xs
xsm
sm
md
lg

"ยุ้ย จีรนันท์" ปืนลั่นใส่ตัวประกอบอกทะลุ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


อุบัติโหดกลางกองถ่าย “พระจันทร์ลายพยัคฆ์” ค่ายโพลีพลัส ในวันที่นิด อรพรรณ วัชรพลอยู่ที่เมืองนอก แหล่งข่าวพรายกระซิบย้ำนักหนากับซูเปอร์บันเทิงสุดสัปดาห์ว่า “รู้แล้วเหยียบไว้ อย่าแพร่งพราย” เรื่องบิ๊กเมาท์ขนาดนี้จะมาปิดลับได้อย่างไร!?
...
ทันทีที่ลั่นไก ลูกปืนก็แหวกอากาศเข้าใส่ “ใครสักคน” ในวันซ้อมแทนสายตา "ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม" และใครคนนั้น ณ วันนี้ยังไม่แน่ชัดว่าคือผู้ใด แต่คำสั่งผู้ใหญ่มีคำพูดเพียงประโยคเดียวว่า “ให้ตายไม่ได้” ซึ่งตีความหมายได้หลายนัย หากเกิดเหตุไม่คาดฝันจนผู้นั้นเสียชีวิต ผู้ที่จะถูกลากเข้ามาเกี่ยวข้องคือนางเอกสาว เนื่องจากอยู่ในที่เกิดเหตุ และสอง ผู้ที่ตกเป็นเป้านิ่งวันนั้นอาจจะเป็นคนดัง และเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในวงการบันเทิง ตายแล้วจะเป็นข่าวใหญ่ จนกระทบต่อสถานี - ค่ายละคร และนางเอกแถวหน้าของวงการ

หลังเหตุการณ์ดังกล่าว ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ เพิ่งจะมาทำใจ และยิ้มแย้มแจ่มใสออกงานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรร ษา 82 พรรษา 2552 ณ ท้องสนามหลวงเมื่อ 5 ธันวาคมที่ผ่านมา

วันนี้ … ผู้เคราะห์ร้ายพ้นขีดอันตรายแล้ว !!

ละครเรื่องพระจันทร์ลายพยัคฆ์นี้ ได้นำเอา "อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ" มาประกบคู่กันในบท “พี่น้อง” กับยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม เมื่อครั้งที่ยุ้ย – จีรนันท์ เข้ามานับหนึ่งเมื่อปี 2544 ในฐานะนางเอกของช่อง 7 สี สุรางค์ เปรมปรีดิ์วางตัวเธอให้ประกบคู่กับอั้ม พัชราภา ไชยเชื้อในละครเรื่อง คมพยาบาท

ครั้งนั้น อั้ม พัชราภารับบท “ร้าย” ในขณะที่นางเอกใหม่อย่างเธอรับบทผู้หญิงแสนดี น่าสงสาร ร้ายครั้งแรกของอั้มในคราวนั้นไม่ใช่แค่ความสามารถในการแสดงเท่านั้น หากแต่ส่งผลให้เธอกลายเป็นเซ็กซี่สตาร์ในเวลาต่อมา เนื่องจากฉัตรชัย วรดิลก จากสยามบันเทิงพาเธอไปโชว์หุ่นในหน้าสีของหนังสือพิมพ์เป็นครั้งแรก

ปีนี้ 2552 นางเอกทั้ง 2 คนถูกนำมาประกบอีกครั้งในละครเรื่อง “พระจันทร์ลายพยัคฆ์” สลับบทดี - ร้าย เรื่องนี้ อั้ม พัชราภา ไชยเชื้อ แสนดี ขณะที่ยุ้ย จีรนันท์ ต้องมารับบทร้าย “ร้าย” ของละครเรื่องนี้ นอกจากสีหน้า แววตา และการกระทำแล้ว ยังมีพร็อพฯ (Property – เครื่องใช้ประกอบการแสดงละครและถ่ายภาพ) อื่นๆ เข้ามาประกอบในฉากด้วย เช่น ปืน เป็นต้น

