Facebook...teelao1979@hotmail.com
พูดกันมาชนิดที่เรียกได้ว่าปากเปียกปากแฉะ จนเกือบๆ จะปากแบะปากแหก ปากแหวกปากฉีก ไม่ต่างไปจาก “หอ” ของ “แต๋ว” ที่ “แตก” และ “แหวก” ชิมิชิมิ...กันไม่รู้เท่าไหร่ต่อเท่าไหร่แล้ว เกี่ยวกับความหยาบความสถุลของหนังตลกไทยประเภทที่ “พูดคำด่าคำ” หรือไม่พูดอะไรเลย แต่ด่าเป็นไฟแลบ ทว่าจนถึงตอนนี้ หนังพวกนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปไหน หลายๆ คนคงสงสัย...มันไม่นึกละอายใจกันบ้างเลยหรือไร เขาด่าเขาถุยกันขนาดหนัก มันก็ยังปักหลักทำกันอยู่ได้ราวกับว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาว
ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ เพราะความจริง ต้องยอมรับว่า ถึงแม้ผมและคุณหลายๆ คนจะไม่ชอบมันซะเลย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีคนที่เปิดใจอ้าแขนต้อนรับหนังพวกนี้ จะว่าไป มันก็คงคล้ายๆ กับละครไทยทางฟรีทีวีนั่นแหละครับ ต่อให้มันปัญญาอ่อนไร้สาระขนาดไหน มันก็ยังมีคนที่พร้อมจะนั่งถ่างตาดูอยู่วันยันค่ำ
และก็เพราะอย่างนี้แหละครับ บางครั้งบางที มันทำให้ผมอดมานั่งปลงสังเวชตัวเองไม่ได้ว่า นี่ผมมันบ้าหรือว่าโลกมันเพี้ยนกันแน่ (วะ?) เพราะทั้งๆ ที่ผมเห็นว่าหนังตลกบางเรื่อง มันห่วยแตกขนาดหนัก แต่ก็ยังมีคนอีกเป็นจำนวนมากที่ “มีความสุข” ไปกับมันได้ และพอคิดๆๆ หลายต่อหลายครั้งเข้า ผมก็ถึงซึ่งสมมติฐานใหม่ว่า บางที ผมอาจจะต้องเปลี่ยน “มุมใหม่” ที่จะ “มอง” เพราะบางสิ่งบางอย่าง ต่อให้เราชิงชังมันแค่ไหน มันก็ไม่ได้รู้สึกทุกข์ร้อนอะไรกับเราด้วยเลย
ก็ดูอย่างหนังของคุณพจน์ อานนท์ สิครับ ต่อให้เราด่าแก ตำหนิแก ไปจนกระทั่งเราตาย แกก็จะยังคงทำหนังสไตล์โคตรหยาบอยู่เช่นนี้ต่อไป แถมนายทุนก็แฮปปี้ยินดีที่จะจ่ายงบให้แกทำหนังแบบนี้ออกมาอีก เพราะถึงอย่างไร หนังของแกก็การันตีรายได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ โอเคล่ะ มันอาจจะไม่ทำกำไรนักหนา แต่ก็ไม่เคยทำให้นายทุนใจเสียหรือเสียใจ
ผมว่าถึงตอนนี้ เราคงต้องมาทำความเข้าใจกันแล้วล่ะว่า หนังของคุณพจน์ อานนท์ คือหนังแบบไหน หรือถ้าเราคิดจะเข้าไปดูหนังของผู้กำกับซือเจ๊คนนี้ เราควรจะจัดวางโหมดความรู้สึกของตัวเองอย่างไร เพื่อให้กลมกลืนกับ “ตัวตน” ของหนังเจ๊แก ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องมานั่งบ่นเสียดายตังค์และสาปแช่งผู้กำกับตามหลังด้วย
แน่นอนครับ สิ่งที่เราจะได้เห็นในหนังของเจ๊พจน์ ไม่ใช่บทภาพยนตร์ที่น่าประทับใจ แม้ว่าเราจะเห็นแกพยายาม “ทำซึ้ง” อยู่บ้างกับหนังอย่าง “เการักที่เกาหลี Sorry ซารังเฮโย” (ชื่อเรื่อง 3 ชาติ 3 ภาษา โอ้วว...สวดยอดดดด) แต่นั่นก็ดูเหมือนจะไม่ใช่ “ทาง” ของแกเอาซะเลย เพราะมันดู “ตื้นเขิน” ได้น่าเบื่อสุดๆ ใครดูแล้วซึ้ง ผมว่าอารมณ์ดราม่าของคุณต้องมีปัญหาแน่ๆ นอนๆ
แล้วอะไรที่เราจะได้เห็นในหนังของเจ๊พจน์?
