xs
xsm
sm
md
lg

ดูก่อนด่า อย่าด่าก่อนดู : นาคปรก จากโล้นในหนัง สู่โล้นผ่านฟ้า/อภินันท์

เผยแพร่:   โดย: อภินันท์ บุญเรืองพะเนา


อีเมล์ : apnunt@yahoo.com

เบื้องหน้าจานอาหาร หญิงสาวรุ่นพี่ที่ไปดูหนังเรื่องนี้กับผม กล่าวถ้อยคำประโยคหนึ่งซึ่งกลายเป็นหัวข้อที่ให้ผมเก็บมาคิดต่อได้อีก เธอบอกว่า คนเรานั้น บางทีก็มองกันเพียงผิวเผินและถนัดแต่จะสร้างกำแพงแห่งความชังคนอื่นๆ ได้ทุกเมื่อ การณ์จึงกลายเป็นว่า บ่อยครั้งหลายหน อย่าว่าแต่จะอยากทำความรู้จักกับใครสักคนอย่างจริงจังเลย แต่เพียงแค่ได้ยินได้รู้อะไรบางอย่าง (ที่อาจจะจริงหรือไม่จริง) เกี่ยวกับคนๆ นั้นมา เราก็สามารถเกลียดเขาได้แล้ว


ความชังนั้นสร้างง่าย เพราะมันไม่ต้องใช้ความพยายามหรือพึ่งพาปัจจัยเงื่อนไขอะไรมาก เห็นหน้าครั้งแรกแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตาหรือไม่ชอบขี้หน้า เท่านี้ก็ชังได้แล้ว มันต่างจากความรักที่ต้องค่อยเป็นค่อยไป และเหนืออื่นใด คือการเปิดโอกาสให้ตัวเองได้เรียนรู้ทำความเข้าใจคนนั้นๆ สิ่งนั้นๆ อย่างถ่องแท้

แต่ก็อย่างที่รู้กันนั่นแหละครับว่า อิฐหินปูนทรายหรืออุปกรณ์ในการก่อสร้างกำแพงนั้น มันสามารถหาซื้อได้ง่ายๆ ตามร้านค้าทั่วไป แต่ความเข้าอกเข้าใจไม่มีจำหน่ายที่ไหน ใช้บัตรเครดิตรูดเอาไม่ได้ และเงินในกระเป๋าก็ช็อปเอาความเข้าอกเข้าใจมาครองไม่ได้อีก แต่ถ้าถามว่ามันได้มาด้วยวิธีใด หญิงสาวรุ่นพี่คนนั้นบอกกับผมสั้นๆ ว่า “ก็ทำความเข้าใจเอาสิ”!?!?

...หลังจากแยกย้าย (แต่ไม่ได้ “แยกทาง”) กับเธอ ผมมาคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหนังที่เพิ่งดูมา แล้วรู้สึกว่า ถ้อยคำของหญิงสาวรุ่นพี่นั้นเป็นจริงอย่างที่สุด เพราะถ้าไม่นับรวมเวลากว่า 3 ปีที่หนังเรื่องนี้ต้องผ่านพบกับอะไรต่อมิอะไรมา (ทั้งตักเตือน ต่อต้าน คัดค้าน วิจารณ์ในแง่ลบ ฯลฯ) แม้แต่ช่วงก่อนที่หนังเข้าฉาย ก็ยังมีคนบางกลุ่มออกมาตีโพยตีพายต่อสิ่งที่หนังนำเสนอ ถึงขั้นเรียกร้องให้มีการ “แบน” (ห้ามฉาย) หนังเรื่องนี้ไปเลยก็มี

และที่มันน่าเจ็บปวดหัวใจมากๆ ก็คือว่า บรรดาคนที่ออกมาร้องแรกแหกกระเชอนั้น ยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ!!