จนถึงวันนี้ อั้ม พัชราภา และยุ้ย จีรนันท์ ยังไม่ได้ร่วมคิวกัน แต่เหตุในวันนั้น แหล่งข่าวที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์เล่าให้ฟังด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า

“คือวันนั้น ถ่ายฉากอื่นๆ เสร็จหมดแล้ว เลยมาถ่ายอินเสิร์ช เป็นฉากแทนสายตายุ้ย (ปานเดือน) ซึ่งยุ้ยต้องเหนี่ยวไกยิงตัวละครตัวนี้ มันเป็นการยิงระยะใกล้มาก ประมาณ 3-5 เมตร ก่อนหน้านี้มีการซ้อมบล็อกกิ้งอะไรไว้หมดแล้ว ไม่มีใครเช็กเรื่องปืน ไม่มีใครถามว่าเป็นปืนอะไร”

ผู้ร่วมเหตุการณ์ในวันนั้นมีผู้กำกับการแสดงคือ โอ๋ กฤษฎา เตชะนิโลบล , จีรนันท์ มะโนแจ่ม และฝ่ายพร็อพฯ ต่างคิดว่าไอ้หมอนี่ไม่รอดแน่ !! … เนื่องจากอาการสาหัส เห็นรอยทะลุที่หน้าอก เลือดไหลนองกับพื้น ในชั้นต้น ทีมงานได้พาผู้ป่วยส่งโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์

ครั้งแรกแหล่งข่าวกล่าวถึง “ยุ้ย” - จีรนันท์ มะโนแจ่ม แต่วันต่อๆ มาเมื่อซูเปอร์บันเทิงสุดสัปดาห์โทร.ถามรายละเอียดเพิ่มเติม ปรากฏว่าบางข้อมูลเริ่มเปลี่ยนไป จาก ยุ้ย จีรนันท์ มะโนแจ่ม กลายเป็น “ฝ่ายพร็อพฯ เป็นคนยิง”

อื่นๆ ที่รับรู้ในลำดับต่อมาคือคำสั่งจากผู้ใหญ่ว่า “ทำอย่างไรก็ได้ แต่ผู้ถูกยิงตายไม่ได้ ห้ามตายเด็ดขาด !!” อื่นๆ นอกจากนี้ เงียบ ...ไม่มีคำตอบ !! ไม่ว่าจะเป็นชื่อผู้สั่งการ, รายชื่อ และตำแหน่งผู้ถูกยิง

ถ้าคิดอีกชั้นหนึ่ง ทำไมคนนี้ถึงตายไม่ได้ !! เป็นคนที่มีชื่อเสียงในวงการบันเทิง หรือว่าจะมีผลกระทบต่อบุคคลหรือองค์กร

รายงานข้อมูลในชั้นที่ 3 รับทราบว่า ผู้ถูกยิงอาการดีขึ้น หลังจากที่อาการโคม่าอยู่ 2 วัน ข่าวนี้ทำให้อาการหนักยิ่งกว่าของนางเอกสาวถึงกับโล่งอก!! จนสามารถกินได้ นอนหลับ และออกงานได้เป็นปกติ

แหล่งข่าวท่านเดิมกล่าวว่า

“ หมอบอกว่า ถ้าผ่าเอากระสุนออกอาจจะส่งผลให้คนไข้เสียชีวิตได้ ดังนั้นคณะแพทย์จึงตัดสินใจที่ให้กระสุนอยู่อย่างนั้น เนื่องจากมีความปลอดภัยมากกว่า หมอพูดมาประโยคหนึ่งว่า ร่างกายคนเราสามารถเรียนรู้สิ่งแปลกปลอมที่อยู่ในร่างกายได้”

แม้ว่าข่าวดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อนางเอกสาวเป็นอย่างมาก แต่ก็เป็นการพลั้งมือโดยไม่เจตนา ปัญหาทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่นางเอกสาว แต่อยู่ที่การทำงานของฝ่ายพร็อพฯ และคณะละครที่ขาดการตรวจสอบรายละเอียดอุปกรณ์ประกอบฉาก

ทำไมถึงเกิดความผิดพลาดปล่อยให้มีกระสุนที่สามารถทำร้ายหรือคร่าชีวิตคนอยู่ในรังปืนต่างหาก !! แม้จะเป็นกระสุนปลอมอย่างที่กล่าวอ้างก็เถอะ
...