มันก็คือบทภาพยนตร์ที่ไม่มีทิศมีทาง ไม่มีประเด็นซึ่งเป็นแก่นของเรื่อง เหมือนคนทำหรือคนเขียนบทก็นึกไม่ออกว่าจะบอกอะไรกับคนดู มีมุกตลกอยู่จำนวนหนึ่ง ก็ค่อยๆ ทยอยยัดไว้เรียงรายตามจุดต่างๆ ของเนื้อเรื่อง มุกตลกก็ได้เรื่องบ้าง ห่วยบ้าง นี่คือลักษณะอย่างหนึ่งซึ่งเราจะได้เห็นในหนังของพจน์ อานนท์
แต่ “จุดโคตรเด่น” ที่แทบจะถือเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวของหนังของผู้กำกับคนนี้ ก็ย่อมหนีไม่พ้นคำสบถหยาบๆ นานาสารพัดสัตว์ ผมล่ะชอบใจชะมัดเลยที่ใครหลายๆ คนบอกว่า ให้คุณพจน์แกทำหนังแบบนี้ต่อไปแหละดีแล้ว เพราะมันดู “ออกมาจากหัวจิตหัวใจ” ของแกดี พจน์ อานนท์ ในความเป็นจริงเป็นอย่างไร ในหนังของเขาก็เป็นเช่นนั้น ในแง่นี้ เขาน่าจะเป็นผู้กำกับที่ “ซื่อสัตว์ๆ” เอ๊ย...ขอประทานโทษครับ...“ซื่อสัตย์” และ “จริงใจ” ต่อตัวตนของตัวเองสุดๆ แล้วล่ะครับ
ดูจากรูปการ แกน่าจะเป็นคนที่พ่นคำด่าได้ทุกวาระและโอกาส อีหมัด ไอ้หมัด น่าจะอยู่โคนลิ้นของแกเสมอ ดังนั้น เวลาทำหนัง มันก็เลย Automatic คลิกออกมาโดยอัตโนมัติ ถ้าใครถาม ก็มักจะโดนสวนกลับทำนองว่า ไอ้คำหยาบๆ พวกนี้ “ใครๆ” เขาก็พูดกันตลอดในโลกความเป็นจริง คำถามที่ผมอยากถามก็คือ “โลกความเป็นจริง” ของใครครับ และขอโทษเถอะ “ใครๆ” ที่คุณว่า รวมบิดามารดาญาติโกโหติกาคุณด้วยหรือเปล่าครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่น่าจะมีผมรวมอยู่ใน “ใครๆ” นั้นด้วยแน่
อย่างไรก็ตาม ที่พูดมาทั้งหมด ไม่ใช่ว่าผมเกลียดชังผู้กำกับที่ชื่อ “พจน์ อานนท์” แต่อย่างใดเลยครับ เพราะก็อย่างที่บอก บางที เราควรทำความเข้าใจในกันและกันให้กระจ่างเสียก่อน เพื่อจะได้ไม่ผิดหวังด้วยกันทั้งสองฝ่าย มันเป็นการเซฟทั้งเวลาและเงินทอง เหมือนกับการที่คุณจะเดินเข้าไปดูหนังของผู้กำกับคนอื่นๆ ก็เช่นเดียวกัน คุณอาจจำเป็นต้องมีข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับผู้กำกับคนนั้นๆ บ้าง อย่างถ้าคุณจะดูหนังของคุณเป็นเอก รัตนเรือง คุณก็ต้องรู้ว่าอีตาหมอนี่ แกมีสไตล์การทำหนังอย่างไร เข้าใจยากมั้ย? ต้องดวดกาแฟสักสิบแก้วก่อนแน่วไปโรงหนังไหมเพื่อจะได้ไม่ง่วงกับฉากหน่วงเวลาแบบ Long Take ของแกที่มักจะมีให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
ผมว่าความเข้าใจแบบนี้แหละครับที่จำเป็นระดับหนึ่งสำหรับคนดูหนังยุคนี้ที่ราคาค่าตั๋วบวกกับข้าวโพดคั่วและน้ำอัดลมหนึ่งแก้ว มันมากพอที่จะทำให้คุณใช้ชีวิตอยู่ได้ 3-4 วัน
