นาทีนี้ถ้าพูดถึงหมอดูชื่อดัง คงไม่มีใครเกิน "หมอกฤษฏ์ คอนเฟิร์ม" ศุภกฤษฏ์ ปทุมศรีวิโรจน์ อีกแล้ว เพราะที่ผ่านมาเขามีผลงานสะเทือนวงการบันเทิงหลายเรื่อง ไล่มาตั้งแต่คอนเฟิร์มว่า วิลลี่-เยลหลี แมคอินทอช จะสูญเสียลูกน้อยจากการแท้ง แนน อมิตดา ชินสำเร็จ ไม่ได้ท้อง คู่รักอย่าง ทาทา ยัง - เปรม บุษราคัมวงศ์ และ พลอย เฌอมาลย์ บุญยศักดิ์ – โดม ปกรณ์ ลัม ยังไงก็ต้องเลิกกัน ฟลุค เกริกพล มัสยวานิช ต้องเลิกรากับ แป้ง อรจิรา แหลมวิไล โดยมีผู้หญิงชื่ออักษรย่อ พ. จะเข้ามาเป็นมือที่สาม และอีกหลายต่อหลายเรื่อง โดยผ่านศาสตร์การดูดวงที่เขาเรียกขานมันว่า "บริเฉท 7 ดารา"
ด้วยลีลาการทำนายที่แข็งกร้าว ดุดัน และมั่นใจเกินร้อย บวกกับที่ผ่านมาเขาสามารถทายดวงชะตาผู้คนได้อย่างแม่นยำประดุจดั่งตาเห็น ทำให้คนทั้งประเทศอยากรู้ว่า "หมอดูผู้นี้เป็นใคร ?" กระทั่งมีการสืบสาวราวประวัติ จึงได้รู้ว่า "หมอกฤษฏ์" คนนี้ เป็นหมอดูที่ทำนายดวงดาราลงคอลัมน์หนึ่งในหนังสือพิมพ์บันเทิง "สยามดารา" และด้วยความที่เขามีความใกล้ชิดกับ "สื่อบันเทิง" เป็นเหตุให้เจ้าตัวถูกพูดถึงอย่างหนักว่า เพราะเหตุนี้หรือเปล่า เขาถึงได้รู้ข้อมูล "ดารา" อย่างอินไซด์ กลายเป็นเสียงสะท้อนอีกด้าน ที่เซ็งแซ่ไม่แพ้ชื่อเสียงของเขาที่นับวันระบือไกล
แม้กระทั่ง "มดดำ คชาภา ตันเจริญ" พิธีกรและนักจัดรายการวิทยุชื่อดัง ผู้ชื่นชอบในการดูดวงเป็นชีวิตจิตใจ เรียกว่าที่ไหนแม่น ศาสตร์ไหนเจ๋ง เขาลองของมาหมดแล้ว ยังเคยออกปากเหน็บกลางอากาศมาแล้วว่า ไม่เคยได้ยินชื่อบริเฉท 7 ดารา แถมยังปรามาสด้วยว่าจะแม่นขนาดนั้นเลยเหรอ ประกอบกับคำว่า "คอนเฟิร์ม" ที่หมอกฤษฏ์ใช้ ยังไปสัมพันธ์กับคำว่า "ฟันธง" ซึ่งเป็นโลโก้ประจำตัวของหมอดูรุ่นพี่ที่โด่งดังมากๆ อย่าง "หมอลักษณ์ ฟันธง" จนเจ้าตัวเคยโดนแขวะว่าลอกเลียนแบบ ทำให้หลายคนตีความหมายไปโดยปริยายว่า นี่คงเป็นการประกาศวัดรอยเท้าหมอดูรุ่นพี่อย่างหมอลักษณ์ หรือไม่ก็คงอยากจะเกาะกระแสดันให้ตัวเองไปอยู่แถวหน้าด้วยการ คอนเฟิร์ม!
แม้ว่าจะมีกระแสโจมตีหนักหน่วงแค่ไหน แต่หมอกฤษฏ์ก็ใช้ความโด่งดังฝ่าแรงต้านนั้นมาได้ เขากลายเป็นที่สนใจ รายการชื่อดังหลายๆ รายการต่างต้องการอยากเชื้อเชิญให้ไปออกรายการ เพื่อเรียกเรตติ้ง เรียกว่าปีที่แล้วชื่อของ "หมอกฤษฏ์ คอนเฟิร์ม" เข้ายึดพื้นที่รายการดังๆ แทบทุกช่องเลยทีเดียว และที่ฮือฮาไปกว่านั้นก็คือ เขาถูกยกย่องว่าเป็นหมอดูชื่อดังที่อายุน้อยที่สุดในประเทศไทย เพราะในขณะนั้นเขามีอายุแค่ 23 ปีเท่านั้นเอง
แต่ที่ทำให้หมอกฤษฏ์โด่งดังทะลุเพดาน ก็ตอนที่เขาถูก "นางศันสนีย์ วนาไชยเกียรติ" แม่ของนักร้องสาว "ลีเดีย ศรัณย์รัตช์ วิสุทธิธาดา" บุกด่ากลางงาน แถมยังสั่งให้กราบเท้าขอโทษ เหตุไม่พอใจที่หมอกฤษฏ์ไปคอนเฟิร์มว่านักร้องสาวมีเกณฑ์ตั้งครรภ์ ซึ่งจากเหตุการณ์วันนั้น เรื่องของหมอกฤษฏ์ก็กลายเป็น ทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ ฉาวกระฉ่อนไปทั้งประเทศ
แต่ถึงจะฉาวระดับประเทศแต่ชื่อเสียงของหมอกฤษฏ์ก็โด่งดังระดับประเทศจากเหตุการณ์นี้เช่นกัน ส่งผลให้ผู้คนเกิดความสนใจอยากรู้ประวัติเรื่องราวชีวิต รวมไปถึงเกิดคำถามต่างๆ ตามมาถึงความแม่นยำในการทำนายว่าเขามีของดีอะไร ถึงได้กล้าคอนเฟิร์มดวงคนอื่นแบบสายฟ้าฟาด อีกทั้งยังทรนงในศักดาความแม่นของตัวเอง โดยที่ไม่กลัวว่าจะหน้าแหกเลยแม้แต่น้อย
ความดังที่แซงหน้าคนอื่น นอกจากกลายเป็นเป้าให้คนภายนอกจับตามองแล้ว วงการหมอดูด้วยกันเองก็ยังมีการวิพากษ์วิจารณ์ถึงอย่างกว้างขวางว่า หมอกฤษฏ์เป็นลูกศิษย์ใคร ไปร่ำเรียนวิชา “บริเฉท 7 ดารา” มาจากไหน เพราะไม่เคยได้ยินชื่อวิชานี้อยู่ในสารบบตำราหมอดู!!!
