xs
xsm
sm
md
lg

“อาร์ม วิบูลย์” ดึงลูกบอสวิก 3 ลงขันเฉียด 100 ล้านเปิดช่องสปีดแชนแนล มั่น 3 ปีคืนทุน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“อาร์ม วิบูลย์” ดึงลูก "บอสประวิทย์" ช่อง 3 พร้อมเพื่อนพ้องในวงการลงขันเฉียด 100 ล้าน เปิดช่องสปีดแชนแนลเอาใจคนรักรถ มั่นใจ 3 ปีจะสามารถคืนทุน เป็นปลื้มทำครอบครัวข่าว 3 ประสบความสำเร็จ ในเรื่องของการช่วยเหลือสังคม ปัดทำงานเร็วกว่ารัฐบาล

จัดงานเปิดตัวช่องสปีดแชนแนล ที่ออกอากาศทางช่องทรูวิชั่น 72 ไปแล้ว สำหรับหัวเรือใหญ่อย่าง “อาร์ม วิบูลย์ ลีรัตนขจร” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท เซิร์ช เอนเตอร์เทนเม้นท์ ที่งานนี้ได้หุ้นส่วนใหญ่ทางธุรกิจอย่าง “อ๋อง วรวรรธน์ มาลีนนท์” ลูกชายของ “นายประวิทย์ มาลีนนท์” บอสใหญ่แห่งช่อง 3 มาช่วยกันลงทุนสร้างช่องดังกล่าวให้แจ้งเกิด นอกจากนี้ยังมี “หน่อง อรุโณชา ภาณุพันธ์” ทัพหน้าของบริษัทบรอดคาซท์ ไทยเทเลวิชั่น, "จอนนี่ แอนโฟเน่", "โบ๊ท วิบูลย์นันท์" ฯลฯ มาช่วยกันลงขันหุ้นด้วย ทั้งนี้ "อาร์ม วิบูลย์" ได้เปิดใจถึงช่องน้องใหม่สปีดแชนแนลที่เพิ่งคลอดออกมาหมาดๆ ว่า

“สปีดแชนแนลเป็นสถานีที่ทำรายการเกี่ยวกับรถ 24 ชม.ครั้งแรกในประเทศไทย ในระบบเคเบิ้ลทีวีเราออกอากาศผ่านช่องทรู72 กับพี่หน่องก็รู้จักกันมา กับคุณอ๋อง วรวรรธน์ มาลีนนท์ ก็ชอบรถยนต์อยู่แล้ว ยิ่งโบ๊ท วิบูลย์นันท์, จอนนี่ แอนโฟเน่ ที่เป็นหุ้นส่วนเราก็ชอบ ยิ่ง 2 ปีหลังกับหุ้นส่วนเรายิ่งสนิทกันมากขึ้น เราก็วางแผนว่าจะทำธุรกิจด้านเคเบิ้ลบ้าง เพราะทำมาหลายอย่าง ทั้งวิทยุ หนังสือ คอนเสิร์ต หรือข่าว เราก็มองความเป็นไปได้ว่าสามารถทำช่องได้ เราก็ลองดูช่องทางในการออกอากาศ เลยตัดสินออกอากาศที่ทรู เพราะกลุ่มเป้าหมายตรงกับเราพอดี”

“คุณอ๋องกับผมหุ้นเท่ากันครับ รองลงมาเป็นพี่หน่อง แต่ในส่วนของคุณอ๋องไม่เกี่ยวกับช่อง 3 นะ เพราะเป็นเรื่องส่วนตัวของคุณอ๋องมากกว่า ที่ลงทุนไปมากที่สุดคืออุปกรณ์การถ่ายทำ รวมไปถึงการสร้างสตูดิโอใหม่ทั้งหมด เฉพาะอุปกรณ์หลายสิบล้านแล้วครับ ส่วนการลงทุนทำช่องสปีดแชนแนลไม่ควรเกิน100 ล้านบาท มันควรจะลงทุนได้เท่านี้ และผมตั้งเป้าว่าภายใน 3 ปีควรจะคืนทุนได้แล้ว”

“ถามว่าคาดหวังแค่ไหนว่าจะสำเร็จ ผมว่าความสำเร็จมาพร้อมความขยัน ความซื่อสัตย์ ความกตัญญู มันจะสำเร็จได้ก็ต้องมีทุกคนช่วยกัน ทั้งทีมงานและหุ้นส่วนต้องช่วยเหลือกัน สำหรับรายการของช่องสปีดแชนแนลทุกวันนี้ เราออกอากาศมาได้ประมาณ 1 เดือน ผมยังเห็นปัญหาอะไรเยอะ ทั้งที่คิดว่ามันควรจะทำได้ แต่ไม่ได้ก็มี ตอนนี้ในสายตาผมมองว่ามันได้แค่ 20 เปอร์เซ็นต์เอง และภายใน 3 เดือนนี้ผมเชื่อว่าจะถึง 30-40 เปอร์เซ็นต์ ถ้าจะให้เต็ม 100 คงเป็นปี ขอให้มันผ่าน 50-70 ไปก่อน”