ผมคิดอย่างนี้นะครับว่า ถึงจุดหนึ่ง (หรือตอนนี้ มันอาจจะถึงจุดนั้นแล้วก็ได้) หนังสไตล์ของคุณพจน์ อานนท์ นี่ จะมีสถานะเป็น “หนังคัลต์” เข้าสักวัน คือต่อให้มันถูกประชาสาธารณะก่นด่าประณามสักแค่ไหน แต่มันก็จะยังมีกลุ่ม “แฟนคลับเดนตาย” กลุ่มหนึ่งตามดูตามชมกันอย่างเหนียวแน่น แฟนคลับกลุ่มไหน ก็คงเป็นกลุ่มที่ “รับได้” และ “มีความสุข” กับการเห็นคนพ่นคำสบถใส่กันนั่นแหละครับ
ในความเป็นหนังคัลต์ ผลงานอย่าง “หอแต๋วแตก แหวกชิมิ” นั้นก็ดูจะมีองค์ประกอบที่แสดงพลังของความเป็นหนังคัลต์ออกมาอย่างเห็นได้ชัด ตัวละครตุ๊ดแต๋วเกย์กะเทยนี่ “เฉพาะกลุ่ม” แน่ๆ นอนๆ และที่มันแปลกประหลาดพอที่จะจัดคำว่าคัลต์ให้มันได้เลย ก็คงเป็น “จรวด” รูปลักษณ์หน้าตาคล้ายปลัดขิกนั่นแหละครับ คือถ้าเรามองว่า “หัวจุก” บนหน้าอกของสาวๆ ในหนังอย่าง Robo-Geisha (โนโบรุ อิกูชิ) คือสิ่งที่สะท้อนความเป็นหนังคัลต์ มันก็คงไม่ผิดแปลกอันใดที่เราจะพูดว่า “จรวดปลัดขิก” ในหนังของคุณพจน์ อานนท์ ก็คืออีกหนึ่งตัวตนของความเป็นคัลต์ ขณะที่การแต่งเนื้อแต่งตัวของตัวละครในเรื่องก็ดูแปลกประหลาดถึงขั้นที่เรียกว่าหลุดโลกได้สบายๆ และไอ้ความหลุดโลกนี่แหละครับที่ก็เป็นรูปลักษณ์หนึ่งของความคัลต์
อย่างไรก็ดี สิ่งที่เราไม่ควรจะลืมเลย ก็คือว่า “คัลต์” ของคนๆ หนึ่ง อาจจะไม่คัลต์สำหรับคนอีกคน ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องที่หาบทสรุปได้ค่อนข้างยากเวลาที่ใครๆ มานั่งเถียงกันว่าอันไหนคัลต์ไม่คัลต์ ก็เหมือนอย่างขณะที่คนบางคนบอกว่าหนังของคุณพจน์สามารถจดทะเบียนเป็นหนังคัลต์ได้ แต่อีกคนอาจจะบอกว่ามันก็แค่หนังห่วยๆ หยาบๆ เรื่องหนึ่งเท่านั้นแหละ
แต่ไม่ว่ามันจะคัลต์หรือไม่คัลต์ประการใด สิ่งที่ผมมั่นอกมั่นใจก็คือว่า การจะห้ามน้ำห้ามไฟ ห้ามความจัญไรของคน ห้ามอย่างไรก็ห้ามกันได้ยาก เช่นเดียวกัน จะห้ามผู้กำกับภาพยนตร์ไม่ให้ทำหนังห่วยๆ หนังหยาบๆ เราก็ไม่มีวันไปบีบคอห้ามเขาได้ ประเด็นมันอยู่ที่เราเองต่างหากที่จะตัดสินใจอย่างไร
เหมือนกับคนอื่นๆ ผมไม่ห้าม ไม่ด่า ไม่อะไรหรอกครับ คุณพจน์ อานนท์ เพราะถึงตำหนิไป มันก็คงไม่มีอะไรงอกงามขึ้นมา คุณทำหนังแบบนี้ต่อไปเถอะ ด้วยความสบายใจ ด้วยความปลอดโปร่งโล่งใจ มันเป็นตัวตนของคุณ มันเป็นจิตวิญญาณของคุณ ส่วนในฟากฝั่งของคนดู ถ้าคุณชอบอะไรในแบบที่ “พูดคำด่าคำ” หรืออะไรทำนองนี้ ความหยาบของ “หอแต๋วแตกฯ” น่าจะแหก เอ๊ย! แหวกริมฝีปากของคุณให้ฮาก๊ากออกมาได้
แต่ถ้าคุณไม่ใช่ อย่าไปดูเลยครับ เอาเงินที่มีอยู่ไปซื้ออาหารเลี้ยงสุนัขจรจัดข้างถนน ผมว่า น่าจะมีประโยชน์กว่าเยอะ ชิมิ ชิมิ??