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเจ้าตัวไปให้สัมภาษณ์ที่ไหน ก็จะบรรยายถึงความมหัศจรรย์ของวิชาบริเฉท 7 ดารา ศาสตร์ประจำตัวที่เขาอ้างว่า เป็นตำราที่สืบทอดกันมาหลายชั่วอายุคนของ "พระครูวินัยธรรม(อินทร์ ปัญฺญาทีโป)" หรือที่ชาวบ้านขนานนามว่า "พระครูอินทร์เทวดา" โหรระดับปรมาจารย์แห่งเมืองราชบุรี ที่เคยสร้างปาฏิหาริย์ที่ท้องสนามหลวง ด้วยการทำนายดวงแบบแม่นยำชนิดไม่รู้ว่าคนคนนี้เป็นใคร ไม่ต้องใช้วันเดือนปีเกิด แต่สามารถทายรูปร่าง ทายอาชีพ ทายดวงชะตาได้อย่างถูกต้องตรงเผง จนเป็นที่กล่าวขานสร้างความฮือฮาลงหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งในสมัยนั้น
สอดคล้องกับวิธีการดูดวงของหมอกฤษฏ์ที่เคยกล่าวอ้างในพ็อกเก็ตบุ๊คของตนเอง "กฤษฏ์ คอนเฟิร์ม หมอดูจอมอหังการ” ถึงวิชาบริเฉท 7 ดาราว่า ศาสตร์นี้ไม่ต้องดูวันเดือนปีเกิด แต่ดูจากวันเวลาที่โทรมาหรือที่เจอกัน ก็สามารถทำนายได้เลยว่ามีไฝตรงไหน ใส่เสื้อสีอะไร ผมยาวผมสั้น
ในขณะเดียวกัน หมอกฤษฏ์ยังเปิดเผยอีกว่า ตำราโหราศาสตร์ของพระครูอินทร์เทวดามีอยู่ 3 วิชา นั่นก็คือวิชาโหราเลขศาสตร์พินิจนาที และ นิเวศวิรุฬหการณ์ ส่วนตำราอีกหนึ่งเล่มนั้นไม่มีชื่อ แต่จะมี "หมอหน้าบาก" หนึ่งในลูกศิษย์ของพระครูอินทร์เทวดา เป็นผู้ได้รับถ่ายทอดวิชาที่ไม่มีชื่อนี้มาแต่เพียงผู้เดียว
ต่อมาหมอหน้าบากก็ได้นำเอาวิชานั้นมาสอนให้กับ "หลวงปู่" รูปหนึ่งซึ่งเป็นพระชราภาพที่หมอกฤษฏ์ไม่ยอมเอ่ยชื่อว่าเป็นใคร จำพรรษาที่วัดไหน บอกแค่ว่าอยู่ที่วัดแห่งหนึ่งในอำเภอจอมบึง จังหวัดราชบุรี ซึ่งเป็นวัดเดียวกันกับที่หมอกฤษฏ์เคยไปบวชเณรเมื่อหลายปีก่อน หลังจากนั้นหลวงปู่ปริศนาท่านนี้ก็ได้ถ่ายทอดวิชาดังกล่าวให้กับหมอกฤษฏ์ และเป็นลูกศิษย์ที่มารับช่วงต่อเป็นรุ่นสุดท้ายแต่เพียงผู้เดียวเช่นกัน
การที่หมอกฤษฏ์ชอบทำตัวลึกลับ ปกปิดประวัติส่วนตัว ไม่เคยเปิดเผยแม้กระทั่งวันเดือนปีเกิด ไม่บอกว่าครูบาอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาหมอดูเป็นใคร ขนาดบวชที่วัดไหน ไปได้วิชาดูดวงมาจากวัดไหน ก็ยังปิดงำเป็นความลับ ประกอบกับตำราบริเฉท 7 ดาราที่เจ้าตัวกล่าวอ้างว่า เป็นตำราที่ถ่ายทอดมาจากพระครูอินทร์เทวดา ก็ไม่เป็นที่รู้จักในวงการโหรจนถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่ว ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า
หมอกฤษฏ์ได้ร่ำเรียนวิชาดังกล่าวมาจริงหรือไม่ ?
และวิชาบริเฉท 7 ดาราที่ว่านี้มีจริงหรือไม่ ?