จริงๆ ก็เข้าใจล่ะครับว่า การออกมาประท้วงหนังของท่านเหล่านี้ ล้วนเกิดจากความปรารถนาดีต่อศาสนา แต่ผมก็ไม่เห็นด้วยแต่อย่างใด ถ้าเพียงแต่ดูแค่ “หนังตัวอย่าง” แล้วก็รีบตัดสินความดีความเลวของมัน และสำหรับผม การทำแบบนั้นมันยิ่งทำให้ “ผู้หวังดี” กลายเป็น “ตัวตลก” เข้าไปใหญ่

ผมว่า แฟนคลับประจำคอลัมน์ของผมอย่างคุณที่ใช้นามว่า “คนตรง จริงใจ” ซึ่งออกตัวให้รู้ตลอดว่าเข้ามาเพื่อกระซวกความคิดเห็นอย่างเดียวโดยไม่อ่านเนื้อหาบทความของผมเลยนั้น ยังสามารถมองเป็นเรื่องขำๆ ได้ แต่กับเรื่องการออกมาค้านหัวชนฝาโดยไม่ดูเนื้อหาของหนังก่อนแบบนี้นั้น มองมุมไหน ผมว่ามันก็ดูจะใจแคบกันเกินไปหรือเปล่า?

บทความครั้งนี้ ผมขออนุญาตไม่ลงลึกในรายละเอียดอะไรมากมาย แต่เท่าๆ ที่ตามองเห็น ผมว่ามันก็เป็นหนังที่ดีเรื่องหนึ่งซึ่งมีทั้งคุณค่าเชิงสาระและอรรถรสความบันเทิง และสิ่งที่ผมชอบมากๆ ในหนังเรื่องนี้ก็คือ ฝีมือการกำกับการแสดงของคุณใหม่-ภวัต พนังคศิริ ที่สามารถรีดเค้นศักยภาพของนักแสดงออกมาได้อย่างเต็มที่ และทั้งนี้ทั้งนั้น ก็เกิดจากพรสวรรค์ในด้านการแสดงของดาราแต่ละคนด้วยที่ตีบทบาทของตัวเองแบบสมจริงสมจัง ไม่ว่าจะเป็นเต๋า-สมชาย, เร แม็คโดแนลด์, เต้-ปิติศักดิ์ รวมไปจนถึงคุณอาสะอาด เปี่ยมพงศ์สานต์ ที่ก็โชว์ฝีมือนักแสดงรุ่นลายครามได้แบบไม่น้อยหน้า 3 คนรุ่นหนุ่มเลย

คือทั้งๆ ที่ทุกๆ อย่างมัน “ดีพร้อม” ถึงเพียงนี้ ผมก็จึงแปลกใจจริงๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับหนัง โอเค ถ้าจะมองกันอย่างหยาบๆ เลย นี่มันก็เป็นแค่ “หนัง” เรื่องหนึ่ง “หนัง” ที่อยู่ในโลกของมายา ซึ่งคำว่า “มายา” ก็บอกอยู่แล้วว่าไม่ใช่ “ความจริง” (แต่ถ้าผู้กำกับคนไหนจะใช้หนังเป็นเครื่องมือสื่อสะท้อนโลกความเป็นจริงอะไรบ้าง ก็เป็นความสนใจส่วนบุคคลของผู้กำกับคนนั้นๆ) แต่ก็อีกนั่นแหละ ที่ผ่านๆ มา มันก็ยังไม่วายที่จะมีคนออกมาเต้นแรงเต้นกาเพราะสิ่งที่เห็นใน “โลกมายา” อยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อมันเกี่ยวข้องกับเรื่องพระหรือศาสนา

ผมเคยพูดไว้ครั้งหนึ่งแล้วว่า ถ้าผู้กำกับทำออกมาชุ่ย สังคมนั้นจะตัดสินเอง แต่นั่นก็คือ คุณต้องไปดูก่อน อยากจะด่าหรือชม ควรต้องได้ดูก่อนให้เข้าอกเข้าใจ และพูดก็พูดเถอะ ถ้าคุณคิดจะทำหน้าที่ “สอดส่องดูแล” ศาสนาจริงๆ ผมว่าแทนที่จะมาจ้องจะกัด “โลกมายา” เราหันหน้าไปมองโลกความเป็นจริงกันดีกว่าไหมครับ?

