xs
xsm
sm
md
lg

นายห้างพีจีเอ็มฯ ท้าวิญญาณ “หยาด นภาลัย" หักคอถ้าโกงเงิน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ชัยรัฐ ตั้งนิรันดร กรรมการผู้จัดการ บริษัท พีจีเอ็ม เรคคอร์ด จำกัด
“ชัยรัตน์ ตั้งนิรันดร” นายห้างค่ายเพลงพีจีเอ็ม เร็คคอร์ด อดีตต้นสังกัด “หยาด นภาลัย” เปิดใจไม่ได้โกงเงินนักร้องดัง เผยอีกฝ่ายหูเบาเชื่อคนง่าย จวก “หนุ่ม ภูไท” ไม่ควรเอาเรื่องเก่าออกมาพูด พร้อมท้าถ้าพูดไม่จริงให้วิญญาณหยาดมาหักคอได้เลย

กลายเป็นประเด็นขึ้นมาอีกแล้ว หลังจาก “หยาด นภาลัย” ได้เสียชีวิตไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก็มีการขุดคุ้ยเรื่องที่หยาด นภาลัย ถูกค่ายเพลงโกง จนเกิดการน้อยเนื้อต่ำใจเลิกร้องเพลง หันหลังให้กับวงการเพลงและประสบปัญหาด้านการเงินใช้ชีวิตอย่างลำบากจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

ซึ่งในระหว่างงานศพของหยาด นภาลัยที่วัดโตนด จังหวัดนนทบุรีนั้น “หนุ่ม ภูไท” ครูเพลงคนดังก็ได้ออกมาตัดพ้อถึงชีวิตรันทดของหยาด นภาลัยที่โดนค่ายเพลงโกงเงินจนถึงขั้นยึดตึกแถว แถมยังเอางานเพลงของหยาด นภาลัยออมาจำหน่าย แต่กลับไม่จ่ายเงินให้กับหยาด นภาลัย

ทันทีที่ข่าวนำเสนอออกไปทาง ASTVผู้จัดการออนไลน์ “ชัยรัตน์ ตั้งนิรันดร” กรรมการผู้จัดการบริษัท พีจีเอ็ม เร็คคอร์ด จำกัด หนึ่งในค่ายเพลงที่เคยร่วมงานกับหยาด นภาลัยก็ได้ติดต่อมาที่กองบรรณาธิการ ASTV ผู้จัดการออนไลน์ เพื่อขอชี้แจงรายละเอียดถึงเรื่องราวดังกล่าว

“เรื่องนี้มันเป็น 10 กว่าปีมาแล้ว ผมเองก็อึกอัดใจเพราะเราเป็นผู้ใหญ่ แต่สิ่งหนึ่งที่เราต้องออกมาพูดเพื่อต้องการให้เกียรติกับคนตาย เราพยายามจะไม่พาดพิงถึงแต่ถ้าพาดพิงยังไงก็ต้องขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย แต่ถ้าเราไม่เล่าก็จะเรียงลำดับเรื่องราวไม่ถูกเดี๋ยวสังคมจะไม่เข้าใจความจริง ถ้าสิ่งที่ผมพูดไม่เป็นความจริงให้น้าหยาดมาหักคอผมได้เลยวิญญาณ 7 วันเฮี้ยนจะตายไป”

“ตัวผมอโหสิกรรมนะ ผมไม่โกรธแกเลยเพราะว่าแกไม่ค่อยมีความรู้ ศิลปินมีจุดเสียนิดหนึ่งคือหูเบา เขาจะเป็นคนที่อ่อนไหวมากๆ นิดเดียวก็ไปแล้ว แล้วน้าหยาดก็เป็นคนหนึ่งที่ถูกยุถูกแหย่มาโดยตลอดเพื่ออยากจะได้ค่าเปอร์เซ็นต์กับตัวศิลปิน โดยการไปสนิทกินเหล้ากับน้าหยาดแกทุกวัน”

“น้าหยาด นภาลัยเป็นศิลปินอยู่มาทั้งหมด 4 ค่าย ค่ายแรกคือค่ายของเฮียเล๊งเจ้าของห้างแผ่นเสียงทองคำซึ่งต่อมาก็ขายลิขสิธิ์ให้เฮียจุ่นห้างกรุงไทย ค่ายที่ 2 ก็คือเฮียปุ๊ย ค่ายจระเข้โปรโมชั่น ค่ายที่ 3ก็คือค่ายของเราค่ายที่ 4 คือนิธิทัศน์ เขาอยู่กับเราเป็นค่ายที่ 2 โดยเซ็นสัญญาทั้งหมด 5 ปี เราจำเป็นที่จะต้องจ่ายเงินให้เขามากกว่าค่ายที่ 1 เพื่อให้เขามาอยู่กับเรา ในช่วงนั้นผมเป็นโปรดิวเซอร์เอง เราก็ประชุมกันแล้วบอกว่า น้าหยาดออกทีวีไม่ได้ ไม่ให้ออกแล้วกำหนดให้สมมาตร ไพรหิรัญมาออกทีวีแทน ซึ่งเป็นการยินยอมพร้อมใจของทั้งทางผม น้าหยาดและคุณสมมาตร”