และถ้ามีจริงทำไมจะต้องปกปิดชื่อครูบาอาจารย์ วัดที่ตัวเองไปบวชจนกระทั่งได้ร่ำเรียนวิชานี้ ทำไมจะต้องปกปิดทุกอย่างที่เกี่ยวข้อง เพื่อไม่ให้สืบสาวไปถึงที่มาที่ไปของตนเองและวิชาดังกล่าว
นี่เป็นแค่การหวงวิชา หรือจงใจปกปิด บิดเบือนอะไรบางอย่างกันแน่ ? กลายเป็นคำถามที่ ASTV บันเทิงผู้จัดการออนไลน์ต้องหาคำตอบต่อไป
3 ปรมาจารย์ด้านโหรศาสตร์ไทย เปิดคัมภีร์ "บริเฉท 7 ดารา" ตำราเทวดา หรือ แค่ตำนานขี้โม้ !
"อาจารย์พัฒนา พัฒนศิริ" หมอดูผู้คร่ำหวอดในวงการโหราศาสตร์มากว่า 34 ปี เผย “บริเฉท 7 ดารา” ก็คือการดูดวงทั่วไป เป็นการดูแบบ “จับยามทาย” ซึ่งตนเองก็ดูได้ ไม่ได้พิสดาร แขวะไม่เคยได้ยินตำรานี้มาก่อน คงต้องมีบุญจัดถึงจะได้ร่ำเรียนวิชานี้
“ตำราการดูดวงมันมีหลายแบบ แต่ถ้าจะเอาใหญ่ๆ ที่คนไทยรู้จักก็มีประมาณ 3-4 แบบ อย่างดวงไทยก็มีแบบโหราศาสตร์ไทยแท้ๆ แล้วก็โหราศาสตร์สากล แล้วก็โหราศาสตร์ยูเรเนียน ก็มีประมาณ 3 รูปแบบ อย่างแบบที่อาจารย์ดูคือแบบไทยแท้ๆ คือใช้ปฏิทินสุริยยาตร์ หรือถ้าเป็นของคนอื่นก็จะใช้ปฏิทินของต่างประเทศเอามาตัดเวลาให้เป็นไทย ส่วนยูเรเนียนจะเป็นอีกศาสตร์นึง ที่ดูดวงดาวที่เขาเรียกว่าดาวทิศ เป็นทิศพยากรณ์ นอกนั้นก็จะเป็นโหราศาสตร์ย่อยๆ ออกไป”
“ส่วนศาสตร์ไหนแม่นกว่ากัน ตรงนี้ยังไม่มีรายการไหนมาแข่งกัน จริงๆ น่าจะแข่งกันสักทีก็ดีเหมือนกัน ตั้งโจทย์มาแล้วมาแข่งกันดู ผมว่าคนที่จะดูแม่นๆ มันต้องเป็นนักเลือกช้อยส์ที่เก่งด้วย เพราะบางทีมันมี 5คำตอบ แต่เพราะทำไมเราถึงตอบหนึ่งในห้าที่ถูกต้อง อันนี้พูดยาก มันอาจจะไม่ใช่วิชา แต่คือสิ่งที่คนเรามองไม่เห็นคอยกระซิบบอกเรา หรือที่เราเรียกว่าองค์ ผมเชื่อว่าสิ่งนี้มีจริง ซึ่งไม่ใช่ว่าจะมีกันทุกคน หมอดูที่สามารถดูได้แม่นแต่ไม่มีเซนส์เหล่านี้ก็มี เพราะวิชาหมอดูสามารถเรียนรู้ได้ และขึ้นอยู่กับว่าคุณเอาไปใช้ประโยชน์ได้ดีแค่ไหน”
“สิ่งที่จะทำให้หมอดูดูไม่แม่นคือ หนึ่งเราศึกษามาไม่ถ่องแท้ สองเราวิเคราะห์ไม่ถูก สามคือไม่แม่นจริงๆ คือเราดูแม่นแต่ไม่ถูก หมายถึงแม่นตามหลักการแต่ทายไม่ถูก เช่นว่าเรื่องนี้มีคำแปลอยู่ 5 เรื่อง แต่เราไปเลือกเรื่องที่ไม่ถูก นี่คือถูกตามหลักการแต่คุณหยิบเรื่องไม่ถูก เป็นที่วาสนาของผู้ทายด้วย อย่างอื่นก็อาจจะเป็นเพราะสมองบกพร่อง อาจจะเครียดหรืออดนอน บางทีขี้อวดรู้ไม่รู้แต่จะอวดภูมิ ทำเป็นรู้ไว้ก่อนก็เลยทายผิด สรุปแล้วคือหนึ่งโดยวิชา สองโดยวิเคราะห์ สามสุขภาพ สี่อยากอวดอ้าง”
ยืนยันไม่เคยได้ยินตำรา “บริเฉท 7 ดารา” แต่บอกว่าตำราดังกล่าวมีลักษณะการดูดวงคล้ายกับการดูเลข 7 ตัว ซึ่งเป็นการดูดวงทั่วไปไม่ได้พิสดาร
“ผมได้ยินบ่อยๆ คือคำว่าบริเฉท แต่คำว่า 7 ดารานี่ก็คือดาว 7 ดวง แต่ถ้าจะให้เราแปลก็คือการใช้ดาวพระเคราะห์ 7 ดวง คืออาทิตย์ จันทร์ อังคาร พุธ พฤหัสฯ ศุกร์ เสาร์ ไม่มีราหูเพราะราหูโหราศาสตร์ไทยเพิ่งจะมามีทีหลัง ส่วนคำว่าบริเฉทไม่ใช่ศาสตร์การดูดวงนะ เป็นเพียงคำศัพท์ธรรมดาที่แปลว่า การกำหนดข้อความที่รวบรวมเอามาเป็นตอนๆ พอรวมกับ 7 ดารา ที่มาจากดาว 7 ดวงก็น่าจะแปลว่าการแปลความหมายของดาวทั้ง 7 ดวง น่าจะแปลอย่างนั้นมากกว่า ไม่ได้พิสดารอะไร เพราะในการดูดาวทั้ง 7 ก็มีความหมายอยู่แล้ว เช่น อาทิตย์หมายถึงเกียรติยศ ชื่อเสียง พระมหากษัตริย์ พระราชา ส่วนจันทร์ก็หมายถึงประชาชน หมายถึงน้ำ ซึ่งคนที่เป็นหมอดูต้องเรียนคำแปลของดาวทั้ง 7 ดวงอยู่แล้ว ถ้าไม่เรียนก็ดูดวงไม่ได้”