เคยรู้เคยเห็นหรือเปล่าครับว่ามันยังมีพระสงฆ์องค์เจ้าบางรูปไปเดินห้างสรรพสินค้าอย่างพันธุ์ทิพย์ซึ่งเป็นอโคจรสถานโดยแท้ ขณะที่บางที เราสามารถเห็นพระเณรไปเดินเข็นรถช็อปปิ้งตามศูนย์การค้าร่วมกับญาติโยม ซึ่งดูยังไงก็ “ไม่งาม”

นั่นยังไม่นับรวมว่า เมื่อเร็วๆ นี้ ก็ยังมี “พระมหา” บางรูป ออกมา “โชว์” ความคิดเห็นทางการเมืองด้วยถ้อยคำรุนแรงว่า “ไปยึดเมียไอ้เทพเทือก ยึดเมียเอามาถวายพระ” แถมยังท้าทายอีกว่า “ไม่เห็นมึงมีน้ำยาจับกู กูไม่กลัวมึงหรอก กูก็รู้ว่ามึงดักฟังโทรศัพท์กู กูจะด่าแม่มึงทางโทรศัพท์นั่นแหละ มึงไม่มีน้ำยาหรอก” แล้วยังมีพระภิกษุสงฆ์ที่ไปร้องเย้วๆ อยู่แถวๆ เวทีถนนราชดำเนินนั่นอีก

ผมว่าเรื่องจริงแบบนี้ มัน “เจ็บกว่า” เป็นไหนๆ เลยครับ แต่วันคืนผ่านไป ผมไม่เห็นว่าจะมีผู้หวังดีหน้าไหนออกมา “จัดการความจริง” เหล่านี้เลย จริงไหม??

กลับมาที่เรื่องหนัง บอกตามตรงครับว่า หนังเรื่อง “นาคปรก” นอกจากจะไร้ซึ่งน้ำเสียงแห่งการลบหลู่ดูหมิ่น (หรือทำลาย) พุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิงแล้ว ยังสามารถกล่าวได้ว่ามันเป็นหนังที่ “ส่งเสริม” พระพุทธศาสนาอย่างเต็มที่ด้วยซ้ำ และถ้าการส่งเสริมพุทธศาสนาเป็นบุญอย่างหนึ่ง “นาคปรก” ก็สมควรที่จะได้รับผลบุญนั้นเต็มๆ

หรือถ้าจะพูดให้ถูก ขณะที่หนังพยายามจะสื่อสะท้อนถึงความเลวร้ายที่เป็นอยู่และเป็นไปในสังคมวัด ในอีกด้านหนึ่ง มันยังดูเป็นหนังที่ “พูดภาษาพระ” สั่งสอนหลักธรรมความดีความเลวกันแบบตรงไปตรงมาเลยด้วยซ้ำ ผ่านถ้อยคำในบทพูด (Dialogue) ของตัวละครในเรื่อง หลายๆ ฉากที่ฟังดูราวกับหนังกำลังนั่งบนธรรมาสน์ประกาศธรรมกถาต่อหน้าคนดูหนังยังไงยังงั้น

โอเคล่ะ พูดกันตามจริง อาจจะมีหลายสิ่งหลายอย่างหรือกระทั่งหลายๆ ฉากในหนังที่ดู “รุนแรง” และขัดแย้งกับวิถีแห่งสมณะที่ควรจะเป็น อย่างเช่น พระถือปืน พระพูดคำหยาบ หรือแม้แต่พระขอมีเซ็กซ์กับหญิงสาว แต่ถ้าคุณได้ดู คุณจะเห็นว่า คนเหล่านี้ไม่ใช่ “พระ” เลย พวกเขาแค่โกนผมห่มเหลืองเพื่อหนีตำรวจ