รับเป็นคนฟ้องร้องยึดตึกแถวของ “หยาด นภาลัย” เอง เพราะหยาด นภาลัยได้บอกเลิกสัญญาการเป็นศิลปินในค่าย ฉะนั้นจะต้องมีการเคลียร์หนี้สินที่หยาด นภาลัยได้ยืมไว้ทั้งหมด
“ฉะนั้นหลังจากที่เราซื้อตัวเขามาเราจะให้เขาน้อยไม่ได้ ตั้งแต่วันแรกที่เซ็นสัญญากับเรา 5 ปีเต็ม เขาได้เงินเดือนเดือนละ 2 หมื่น นี่คือเงินเดือนของศิลปินโดยไม่ต้องทำงานนะ มาเบิกได้ทันทีเลยเยอะนะในสมัยนั้น แล้วค่าร้องต่างหาก สุดท้ายชุดละ 2 แสนต่อชุดนะ แรกๆ อาจจะประมาณ 1 แสน ที่ไม่ต่อสัญญาไม่ใช่ว่าเราไม่ต่อกับเขา แต่เขาไม่ต่อกับเรา เขาคือศิลปินเบอร์แรกของค่ายผม ผมต้องตามง้อตลอดเวลาที่เขาอยู่กับผม”

“แม้กระทั้งบ้าน 2 หลังของเขาผมก็ให้เขายืมเงินไปก่อนโดยที่ไม่คิดดอกเบี้ย หลังแรกไฟไหม้ผมก็ต้องเดือดร้อนช่วยเหลือเขา หลังสุดท้ายผมไม่เถียงเลยว่าตึกแถวผมเป็นคนฟ้องเขาเอง เพราะเนื่องจากเขาติดหนี้เรา เราก็ให้เขายืมเงินไปก่อนแล้ว ดอกอะไรเราก็ไม่เคยคิด ที่ต้องฟ้องเพราะเขาเลิกสัญญากับเราแล้ว เมื่อคุณยังค้างเงินผมอยู่ ผมจำเป็นที่จะต้องส่งเรื่องให้กับทางทนาย ในเมื่อคุณยกเลิกสัญญากับเราแล้ว คุณก็ต้องชำระหนี้สินกับเราเพื่อเคลียร์นิติกรรมให้มันจบ ตึกที่ผมยึดก็ไม่ใช่บ้านที่น้าหยาดเขาอยู่นะ”

“แล้วที่เขาเอาไปพูดว่าร้องไป 48 ชุดไม่ได้เงินเลยซักบาทมันไม่ใช่ เขาเอาอัลบั้มรวมฮิตมารวมด้วย จริงๆน้าหยาดทำงานกับเรา 30 กว่าชุดมันจะมีคนที่ไหนมาให้เราหลอกทำงานถึง 48 ชุดโดยที่ไม่ได้เงินอะไรเลยซักบาท ผมกับเขาก็แม้จะมีเรื่องกระทบกระทั้งกันบ้าง แต่ตัวผมก็ไม่โกรธไม่อะไรเขาทั้งสิ้นเลย เพราะเราปลงแล้ว”

“ส่วนเรื่องลิขสิทธิ์เพลงที่เขาบอกว่า วางขายแล้วไม่ได้เงินเลย เรื่องนี้เขาไม่ได้แขวะมาถึงผม แต่ผมจะอธิบายว่า ผมไม่ได้ขายเพลงอะไรให้กับใคร ผมจะไปมีสิทธิ์อะไรไปขายในเมื่อมันไม่ใช่ลิขสิทธิ์ของผม ยกตัวอย่างเหมือนรถคุณผมจะไปขายได้ยังไง ในเมื่อเพลงลำน้ำพองมันทำดั้งเดิมอยู่ที่ค่ายแรก ไม่ใช่ค่ายผมมันไม่ได้เกี่ยวกับเรา”

“ค่ายเรามีลิขสิทธิ์เพลงของน้าหยาดอยู่แค่ 2 เพลงที่เป็นเวอร์ชั่นทำซ้ำ คือเพลงลำน้ำพอง กับหนองหานวิมานร้าง ซึ่งอัลบั้มอมตะเงินล้านนั้นน้าหยาดทำกับค่ายเพลงแรก ไม่ใช่ของเรา เพียงแต่เราเอาไปดัดแปลงในแบบของเราเป็นอัลบั้มอมตะเพลงดัง เป็นการทำซ้ำ ซึ่งเราจัดการเรื่องของลิขสิทธิ์ต่างๆ อะไรเรียบร้อยแล้ว ที่เขาพูดอย่างนั้นคงเป็นเพราะเทปของเขาขายไม่ออก น่าจะรู้ว่าทุกวันนี้วงการค่ายเพลงมันแย่กันสุดๆ เลย”