“คิดว่าเขาอาจจะเอาดวงดาวในทางโหราศาสตร์ ก็คือดาวพระเคราะห์ 7 ดวงไปใช้มากกว่า เพราะบริเฉท 7 ดาราฟังแล้วมันก็ดูเก๋ไก๋ดี เป็นการเปิดศัพท์ขึ้นมาให้มันเท่ห์ๆ เพราะมันสามารถแต่งคำได้อย่างอาจารย์ก็ชอบแต่งคำเรียกใหม่ๆ เพียงแต่ไม่เคยได้ยินคำนี้เท่านั้นเอง แต่ประเดี๋ยวคนที่เขาฟังอยู่จะคิดว่าผมไม่เคารพความคิด ไม่ใช่นะครับ ผมเคารพแต่ผมอาจจะมีความรู้น้อย แต่ถ้าจะให้ผมแปลก็คือการอธิบายถึงดวงดาว 7 ดวง”
ส่วนที่ “หมอกฤษฏ์” บอกว่า “ตำราบริเฉท 7 ดารา” ไม่ต้องดูวันเดือนปีเกิด แต่ดูจากวันเวลาที่โทรมาหรือที่เจอกัน ก็สามารถบอกได้เลยว่ามีไฝตรงไหน ใส่เสื้อสีอะไร ผมยาวผมสั้นนั้น “อาจารย์พัฒนา” แย้งว่าตนก็ดูได้เช่นกัน เผยเป็นการดูแบบ “จับยามทาย” ซึ่งเป็นการดูดวงธรรมดา !
“อันนี้อาจารย์ก็ทำได้ แต่ไม่ทำเพราะอาจารย์อยากจะดูดวง เพราะอันนี้มันของธรรมดา เขาเรียกว่าจับยามทาย แต่ไม่ใช่จับยามแบบที่เขาเรียนกัน คือวิธีการดูมันก็ใช้วิชาดวงเหมือนกัน แต่เราไม่ต้องมาตั้งดวง เป็นการทายที่รวดเร็วมาก การคำนวณในใจต้องจำแม่นมาก อย่างหมอดูคนอื่นๆ ก็ดูได้ถ้าเขาจะดู แต่แม่นไม่แม่นอีกเรื่องนึงนะ เพราะมันขึ้นอยู่กับความชำนาญในศาสตร์นั้นๆ เขาเรียนมาลึกหรือเปล่า”
“แต่การดูแบบบริเฉท 7 ดารา ก็สามารถดูวันเดือนปีเกิดได้เหมือนกันเพราะ 7 ดาราก็ต้องเอาดวงดาวไปตั้ง คำว่าบริเฉท 7 ดาราอาจารย์ก็เพิ่งเคยได้ยิน แต่คำว่าบริเฉทมันก็เป็นคำที่ใช้ทั่วๆ ไป แล้วในแวดวงหมอดูเราก็มีการพบปะพูดคุยกันเรื่อยๆ แต่ก็ไม่ได้มีการพูดถึงคำว่าบริเฉท 7 ดาราเลย และไม่มีใครรู้จักคำนี้”
“การดูโหราศาสตร์ปัจจุบันก็มีดูลายมือ ดูไพ่ทาโร่ โหราศาสตร์แบบภารตะ โหราศาสตร์แบบพม่า อย่างถ้าพูดถึงโหราศาสตร์มหาภูติไอ้นี่เป็นของพม่า แต่อย่างถ้ามีบริเฉท 7 ดารา อาจารย์ก็ต้องเอาเข้าสำนักงานการศึกษาเอกชนแล้วสิ เพราะในนั้นก็มีศาสตร์หลายหลาก”
“อาจารย์พัฒนา” เผยว่า การดูดวงแบบบริเฉท 7 ดารา ก็เป็นการดูดวงแบบพื้นฐานที่คนจะเป็นหมอดูต้องเรียนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องชื่อนั้นน่าจะเป็นการตั้งขึ้นใหม่เพื่อสร้างเอกลักษณ์ให้ตัวเองมากกว่า
“คิดว่าคงเป็นการตั้งชื่อมาให้เป็นเอกลักษณ์ เอาเป็นว่าเรายืนยันว่าไม่เคยได้ยินตำราบริเฉท 7 ดาราก่อนพระพุทธกาล หรืออาจจะมีก็ได้แต่เราไม่เคยได้ยิน เราอาจจะโง่ก็ได้ แต่เราก็ยืนยันว่าไม่เคยได้ยิน”
“ผมสรุปว่าไม่เคยได้ยินไม่เคยเห็นศาสตร์นี้ แต่เข้าใจความหมายว่าคืออะไรเพราะเราไม่ได้โง่ แต่ฟังความเป็นมาแล้วรู้สึกว่าเป็นตำราที่มหัศจรรย์มาก ซึ่งเราอาจจะบุญน้อยไปเลยไม่ได้เรียน อันนี้ต้องมีบุญจัดมาก ต้องมีบุญเยอะๆ”
พร้อมฝากทิ้งท้ายให้สื่อมวลชนช่วยตรวจสอบศาสตร์บริเฉท 7 ดารา ด้วยว่ามีจริงหรือแค่เรื่องลวง