ในหนัง มันมีฉากๆ หนึ่งซึ่ง “ป่าน” (สมชาย เข็มกลัด) นั่งคุยกับ “สิงห์” (เร แม็คโดแนลด์) ตรงระเบียงกุฏิ ซึ่งผมถือว่ามันเป็นฉากที่ช่วยเซฟหนังได้เป็นอย่างดี เพราะทั้งๆ ที่นุ่งเหลืองห่มเหลืองอยู่ แต่ป่านกลับเปรยกับสิงห์ขึ้นมาว่าเขาอยากบวช

โอ้ นี่มันอะไรกัน ถ้าไม่คิดว่าเป็นอารมณ์ตลกร้ายอย่างสุดๆ ของผู้กำกับ (จะไม่ตลกได้อย่างไร เมื่อคนที่อยู่ใน “รูปแบบ” ของพระแท้ๆ กลับบอกว่าตัวเองอยากบวชพระ) แต่เจตนาที่ล้ำลึกกว่านั้นซึ่งแฝงอยู่ในฉากนี้ก็คือ การบอกกับคนดูว่า “พวกเขา” ไม่ใช่พระ ดังนั้น ใครก็ตามที่คิดว่าคนทำหนังกำลังทำให้ภาพของพระดูเสื่อมเสีย ก็ควรคิดใหม่ เพราะแม้แต่ตัวละครที่เป็นพระเอง ก็ยังยอมรับว่าพวกเขาไม่ใช่พระ

ผมเข้าใจว่าที่คนส่วนหนึ่งออกมาต่อต้านหนังเรื่องนี้ก็คงเป็นเพราะ “เปลือก” ของมันนี่เอง พระปลอมนั้นคือ “เปลือก” ไม่ต้องพูดถึงกิจกรรมที่พระปลอมทำทั้งหมดที่ล้วนแล้วแต่เป็น “เปลือก” ของหนังทั้งสิ้น แต่มันถูกต้องแล้วหรือที่เราจะหยุดตัวเองไว้แค่ “เปลือก” แทนที่จะมองทะลุเข้าไปเพื่อ “ทำความเข้าใจ” ให้ถึงแก่นแท้เนื้อในของมันว่าต้องการจะสื่อสารอะไรกับคนดู

ก็คงเหมือนกับการมองคน ที่บ่อยครั้งหลายหน เราก็ตัดสินกันที่รูปลักษณ์ภายนอก ด้วยเหตุนี้กระมัง มันจึงยังมีเรื่องราวแบบ “คนดีๆ พ่ายคนดูดี” ให้เราเห็นอยู่บ่อยครั้ง เพราะคนดีๆ มันต้องพิสูจน์กันนานๆ แต่คนดูดี มองแวบเดียวก็เห็น และมันก็เป็นเรื่องปกติเหลือเกินที่คนเรามักจะมีแนวโน้มที่จะ “หลงใหล” ไปกับคนดูดี ก่อนจะรู้จักว่าคนดีๆ นั้นคือคนไหน

สุดท้าย ผมคงไม่อาจไปบังคับความคิดใครได้ แต่ถ้าจะมีสิ่งหนึ่งสิ่งใดที่ผมอยากจะแลกเปลี่ยนความคิดบ้างก็คือว่า ถ้ามีคนให้เลือกอยู่ 2 แบบ คุณจะเลือกเป็นแบบไหน?

เลือกที่จะเป็นคน “ตัดสินหนังสือจากปกของมัน” หรือว่าเริ่มต้นอ่านหนังสือเล่มนั้นให้จบก่อนแล้วค่อยพิพากษา?








กำลังโหลดความคิดเห็น