ไพ่ระบุ ผู้หญิงขั้นนางเอกเป็นคน “ยิง”
เมื่อข่าวนี้ถูกปิดในเวลาอันรวดเร็ว ทำให้การหา “ข่าว” เป็นไปด้วยความลำบาก ข้อมูลบางอย่างได้แปรเปลี่ยนจนไม่แน่ใจว่าใครคือผู้ลั่นไก ดังนี้ … ซูเปอร์บันเทิงตัดสินใจผ่าทางตัน เชื้อเชิญ “หมอต้องจิต” (สมพล รุ่งกิติพงษ์พันธ์) เจ้าของฉายา ‘หมอต้องจิต ติดจรวด’ ผู้นี้เป็นนักสัมผัสที่ 6 อาศัยไพ่ทาโรต์เป็นเครื่องประกอบคำทำนาย คลุกคลีอยู่กับศาสตร์ของการทำนายทายทักมานานนับ 10ปี

ส่วนตัวต้องเรียนจบมาทางด้านนิเทศศาสตร์ และไม่ชอบอาชีพ “หมอดู” แต่เจ้าตัวก็ยอมรับว่า สัมผัสที่หกที่มีอยู่ในตัวเขาเป็นพรสวรรค์ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จากจุดเริ่มต้นที่เคยทักเพื่อนให้ระวังอุบัติเหตุ เพราะสังเกตเห็นจากสีหน้าของเพื่อนหมองคล้ำไป คำทำนายของเขาได้พิสูจน์แล้วว่า ถูกต้องในสัดส่วนค่อนข้างสูง ดังนั้น เขาจึงเจียดเวลาส่วนหนึ่งศึกษาโหราศาสตร์อย่างจริงจัง ปัจจุบันรับหน้าที่เป็นนักทำนาย ประจำรายการเขย่าจอ ในช่วง “ลงดาบดวงดารา” ทางช่องซูเปอร์บันเทิง

“ผู้ก่อเหตุครั้งนี้เป็นผู้หญิง” นั่นคือคำทำนายแรกจากไพ่ที่หมอต้องหยิบขึ้นมาได้ หลังจากเราตั้งคำถามว่าใครคือคนที่ ‘ลั่นไก’ ปล่อยกระสุนดังกล่าวไปถูกผู้เคราะห์ร้าย

จากไพ่เก้าเหรียญที่หยิบขึ้นมาได้ หมอต้องทำนายต่อไปว่า ผู้ก่อเหตุคือผู้หญิงสาวสวย หุ่นดี และมีเงินทองหรือมีชื่อเสียงอยู่ในเกณฑ์ที่สามารถเป็นนางเอกได้

สำหรับปืนกระบอกที่เป็นต้นเหตุ หมอต้องทำนายจากไพ่ว่า มีผู้จับมากกว่าหนึ่ง นั่นหมายความว่าปืนกระบอกนี้ได้ผ่านมือคนมามากมาย กว่าจะตกมาถึงมือของผู้หญิงสวย หุ่นเพรียว และชื่อดังคนนั้น

เรื่องที่ยังเป็นปริศนาอีกหนึ่งเรื่องจากเหตุการณ์ดังกล่าว นั่นคือผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกกระสุนจนได้รับบาดเจ็บคือใคร สำหรับคำถามดังกล่าว หมอต้องจับได้ไพ่สิบเหรียญ ซึ่งทำนายได้ว่าเป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อละครเรื่องนี้พอสมควร อาจเรียกได้ว่าเป็นฟันเฟืองสำคัญของละครเรื่องดังกล่าว ถ้าขาดเขาคนนี้จะทำให้การถ่ายละครเรื่องนี้อาจถึงขั้นหยุดชะงักเลยทีเดียว