เชื่อธุรกิจเคเบิ้ลยังไปได้สวย ถ่อมตัวบริษัท "เซิร์ช เอนเตอร์เทนเม้นท์" เป็นแค่บริษัทเล็กๆ โตมาแบบอินดี้ไม่คิดเข้าตลาดหลักทรัพย์ พร้อมเผยปีนี้ครอบครัวข่าว 3 จะเน้นรับใช้สังคมมากขึ้นกว่าเดิม

“ผมมองธุรกิจเคเบิ้ลว่าน่าจะทำได้ยาวอย่างน้อย 5 ปี ที่เราทำกับทรู ถามว่ากลัวไหมวันนึงเคเบิ้ลอาจจะมีปัญหา ไม่กลัวครับ ผมเชื่อว่าสุดท้ายเทคโนโลยีจะพาไปสู่โลกออนไลน์ ผมมองบ.เซิร์ชและผมคิดเสมอว่า ผมเป็นบริษัทเล็กๆ คือบริษัท เซิร์ช เอนเตอร์เทนเม้นท์ ในความรู้สึกผมเป็นอิสระ ผมโตมาแบบอินดี้ในยุคแรกๆ ทุกวันนี้เราก็ยังเป็นอินดี้ เราไม่คิดว่าบริษัทต้องใหญ่โตเข้าตลาดหลักทรัพย์ ก็ยังติดดินธรรมดา”

“สำหรับแผนงานของครอบครัวข่าวที่เราทำอยู่ 3 ปีนี้เน้นเรื่องคอนเน็ก ยกตัวอย่างเรื่องประสบภัยน้ำท่วม ที่ผ่านมาเราได้ร่วมมือกับหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชน อย่างกองทัพเรือที่ช่วยขนของ หรือบริษัทต่างๆ ที่เอารถมาช่วยขนของ มันไม่มีความสำเร็จได้ถ้าทำงานคนเดียว และเราจะเน้นเรื่องสิ่งแวดล้อม ปัญหาปากท้องเศรษฐกิจ และเรื่องครอบครัว เราเห็นความสำคัญของครอบครัว ยกตัวอย่างกรณีน้องโตมี่ เห็นได้ชัดเลยว่า จากเรื่องในครอบครัวที่เด็กคนหนึ่งโดนยิง ก็นำไปสู่การค้าอาวุธ การค้ายา มันส่งผลที่ยิ่งใหญ่มาก ปีนี้เราจะเน้น 3 เรื่องนี้เป็นหลัก เราจะรับใช้สังคมมากขึ้น เราประสบความสำเร็จจากการบริจาคสิ่งของ การให้ความช่วยเหลือเรื่องเงินต่างๆ เราจะทำได้ดีกว่าเดิม”

“ถามว่ารู้สึกยังไงที่คนมองว่า การทำงานของครอบครัวข่าว 3 รวดเร็วกว่ารัฐบาล ผมไม่มีความคิดแบบนั้นนะ ผมว่าทางรัฐบาลก็มีศักยภาพที่แข็งแรง ถึงแม้ว่ามันจะมีขั้นตอนอะไรต่างๆ แต่มันจะยั่งยืน ซึ่งครอบครัวข่าว 3 อาจเป็นแค่ช่วงเวลาหนึ่งที่ช่วยได้ฉับไว เพราะเราเป็นภาคเอกชน จะไม่ทำงานที่มีความยั่งยืน จบงานนี้ก็แค่นี้เพราะฉะนั้นหน้าที่ของเรา ประชาชนอาจจะเห็นว่าเราทำ แต่ก็เป็นแค่เวลาหนึ่งเท่านั้น ทางรัฐบาลมั่นคงและมีเสถียรภาพมากกว่า”

“และเราก็ดีใจที่ประชาชน ถ้ามีปัญหาอะไรก็จะมาขอความช่วยเหลือที่ช่อง 3 ผมดีใจมากที่มันเป็นอย่างนั้น เรามีตู้ปณ.ข่าว 3 เป็นหน้าที่อย่างหนึ่งของการเป็นสื่อมวลชน ปีนี้เราทำมาเป็นปีที่ 6 ถึงเวลาที่ต้องรับใช้สังคม เราดีใจที่ทุกคนนึกถึงครอบครัวข่าว ทุกวันนี้เรามีความพร้อมแล้ว เรารับเรื่องราวร้องทุกข์ ตลอดจนภารกิจต่างๆ ที่เราช่วยเหลือ ปี 54 นี้เราก็อยากเป็นหน่วยงานหนึ่งที่เป็นสื่อมวลชน ที่พร้อมจะทำช่วยเหลือสังคม”


กำลังโหลดความคิดเห็น