“เอาอย่างนี้ดีกว่า เอาเป็นว่าอาจารย์ขอความกรุณาสื่อมวลชนเสนอไปที่สมาคมโหร หรือสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติก็ได้ หรือว่าถ้ากลัวสมาคมจะเก๊ก็เสนอไปยังสำนักงานบริหารการศึกษาเอกชน ว่าอันนี้มันจะเข้าข่ายเท็จจริงยังไง ให้ช่วยตรวจสอบทีว่าบริเฉท 7 ดารา มันมีความเป็นมายังไง สื่อมวลชนสามารถตรวจสอบได้จะได้รู้ไปเลย ทางอาจารย์จะได้ประชุมคณะทำงาน ทีนี้จะได้ของจริง ถ้าไม่เคยได้ยินก็จะได้รู้ แต่ถ้าได้ยินก็จะได้คำตอบไปเลย ลำพังจะให้อาจารย์ตอบคนเดียวก็ไม่กล้าเหมือนกันนะ เพราะไม่รู้ว่าเขาไปขุดเจอที่ไหนหรือเปล่า ก็อยากจะให้มีการตรวจสอบดู”
"อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ" นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ และประธานสภาโหราจารย์ และคลุกคลีอยู่กับวงการโหราศาสตร์มากว่า 50 ปี ฟันโชะ! ตั้งแต่อยู่ในวงการโหรมาก็เพิ่งจะเคยได้ยินชื่อตำรา “บริเฉท 7 ดารา” จาก “หมอกฤษฏ์” นี่แหละ
“ศาสตร์แห่งการพยากรณ์ที่สืบทอดกันมาค่อนข้างแน่นอน และเป็นมาตรฐานก็คือวิชาโหราศาสตร์ วิชาโหราศาสตร์เป็นศาสตร์เกี่ยวกับกาลเวลา เป็นการทำนายว่าเวลาไหนหรือห้วงเวลาไหนจะเกิดอะไรขึ้น แล้วเหตุการณ์ที่ว่าก็แบ่งออกเป็นเหตุการณ์ที่ดี ที่เป็นปกติ และเป็นเหตุการณ์ที่เลวร้าย คำการพยากรณ์ทางโหราศาสตร์ประการสำคัญก็คืออาศัยเรื่องเกี่ยวกับดวงดาว ด้วยเหตุผลที่ว่าดวงดาวทำให้เกิดเวลา”
“โหราศาสตร์ที่เห็นอยู่ปัจจุบัน คุณอาจจะมองว่ามันมีอยู่แล้วเพราะเกิดคุณก็เห็นเลย แต่จริงๆ วิวัฒนาการมันค่อนข้างจะยาวนาน มีการสะสมกันมานาน ได้มีการบันทึก ได้มีการจดจำกันมาจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งเดิมเราอาจจะไม่ค่อยบันทึกกัน ก็จะใช้แบบมุกปาถะคือปากต่อปากจากครูไปสู่ลูกศิษย์ และถ่ายทอดกันมาเรื่อย จนกระทั่งถึงยุคใหม่ก็จะมีเป็นแบบเอกสาร เป็นแบบศิลาจารึก เป็นตำรับตำราขึ้นมา”
“แต่ถ้าจะให้พูดถึงศาสตร์ที่เป็นมาตรฐาน เราก็มองว่าเป็นวิชาโหราศาสตร์ และวิชาโหราศาสตร์ก็เป็นที่น่าเชื่อถือมาตั้งแต่สมัยโบราณ และสืบทอดมาจนกระทั่งถึงขณะนี้ ถ้าเราดูตรงสุวรรณภูมิ พอนึกขึ้นมาก็นึกถึงที่บ้านเชียง อารยธรรมบ้านเชียงมีการขุดค้นพบโบราณวัตถุสำคัญ ก็คือโบราณวัตถุเป็นรูปของจักรราศี รูปของดวงดาว รูปของดวงชะตา เพราะฉะนั้นเนี่ยบ้านเชียงมีอายุ 4,000-5,000 ปี เพราะฉะนั้นแล้วคนสุวรรณภูมิรู้โหราศาสตร์ไม่ต่ำกว่า 5,000 ปี อย่างของอินเดียโหราศาสตร์มีมาก่อนพระเวสสันดรด้วยซ้ำ”
ยืนยันอีกเสียงว่าตำรา “บริเฉท 7 ดารา” เป็นชื่อที่เพิ่งตั้งขึ้นมาใหม่ ไม่ใช่ตำราเทวดาอย่างที่อวดอ้าง มีลักษณะการดูดวงคล้ายกับเลข 7 ตัว ซึ่งเป็นการดูดวงทั่วไป
“คือคำว่า บริเฉท และ 7 และ ดารา ดาราก็คือดวงดาว 7 ก็คือเลข 7 ก็คือสัตตะ ส่วนบริเฉทก็คือองค์ความรู้ เป็นบท เพราะฉะนั้นมันก็ไม่ใช่วิชาแปลกใหม่หรอก เพียงแต่ตั้งชื่อให้มันดูแปลก ก็เป็นความรู้เกี่ยวกับเรื่องของเลข 7 ตัว ซึ่งก็คือดาว 7 องค์น่ะนะ ก็คือการเอาดาว 7 องค์นี้เข้ามาอธิบายในหมวดของตัวเลข ซึ่งเป็นเลขศาสตร์ชนิดหนึ่ง แต่ดูแล้วก็เท่ห์ดีนะ(ยิ้ม) ดูเป็นวัยรุ่นเป็นดาราก็เลยโครมครามหน่อย”