ถึงแม้ประชาสัมพันธ์ของละครเรื่องนี้จะบอกแค่ว่าผู้ถูกยิงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น แต่ไพ่เจ็ดดาบที่หมอต้องหยิบขึ้นมาได้บอกกับเราว่า เหตุการณ์ครั้งนี้รุนแรงไม่น้อย ซึ่งอาจพูดให้ชัดไปกว่านั้นได้ว่า “รอดมาได้ก็บุญแล้ว”

นอกจากนั้นหัวกระสุนที่ฝังเข้าไปในร่างของเขาจะต้องอยู่กับเขาไปอีกระยะหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่งตรงกับข่าวที่หลุดออกมาว่า การผ่าตัดเอากระสุนออกจากร่างของผู้ที่ถูกยิงอาจเป็นอันตรายถึงชีวิต หมอจึงตัดสินใจขอให้เก็บหัวกระสุนเอาไว้ในร่างต่อไป

แม้จะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกได้ว่ารุนแรงถึงชีวิต แต่หมอต้องก็ทำนายจากไพ่ว่าจะไม่เป็นคดีความฟ้องร้องอะไรกันแน่นอน สุดท้ายการแถลงข่าวอาจจะเกิดขึ้นหรือไม่เกิดขึ้นเลยก็เป็นได้ เพราะหมอต้องบอกว่าไพ่วีล ออฟ ฟอร์จูนที่เขาหยิบขึ้นมาได้ตอบว่า ขณะนี้ค่ายละครฯ กำลังคิดหาทางพลิกเกมจากเรื่องราวที่เกิดขึ้นอยู่อย่างหัวปั่น

“แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครเป็นอะไรนะครับ ผู้ถูกยิงก็รอดอย่างหวุดหวิด รอดอย่างไม่น่าเชื่อ” หมอต้องสรุป
...
ผู้จัดฯ โดน พร็อบฯ ต้องรับผิดชอบ!!
อุบัติเหตุดังกล่าวเกิดขึ้นในขณะที่นักแสดงกำลังเข้าฉากถ่ายละครเรื่องดังกล่าวอยู่ ถ้าพูดกันในแง่ของกฎหมาย "ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม" อัยการผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายชี้ไปที่คนซึ่งเป็นธุระจัดหาปืนมาเข้าฉากว่าคือ ผู้ที่ต้องรับผิดตามกระบวนการทางกฎหมาย

“คนที่หาอุปกรณ์มาต้องรับผิดชอบ ตรงนี้เป็นเรื่องของการประมาทเลินเล่อ ไม่ได้เป็นการเจตนาฆ่าโดยตรง ไม่ได้เจตนาทำร้ายโดยตรง ถ้าเจตนาใช้ปืนนั้นคือการเจตนาฆ่าอยู่แล้ว ทีนี้ถ้ายิงไปไม่ตายก็เป็นพยายามฆ่า แต่ว่าถ้าผู้แสดงไม่รู้ คิดว่าเป็นปืนที่ใช้ในการแสดง แต่ถ้าคนที่เอามาให้รู้ว่ามันไม่ใช่ปืนที่ใช้ในการแสดง หรือกระสุนไม่ใช่สำหรับที่ใช้ในการแสดง กรณีอย่างนี้คนที่หาอุปกรณ์มาให้ต้องรับผิดทางกฎหมายเต็มๆ"

“แต่ถ้าคนที่ยิง ดาราที่ใช้ปืนถ้าเขามีความรู้อยู่บ้างก็อาจจะเป็นเรื่องของการประมาทเลินเล่อได้ แต่ถ้าเขาไม่มีความรู้เรื่องปืนเลยก็แสดงว่าเขาไม่รู้เรื่องเลยก็ไม่มีความผิด แต่คนที่เอามาไม่ว่าจะรู้เรื่องปืนหรือไม่ก็ถือว่าเป็นเรื่องของประมาทเลินเล่อแน่นอน”

ปรเมศวร์เสริมต่อว่า ในกรณีดังกล่าวนอกจากคนหาปืนมาเข้าฉากจะต้องรับโทษทางกฎหมายแล้ว บรรดาผู้จัดละคร ผู้กำกับก็อาจจะมีถูกหางเลขโทษฐานประมาทเลินเล่อได้เช่นกัน

