ำ ค่ำลงนอนนับดาว โอ้เราประครองรัก ไม่เป็น กฎเกณฑ์การเอาใจ สูญเปล่า ฟ้าในคืนนี้จึงดูเศร้า เดือนเสี้ยวแขวนแทนดาว ราวฟ้าดู ริบหรี่...
สำหรับบรรยากาศโดยรวมของการจัดงานก็คล้ายกับสถานที่อื่นๆ ในปัจจุบันที่ทำเหมือนๆ กัน นั่นคือจำเป็นจะต้องมีลานเบียร์ลานเหล้า, ร้านค้าขายของ ตลอดจนเน้นปริมาณของคนมาเที่ยวเป็นหลัก
แต่ที่ผมชอบก็คงจะเป็นแววตาและสีหน้าที่ยิ้มแย้มสดใสของคนที่ค่อนข้างจะสูงอายุที่จูงมือกันมาร่วมงานเป็นคู่ๆ บางส่วนก็มากันทั้งครอบครัว ขณะที่อีกหลายคู่ก็พากันไปโชว์ลีลาลีลาศบนฟลอร์ชนิดที่ต้องใช้คำว่าลืมอายุกันไปเลยทีเดียว
เห็นแล้วน่าอิจฉาครับ เพราะผมเชื่อว่าคนเหล่านี้มี "อดีต" ที่จับต้องได้จริงๆ ไม่ว่าจะเป็นบรรยากาศ ตลอดจนของกิน ของใช้ เสื้อผ้า ทรงผม การละเล่น ก่อนที่มันจะถูกคืนวันที่ผ่านไปทำให้กลายเป็นของเก่าที่มีความทรงจำฝังอยู่รอให้ไประลึกนึกถึง
ครั้นพอไปเห็นของเล่นเก่าๆ ทั้งเสื้อผ้า แผ่นเสียง ขนมที่เคยกินตอนเด็กๆ ได้ฟังเพลงสมัยที่ยังเป็นหนุ่มเป็นสาว หลายคนจึงอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา
เห็นผู้ใหญ่สูงวัยมีความสุข ก็อดไม่ได้ที่จะหันไปสังเกตวัยรุ่นซึ่งมีจำนวนไม่น้อยทีเดียวที่มาเที่ยวงานนี้ด้วยลักษณะที่คล้ายๆ กันทั้งเสื้อผ้า หน้าผม การแต่งตัว และไม่ว่าจะมากันเป็นคู่มากันเป็นกลุ่ม ทว่าแต่ละคนก็ดูจะไม่ค่อยพูดคุยกันเท่าไหร่ครับ เพราะทั้งมือทั้งหูต้องสาละวนอยู่กับเจ้ามือถือและบีบีที่ห้อยพกพามาด้วยคนละเครื่อง 2 เครื่อง
ยืนมองพวกเขาพวกเธอปรี่เข้าไปหาตู้โทรศัพท์ ตู้ไปรณีย์ รถสามล้อ ทีวี จักรยาน เก้าอี้ ร้านขายเด็กเล่นร้านขายโปสการ์ด ร้านกาแฟ ฯลฯ ที่ถูกจำลองจัดวางเอาไว้อย่างเก๋ไก๋สไตล์เรโทรเพื่อสำหรับการโพสต์ท่าถ่ายรูป โดยที่บางจุดถึงขนาดที่ต้องยืนรอคิวกันแล้วผมเอง(ที่ยืนรอคิวอยู่เช่นกัน 555)ก็อดที่จะเกิดความสงสัยขึ้นมาไม่ได้
เพราะไม่ว่าจะเป็นสถานที่อื่นๆ เช่น อัมพวา เพลินวาน ปาย สวนผึ้ง เชียงคาน ปาลิโอ-เขาใหญ่ ฯ ซึ่งบางสถานที่อย่างเช่นปาย หรือว่าเชียงคานผมเองก็ไม่เคยไปหรอกครับ แต่ก็มักจะมีคนมาเล่าให้ฟังว่ามักจะเห็นภาพที่วัยรุ่นเข้าไปถ่ายกับของใหม่ที่ทำเป็นของเก่า ธรรมชาติจำลอง อาคารก่อสร้างที่ทำให้เหมือนบรรยากาศเมืองนอก ฯ ในลักษณะนี้เหมือนๆ กันไปหมด
ไม่ได้หมายความว่ามันไม่ดี มันผิด หรือว่าพวกเขาพวกเธอเป็นนักท่องเที่ยวที่ไร้ความคิดเที่ยวตามกระแสแฟชั่นอะไรนะครับ กลับกันผมว่าดูน่ารักดีเสียอีกเวลาที่เห็นวัยรุ่นสาวๆ โพสต์ท่าถ่ายรูปด้วยการทำหน้าทำตาให้ดูแอ๊บแบ๊วที่สุด
เพียงแต่อย่างที่บอกว่ามันน่าคิดนะครับว่าการเสาะแสวงไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อที่จะพบกับบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเดิมๆ คล้ายๆ กันเช่นนี้ก็เพื่อที่จะต้องการไปหามุมเท่ห์ๆ เก๋ๆ ถ่ายภาพเอาไปขึ้นเฟซบุ๊คอวดเพื่อนหรือเปล่า? และในความเป็น "แต่ละสถานที่" นั้นมันได้สร้างความทรงจำหรือความผูกพันให้กับเด็กรุ่นใหม่ได้มากน้อยเพียงใด? รวมถึงมื่อเวลาผ่านไป 10-20 ปี พวกเขาพวกเธอจะคิดถึงปาย คิดถึงหัวหิน คิดถึงเชียงคาน คิดถึง...ในรูปแบบลักษณะไหนกัน? หรือไม่แน่ สิ่งที่เด็กวัยรุ่นสมัยนี้จะหวนระลึกถึงเป็นความทรงจำที่ดีๆ ในยามที่ตนเองแก่เฒ่าอาจจะเป็นพวกบีบี, ไอแพด, ไอโฟน, โน้ตบุ๊ค, กางเกงขาเดฟ, บิ๊กอายส์, ยามาฮ่าฟีโน่, รถไฟฟ้ามหานคร ฯ เหล่านี้ก็เป็นไปได้
ก็ได้หวังว่าตัวเองคงจะมีอายุยืนยาวพอที่จะได้รับฟังคำตอบนะครับ 555