ถึงจะมีปัญหากันมาตลอด แต่ ““ชัยรัตน์ ตั้งนิรันดร”” ยืนยันว่าได้ให้ความช่วยเหลือ “หยาด นภาลัย” มาโดยตลอดเช่นกัน
“หลังจากที่มีคดีฟ้องร้องกันสุดท้ายศาลท่านก็สั่งให้เขาแพ้คดีบ้านก็ถูกยึดไป พอคดีจบระยะหลังๆ มาเราก็ยังติดต่อช่วยเหลือน้าหยาดแกตลอด เมื่อ 2-3ปีก่อนแกเองก็ยังเข้ามาที่บริษัทของผม หลายๆ คนก็มาช่วยเหลือแกให้เงินไป1 - 2หมื่น อาจารย์หนุ่มภูไทอย่าเอาเรื่องเมื่อ 10 กว่าปีมาปนกับเรื่องตรงนี้ ถ้าเราจะโกรธกันคงโกรธกันไปนานแล้ว ตอนแกเริ่มไม่สบายผมยังเป็นคนพาแกไปฝากกับคุณหมอที่ดูแลแกอยู่เลย”

“แม้กระทั้งงานศพของแกผมให้น้องชายของผมเป็นตัวแทนผมเอาเงินไปช่วยเหลือเขา ที่ผมไม่ไปด้วยตัวเองเพราะกลัวจะมีปัญหากับคนที่คอยยุแหย่แก ผมให้เงินสดเขาไป 6 พันแล้วก็ให้สินค้าที่เป็นซีดี 600 ชิ้น ชิ้นละ 155 บาท รวมทั้งสิ้นเป็นเงิน 9 หมื่นบาทเหมือนกรณีของกุ้ง กิตติคุณ ให้เขาเอาไปขายเพื่อเอามาเป็นรายได้ช่วยเหลือเขาทั้งๆ ที่ผมเองก็ยังเดือดร้อนอยู่”

“อาจารย์หนุ่มภูไทนี่เขาสนิทกับน้าหยาดมากกว่าผม เขารู้จักกันมาก่อนเพราะเขาเป็นคนอีสานมาด้วยกัน แต่ถ้าคุณจะช่วย คุณช่วยไปสิทำไมต้องมาแขวะผม มันมาเกี่ยวอะไรกับผม มันเป็นเรื่องที่นานเป็น 10 ๆ ปีแล้ว ผมขอความเป็นธรรมแค่นี้ว่าทำไมต้องมาแขวะถึงผม คนเขาเสียไปแล้วจะมาพูดมากมันก็กระไรอยู่ ไอ้ครั้นจะไม่ออกมาพูดอะไรเลยมันก็ไม่ได้ เพราะวันนี้คุณเล่นข่าวซะใหญ่โต ถ้าผมเป็นโจรจริงผมจะไม่โกรธคุณเลย แต่นี่เราไม่ใช่นะก็ต้องออกมาชี้แจงความจริงกันหน่อย”

“คุณอยากจะบริจาคให้เขามันก็เรื่องของคุณ แล้วทำไมต้องมาแดกดันผม ว่าทำไมต้องไปฟ้องน้าหยาด ขนาดเรามีปัญหากันแต่ผมก็ยังช่วยเหลือเขามาโดยตลอด เพราะเรามีความผูกพันกัน เนื่องจากน้องผมสนิทกับน้าหยาดมาก ที่ผมช่วยเพราะผมยังมีจิตใจนึกถึงน้าหยาด เพราะเราเคยร่วมงานกันมาก่อน”

“จริงๆ แล้วสัญญาระหว่างเขากับผมหมดไป จนเขาไปเซ็นสัญญากับที่อื่นตั้ง 2 ค่ายแล้ว คุณอย่ามายัดเยียดเรื่องแบบนี้ให้กับผมเพราะเห็นว่าน้าหยาดทำงานอยู่กับผมหลายชุดนะ ตลอดเวลาที่ผมช่วยเหลือเขาก็จะมีพวกลูกน้องผมที่บริษัท เมียเขาเองก็น่าจะทราบเรื่องนี้ดี ล่าสุดตอนที่เจอกันแกเองก็เดินไม่ค่อยจะไหวแล้ว เราก็ทักทายเขาว่าน้าหยาดเป็นยังไงบ้าง จริงๆ ก็มีคนช่วยเหลือน้าหยาดแกเยอะ บางคนก็เข้ามาช่วยแก เขาดูแลแกอย่างดีทั้งๆ ที่ไม่ใช่ญาติเพราะเห็นว่าเป็นคนบ้านเดียวกัน”

เอกสารคำพิพากษาฟ้องร้องคดียึดตึกแถวเมื่อปี2541


เอกสารรับเงินช่วยเหลือเมื่อครั้งซ้อมบ้านที่ไฟไหม้เมื่อปี2536
กำลังโหลดความคิดเห็น