“ผู้จัด ผู้กำกับเนี่ย โดนหมดแหละเพราะว่าไม่ระมัดระวัง แต่ถ้านักแสดงเขารู้ด้วย ก็ถือว่าผิดร่วมกันหมด กลายเป็นเจตนาฆ่าทั้งหมด ที่นี้ถ้าคนยิงไม่รู้ว่าเป็นปืนจริง คนที่จัดหามาหรือผู้กำกับไม่รู้ก็เป็นเรื่องของความประมาท”

วิธีที่จะพิสูจน์เพื่อชี้ชัดว่านักแสดงที่ลั่นไก ผู้จัดหาอุปกรณ์ตลอดจนผู้กำกับและผู้จัดละครประมาทเลินเล่อหรือมีเจตนาที่จะใช้ปืนจริงเพื่อการสังหารผู้เคราะห์ร้าย อัยการชื่อดังบอกว่า ต้องพิสูจน์ที่พื้นฐานความรู้เรื่องปืนเป็นสำคัญ
“ดูที่คนยิงว่าคนยิงมีความรู้เรื่องปืนหรือไม่ จับปืนแล้วรู้ไหมว่าปืนจริงหรือปืนปลอม ต้องดูคนแสดงเป็นหลักว่าเขารู้หรือเขาควรจะรู้ไหม ถ้าคนที่ใช่ไม่รู้ คนที่เหลือก็กลายเป็นคนที่กระทำความผิดโดยประมาท ประมาทในการจัดหาอาวุธปืน”

สำหรับโทษที่ผู้กระทำผิดจะได้รับในกรณีที่ประมาทเลินเล่อนั้น ไม่ว่าผู้เคราะห์ร้ายจะเสียชีวิตหรือไม่ก็ตาม แต่ หากมีการพิสูจน์อย่างแน่ชัดด้วยวิธีทางกฎหมายแล้วว่ามีผู้กระทำผิดจริง ผู้กระทำผิดจะต้องระวางโทษจำคุก 4-5 ปี หรือต้องชดใช้ค่าเสียหายแก่ผู้เคราะห์ร้าย แต่ถ้าผู้เสียหายถึงแก่ชีวิตคนผิดจะต้องระวางโทษจำคุก 10 ปี ทั้งนี้ทั้งนั้นโทษจำคุกอาจจะต้องรอลงอาญาไว้ก่อน
...
ร่างกาย “รับ” สิ่งแปลกปลอมได้!?
การที่ใครสักคนจะมีสิ่งแปลกปลอมฝังอยู่ในร่างกายไปตลอดชีวิตอาจจะฟังเป็นเรื่องประหลาดที่คนซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์คงจินตนาการไม่ออกว่า สิ่งแปลกปลอมที่ไม่ได้เกิดออกมาจากท้องแม่พร้อมกับเราจะเข้ามาอยู่ในตัวได้นานจนถึงวาระสุดท้ายของเราได้อย่างไร แต่ทว่าในความเป็นจริง เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว และถือเป็น ‘เรื่องธรรมดา’ สำหรับวงการแพทย์ด้วยซ้ำ

ไม่ว่าจะถูกปืนยิงจนกระสุนวิ่งทะลวงเข้ามาฝังอยู่ในร่าง ถูกเศษแก้ว เศษกระจกบาด หรือถูกของมีคมอื่นๆ เสียบทะลุแล้วหักคาอยู่ในร่าง เมื่อผู้บาดเจ็บถูกส่งไปถึงมือแพทย์ แพทย์จะทำการห้ามเลือดและวินิจฉัยโดยเร่งด่วนว่า จำเป็นจะต้องผ่าตัดหรือดึงเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมาจากร่างกายหรือไม่

ที่ต้องใช้คำว่า ‘วินิจฉัย’ ว่าควรจะนำสิ่งแปลกปลอมออกจากร่างหรือไม่นั้น เพราะในบางกรณี สิ่งแปลกปลอมที่เข้าอยู่ในร่างกายของเราอาจจะมีตำแหน่งที่อยู่ใกล้กับส่วนสำคัญของร่างกาย เช่น เส้นประสาท ไขสันหลัง หรือเส้นเลือดใหญ่ หากกระสุนหรือสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นซุกซ่อนตัวอยู่ใกล้กับส่วนต่างๆ เหล่านี้ แพทย์ก็จะต้องวินิจฉัยว่า สมควรจะผ่าออกหรือไม่