“การดูเลข 7 ตัว เป็นวิชาที่มีอยู่แล้ว มีอาจารย์ท่านนึงที่อยู่ชมรมโหราศาสตร์นานาชาติ ตอนแรกก็สอนเลข 7 ตัว ใช้ชื่อวิชาว่าเลข 7 ตัว พอมาอีกยุคหนึ่งก็เลยไม่เอาชื่อนี้แล้ว เปลี่ยนเป็นชื่อมหาสัตตะเลข คำว่าสัตตะก็คือเจ็ดไง รวมกับคำว่าเลข มันก็คือเลข 7 ตัวนั่นแหละ เพียงแต่ว่าตั้งชื่อขึ้นมาให้ดูมีเอกลักษณ์แปลกออกไป ให้น่าทึ่งน่าสนใจกลายเป็นมหาสัตตะเลข คือวิชาที่อยู่ในโลกนี้มันมีอยู่แล้ว แต่มนุษย์ที่เกิดมาก็คิดว่าตนเองเป็นคนค้นพบ บางทีก็อาศัยคัมภีร์โบราณซึ่งเป็นคัมภีร์ที่เขามีอยู่แล้วมาเป็นของตน ไม่นึกถึงครูบาอาจารย์ที่เขารวบรวมสั่งสอนมา”
“ตำราบริเฉทในพุทธศาสนามีอยู่เยอะแยะเลย มีบริเฉทหนึ่งสองสาม เป็นชื่อของบทเป็นชื่อของเนื้อหาในหมวดนั้นๆ 7 ก็คือเลขเจ็ด ก็คือ 7 วัน ดาว 7 ดวง เลข 7 ตัว แล้วดารา ดาราก็คือดวงดาว ในฐานะที่เราอยู่วงการโหรแล้วเราก็มองว่ามันเป็นไปได้ว่า วิชาการมันมีอยู่เดิม หลักวิชาก็มีอยู่เดิม แต่ว่าเท่าที่ประสบ ศัพท์อันนี้มันเป็นการผสมผสาน ระหว่างคำว่าบริเฉท กับคำว่า 7 และก็คำว่าดารา บริเฉทก็เป็นหมวดความรู้ 7 ก็คือตัวเลข ส่วนดาราก็คือดวงดาว”
พร้อมกันนี้ “อาจารย์ภิญโญ” ยังแจกแจงอีกว่า ไม่ใช่มีแค่ตนที่ไม่เคยได้ยินชื่อวิชาดังกล่าว หากแต่โหรทั้งวงการเอง ก็ไม่มีใครเคยได้ยินชื่อนี้อยู่ในสารบบวิชาโหรศาสตร์
“ไม่มีนะ เพิ่งมาได้ยิน แต่ว่า 7 ตัว คำว่าสัตตะ คำว่าดาราเนี่ยได้ยิน ส่วนคำว่าบริเฉทเป็นศัพท์ที่มีอยู่แล้ว การตั้งชื่อขึ้นมามีเหตุผลคือหนึ่งให้ไพเราะ ให้มีความหมาย และให้ถูกต้องตามหลักทางโหราศาสตร์ ซึ่งก็เป็นไปได้ว่านักโหราศาสตร์รุ่นใหม่คิดขึ้นมา หรือไม่ก็นักโหราศาสตร์รุ่นเก่าตั้งไว้แล้ว แต่ไม่ปรากฏในวงการ”
“วิชามันไม่ลี้ลับหรอก แต่ที่มนุษย์มองว่ามันลี้ลับเพราะมนุษย์ไม่รู้ มนุษย์หาเหตุหาผลไม่ได้ว่าพยากรณ์มาจากอะไร แต่เมื่อสาวลงไปในหลักการจริงๆ แล้ว มันก็มีอยู่ในโลกนั่นแหละ ไม่มีอะไร วิชาบริเฉท 7 ดารา น่าจะเป็นวิชาเลข 7 ตัว หรือวิชาสัตตะฤกษ์ สัตตะแปลว่าเจ็ด ดวงดาว 7 ดวง วัน 7 วัน น่าจะเป็นวิชาที่ไม่น่าซับซ้อนมาก คุณก็สามารถเรียนรู้ได้”
“ถามว่าเพื่อสร้างความโดดเด่นให้ตัวเองหรือเปล่า จริงๆ มันก็เป็นไปได้ทั้งนั้น แต่อีกมุมนึงก็อาจจะมีอยู่จริงก็ได้ แต่น้ำหนักมันน้อย เพราะถ้าบอกว่าสืบทอดมาก่อนสมัยพุทธกาลจริงๆ คนต้องรู้ คือมันเป็นห้วงเวลาที่เนิ่นนานและถ่ายทอดไม่ขาดสาย เพราะฉะนั้นคนที่มีอำนาจ หรือบุคคลสำคัญในสังคมก็ย่อมรู้ แต่อันนี้รักษาความลับมาเป็นหลายพันปีเยี่ยมยอดมากเลย(ยิ้ม)”
ส่วนเรื่องการตรวจสอบความเป็นมาของวิชาบริเฉท 7 ดารา อาจารย์เผยว่า……
“เราคิดเรื่องนี้มาตั้งนานนมแล้ว เราก็พยายามดูแลกันเอง แต่มันก็ขัดอยู่หลายๆ อย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งทางวงการโหราศาสตร์มันมีแต่กฎหมายที่เราใช้กันอยู่ทั่วๆ ไปอย่างกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ กฎหมายอาญา หรือกฎหมายอื่นๆ แต่มันไม่มีกฎหมายเฉพาะของเรา ไม่มีกฎกระทรวงที่จะมาควบคุม”