เพราะในการผ่าเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา จะมีลักษณะของการตัดคว้าน หรือชอนไชเพื่อล้วงเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมา อุปมาคล้ายการควานหาแหวนหรือไข่มุกที่ตกลงไปในท่อใหญ่ที่มีท่อน้ำเล็กๆ มากมายรายล้อมอยู่ ในการควานหาแหวนวงนั้น แพทย์จำเป็นจะต้องใช้เครื่องมือในการควานหาและ / หรือ อาจจะต้องทำการตัดท่อบางท่อที่ขวางเส้นทางอยู่ออกไป

และถ้าไปตัดถูกเส้นประสาทที่สำคัญ หรือโดนไขสันหลัง ผู้บาดเจ็บก็มีโอกาสจะพิการไปตลอดชีวิต หรืออาจจะหนักถึงขั้นเสียชีวิตได้เลยทีเดียว

ส่วนถ้าไปถูกเส้นเลือดใหญ่ การขาดหรือการชำรุดของเส้นเลือดใหญ่ก็รุนแรงพอที่จะทำให้เลือดออกหมดตัวจนเสียชีวิตได้เช่นกัน

ด้วยเหตุผลดังที่กล่าวมา ทำให้ในบางกรณีของผู้บาดเจ็บที่มีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในร่างกาย แพทย์จึงวินิจฉัยและลงความเห็นว่า ไม่ควรผ่าตัดเพื่อนำสิ่งแปลกปลอมนั้นออกมานั่นเอง

ส่วนคำถามที่ว่า การมีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในร่างกายนั้น จะส่งผลเสียต่อร่างกายหรือไม่นั้น ต้องดูที่องค์ประกอบของสิ่งแปลกปลอมเป็นสำคัญ กล่าวคือ หากสิ่งแปลกปลอมเป็นกระสุนซึ่งส่วนใหญ่จะมีตะกั่วเป็นองค์ประกอบ ร่างกายก็อาจจะดูดซับสารตะกั่วที่อยู่ในกระสุนนั้นได้ แม้จะฟังดูน่ากลัว แต่เปอร์เซ็นต์ที่ร่างกายจะดูดซับสารตะกั่วก็มีน้อยมาก เนื่องจากระบบร่างกายจะค่อยๆ เรียนรู้ที่จะอยู่กับสิ่งแปลกปลอม ด้วยวิธีการค่อยๆ รับสารแปลกปลอม(สารตะกั่ว) นั้นๆ ดังนั้นสารตะกั่วในกระสุน(ซึ่งมีปริมาณน้อยกว่าสารตะกั่วที่ปนเปื้อนอยู่ในอากาศหรือในอาหารบางอย่างที่เราบริโภคเสียอีก) จึงอาจจะค่อยๆ ซึมเข้าร่างทีละน้อย ซึ่งแทบจะไม่ส่งผลอันตรายใดใดต่อร่างกายเลย

หากว่ากันตามจริง มีหลายคนที่รับเอา สิ่งแปลกปลอม เข้าสู่ร่างกายตลอดเวลา ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม การตั้งใจรับสิ่งแปลกปลอม เช่น การฝังตะกรุดตามความเชื่อส่วนบุคคล การสักตามร่างกายซึ่งเป็นการนำหมึกที่ใช้สักเข้าเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย ส่วนการรับสิ่งแปลกปลอมเข้าร่างกายโดยไม่ตั้งใจ ได้แก่ การถูกยิง การถูกเศษแก้ว เศษกระจกบาด หรือถูกของมีคมแทง ตลอดจนการบริโภคหรือสูดดมสิ่งที่ย่อยสลายไม่ได้ต่างๆ

(ที่มา ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ วันที่ 12 -1 8 ธันวาคม 2552)

หมอต้องจิต
ปรเมศวร์ อินทรชุมนุม
กำลังโหลดความคิดเห็น