“เราก็พยายามก่อตั้งกันเป็นสภาของโหราจารย์ เป็นสมาคมซึ่งเป็นที่อยู่ของคนหลายๆ คนที่มาอยู่รวมกัน โดยมีกฎระเบียบข้อบังคับอันเดียวกัน แต่บทลงโทษอาจจะมีแค่ลบชื่อออกจากการเป็นสมาชิก หรือคาดโทษเท่านั้นเอง รวมไปถึงการเป็นหมอดู บางคนมีความรู้เรียนมาแค่นิดหน่อย ยังไม่เชี่ยวชาญแต่สถาปนาตัวเองเป็นหมอดู ใช้ชื่อวิเศษวิสมมาก ซึ่งจริงๆ มันควรจะมีการควบคุมกรอบคุณสมบัติตรงนี้ด้วย”
“ส่วนการเอาผิดกับหมอดูที่หลอกลวงนั้น การจะลงโทษเขาได้ก็ต่อเมื่อเขาเป็นสมาชิกชมรม เพราะข้อบังคับมันก็มีอยู่แล้ว ว่าถ้าสมาชิกประพฤติตนไม่เหมาะสมนำไปซึ่งความเสื่อมเสียต่อสมาคม ก็สามารถที่จะพิจารณาลงโทษได้ หนักสุดก็คือลบชื่อออกจากการเป็นสมาชิก มีไม่มีก็ต้องให้ฝ่ายทะเบียนไปตรวจดู แต่ถ้าเขาไม่ได้เป็นสมาชิก ก็ต้องให้กฎหมายบ้านเมืองไป”
ขณะที่ “หลวงพ่อสุธน” เจ้าอาวาสวัดสุรชายาราม(วัดหลุมดิน) ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการดูดวงมาจาก “พระครูเขมานันทมุนี” หรือ “หลวงปู่พรหม” แห่งวัดสัตตนารถ ราชบุรี ซึ่งหลวงปู่พรหมท่านนี้เป็นพระหมอดูชื่อดังของราชบุรี และเป็นที่รู้จักกันดีว่า ได้รับการถ่ายทอดวิชาดูดวงจาก “พระครูอินทร์เทวดา” มาโดยตรง ได้อธิบายถึง วิชาบริเฉท 7 ดารา ว่า...
“ตำราบริเฉท 7 ดารา อาตมาไม่เคยได้ยิน แต่คาดว่าเขาอาจจะตั้งชื่อขึ้นมาใหม่ เพราะเจ็ดก็หมายถึงดาว 7 ดวง ส่วนคำว่า บริเฉท หมายถึงบทหนึ่งๆ จริงๆ วิชาโหราศาสตร์มันเหมือนกันหมดเวลาเรียนก็เรียนเหมือนกันหมด แต่ว่ามันขึ้นอยู่ที่สติปัญญาของแต่ละบุคคลบางคนเรียนดวงก็ไม่ใช้ดวง แต่เขาไปใช้กาลชะตาแทน”
“ซึ่งวิธีการที่หมอกฤษฏ์ใช้ดูนั้นน่าจะเหมือนกับการดูแบบกาลชะตา หมายถึงดวงประจำวันอย่างวันนี้ดาวสำคัญอะไรอยู่ที่ไหนใครมาถามเวลาไหนก็เอาเวลาที่มาถามเป็นเวลาเกิดของคนๆ นั้น ถามเรื่องอะไรก็ดูเรื่องนั้น มันเป็นการดูดวงแบบกาลชะตาเขาไม่ต้องบอกวันเดือนปีเกิดเราก็สามารถทำนายได้ อยากถามเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็โต้ตอบกันไป”
“จริงๆ การดูดวงแบบกาลชะตาทุกสำนักก็มี แล้วแต่ว่าใครจะนำมาใช้เท่านั้นเอง มันเหมือนเป็นพื้นฐานการดูดวง ถ้าเรียนรู้มาได้เข้าใจทั้งหมดแล้วความจำดีสติปัญญาดีก็ดูดวงตามกาลชะตาได้เลย มันไม่มีตำราอะไรที่พิเศษ โหราศาสตร์มันก็คือโหราศาสตร์ แต่จะขึ้นอยู่ที่ปฏิภาณ และความจำของคนที่นำไปใช้เท่านั้นเอง เหมือนเป็นความรู้เฉพาะบุคคลหรือสถิติที่เขาเก็บไว้ที่เขาทำได้ก็เลยอ้างว่าอย่างนั้นอย่างนี้ หรือบางคนก็มาใช้ศัพท์เฉพาะเรื่องไป”
สรุปว่า 3 ปรมาจารย์ทางด้านโหราศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น "อาจารย์พัฒนา พัฒนศิริ" หมอดูผู้คร่ำหวอดในวงการโหราศาสตร์มากว่า 34 ปี ,"อาจารย์ภิญโญ พงศ์เจริญ" นายกสมาคมโหราศาสตร์นานาชาติ และประธานสภาโหราจารย์ และคลุกคลีอยู่กับวงการโหราศาสตร์มากว่า 50 ปี และ “หลวงพ่อสุธน” เจ้าอาวาสวัดสุรชายาราม(วัดหลุมดิน) ที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาการดูดวงมาจาก “พระครูเขมานันทมุนี” หรือ “หลวงปู่พรหม” แห่งวัดสัตตนารถ ราชบุรี ซึ่งหลวงปู่พรหมท่านนี้เป็นพระหมอดูชื่อดังของราชบุรี และเป็นที่รู้จักกันดีว่า ได้รับการถ่ายทอดวิชาดูดวงจาก “พระครูอินทร์เทวดา” มาโดยตรง ต่างไม่เคยได้ยินชื่อตำรา “บริเฉท 7 ดารา” ที่หมอกฤษฏ์กล่าวอ้างว่า ได้ร่ำเรียนมาจาก “หลวงปู่” ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ “หมอหน้าบาก” ที่ได้รับการถ่ายทอดมาจากพระครูอินทร์เทวดา
นอกจากนั้นปรมาจารย์ด้านโหราศาสตร์ทั้งสามยังกล่าวอีกว่า การดูดวงแบบไม่ต้องใช้วันเดือนปีเกิด แต่ดูจากวันเวลาที่โทรมาหรือที่เจอกัน ก็สามารถทำนายได้เลยว่ามีไฝตรงไหน ใส่เสื้อสีอะไร ผมยาวผมสั้น แบบที่หมอกฤษฏ์ใช้ทำนายและอ้างว่าเป็นการดูแบบบริเฉท 7 ดารานั้น มันไปคล้ายกับการดูเลข 7 ตัว , การจับยามทาย และการดูแบบกาลชะตา ซึ่งเป็นการดูดวงที่ล้วนไม่ต้องใช้วันเดือนปีเกิด แต่เป็นการดูจากฤกษ์ที่บุคคลนั้นมาหา ซึ่งเป็นการดูดวงแบบทั่วไปไม่ได้พิสดาร
แต่สิ่งที่น่าสนใจไปกว่านั้นก็คือ ทำไมความ “บังเอิญ” ในเรื่องต่างๆ มันมาเกี่ยวข้องกับ “หมอกฤษฏ์” ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตำราพระครูอินทร์เทวดา ทั้งๆ ที่มีอยู่ตั้ง 3 วิชา แต่ทำไมวิชาที่หมอกฤษฏ์ได้รับการถ่ายทอดมาถึง “บังเอิญเป็นตำราที่ไม่มีชื่อ”(ซะงั้น) จนตอนหลังเจ้าตัวต้องมาตั้งชื่อเอาเองว่าเป็นตำราบริเฉท 7 ดารา โดยมีการกล่าวอ้างในพ็อกเก็ตบุ๊ค(กฤษฏ์ คอนเฟิร์ม หมอดูจอมอหังการ) ถึงการตั้งชื่อดังกล่าวว่า....
จริงๆ แล้วตำรานี้มีชื่อที่พระครูอินทร์เทวดาตั้งไว้แล้วเรียบร้อยแล้ว เพียงแต่ไม่ได้บอกกับลูกศิษย์ ซึ่งก็คือหมอหน้าบาก ทำให้ไม่มีใครทราบชื่อของตำราดังกล่าว แต่หลวงปู่ได้บอกกับหมอกฤษฏ์ว่า ถ้าตกทอดมาเป็นรุ่นของหมอกฤษฏ์จะมีชื่อขึ้นมาเอง ที่สำคัญไปกว่านั้น วิชานี้จะโด่งดังเหมือนยุคสมัยพระครูอินทร์เทวดาเลยทีเดียว ....นั่นคือสิ่งที่เจ้าตัวหยิบยกมาแจกแจง
ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่าสิ่งที่เกี่ยวกับหมอกฤษฏ์ล้วนเป็นปริศนาทั้งหมด แม้กระทั่งชื่อวัดที่ไปบวชเรียนจนได้ศึกษาวิชาบริเฉท 7 ดารามาเจ้าตัวก็ยังไม่เปิดเผย บอกแค่ว่า เป็นวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดราชบุรี ชื่อ "หลวงปู่" ผู้เป็นอาจารย์ที่ถ่ายทอดวิชาก็ยังเก็บงำให้เป็นปริศนาอย่างน่าพิลึก
ความเป็นปริศนาเหล่านี้ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า แท้จริงแล้วเจ้าตัวไปบวชและได้เรียนวิชาที่ว่านี้จากวัดไหนในจังหวัดราชบุรี แล้วหลวงปู่ปริศนาที่เจ้าตัวอ้างว่าเป็นอาจารย์คือใคร และท้ายที่สุดแล้วตำราที่หมอกฤษฏ์ไปร่ำเรียนมา...ใช่ตำราของพระครูอินทร์เทวดาจริงหรือไม่
คงไม่มีใครให้คำตอบได้ดีไปกว่า “หลวงปู่ปริศนา” อาจารย์ของ “หมอกฤษฏ์” พรุ่งนี้เราไปว่ากันต่อในตอน 2 “พลิกแผ่นดินตามล่า หลวงปู่ปริศนา อาจารย์ของ หมอกฤษฏ์ คอนเฟิร์ม” บุคคลที่หมอกฤษฏ์ไม่เคยเปิดเผย
เกาะติดข่าวบันเทิงและร่วมวงเมาท์ดารากับ “ซ้อ7” ก่อนใคร ผ่าน SMS โทรศัพท์มือถือทุกเครือข่าย ระบบ dtac - เข้าเมนู write Message พิมพ์ R แล้วส่งไปที่หมายเลข 1951540 ระบบ AIS - กด *468200311 แล้วโทร.ออก ระบบ True Move และ Hutch - เข้าเมนู write Message พิมพ์ ENT แล้วส่งไปที่หมายเลข 4682000 *ค่าบริการเพียง 29 บาท ต่อเดือน ทดลองใช้ฟรี 15 วัน อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ คลิก |