โดย เวสารัช โทณผลิน
ชายชราลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าไปกล่าวกับเด็กสาวชาวญี่ปุ่นเป็นภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ชัดเกินกว่าที่คนเยอรมันอย่างเขาจะพูดออกมา ความสงสัยวาบขึ้นบนใบหน้าที่ฉาบทาด้วยสีขาวโพลนของสาวญี่ปุ่นวัยสิบแปดคนนั้นเพียงชั่วครู่ ก่อนที่เธอจะปล่อยรอยยิ้ม แล้วอรรถาธิบายถึงสิ่งที่เขาสงสัยเป็นภาษาอังกฤษว่า "ระบำบูโต คือ การเต้นรำกับเงา"
"ในระหว่างที่เรากำลังเคลื่อนไหวอยู่ เราไม่ได้เต้น แต่เป็นเงาต่างหากที่กำลังเต้นอยู่ เราไม่รู้หรอกว่าเงาคือใคร มันอาจจะเป็นตัวเราเอง เป็นอดีตของเรา หรือเป็นใครสักคนที่ทิ้งบางสิ่งบางอย่างเอาไว้ในร่างของเราก็เป็นได้"
ชายชรามีสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เด็กสาวบอกกับเขาว่า ใครๆ ก็สามารถเต้นระบำบูโตได้ ชายเยอรมันวัยเกษียณส่ายศีรษะเป็นเชิงค้านให้กับคำกล่าวนั้น เขาบังคับร่างให้หยุดนิ่งไม่ไหวติง แต่เงาของภรรยาผู้จากไปซึ่งแฝงอยู่ในกายของเขากลับเต้นเร่าอยู่ตลอดเวลา
'รูดี้ แองเกอร์เมียร์'( แสดงโดย Elmar Wepper ) ก็เหมือนกับคนส่วนใหญ่บนโลกใบนี้ เขาคือชายผู้ไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง ในยี่สิบสี่ชั่วโมงของเขาจึงฉายซ้ำคล้ายภาพยนตร์ม้วนเดิม เริ่มตั้งแต่ตื่นนอนตอนเช้า ปฏิบัติกิจส่วนตัว ฉวยแซนวิชที่ 'ทรูดี้ แองเกอร์เมียร์'(แสดงโดย Hannelore Elsner) ภรรยาคู่ชีวิตทำให้เพื่อไปกินตอนพักกลางวัน พร้อมทั้งหยิบแอ็ปเปิลหนึ่งผลติดมือไป ด้วยความเชื่อที่ฝังหัวมาตลอดว่า "กินแอ็ปเปิลวันละผล ไม่ต้องไปหาหมอ"
แต่แอ็ปเปิลหนึ่งผลและการมั่นยึดในวิถีเดิมๆ ก็ไม่ได้เป็นเกราะที่ป้องปรามความเปลี่ยนแปลงได้ มันเริ่มเข้ามาเยือนรูดี้ หลังจากที่เขาเข้ารับการตรวจสุขภาพจากแพทย์สองนาย ซึ่งมาแจ้งข่าวร้ายกับทรูดี้ในภายหลังว่า สามีของเธอป่วยเป็นโรคร้าย และคงมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกไม่นาน พร้อมทั้งแนะให้คู่รักวัยเกษียณออกเดินทางท่องเที่ยวไปที่ไหนสักแห่งด้วยกันเป็นครั้งสุดท้าย
แม้จะวิตกและโศกเศร้า แต่ทรูดี้ก็เก็บงำเรื่องดังกล่าวไว้กับตัวเพียงลำพัง เธอทุกข์ใจแต่ก็ฝืนยิ้มในยามที่ต้องเผชิญหน้าสามี ทรูดี้เอ่ยปากชวนรูดี้ไปเยี่ยมลูกสองคนที่อาศัยอยู่ในเบอร์ลิน แต่ช่องว่างที่ถูกถ่างดึงโดยวัยวันก็ทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างลูกๆ กับพ่อเฒ่า แม่ชราไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
"พวกเขาไม่เหมือนลูกๆ ที่ชั้นเคยรู้จัก" ทรูดี้เปรยกับรูดี้ในคืนหนึ่งที่ทั้งคู่อาศัยบ้านของลูกชายคนโตพักผ่อน
หลังจากนั้นไม่นานทรูดี้ก็จากไป ในค่ำคืนอันเงียบสงบ ณ ห้องพักเล็กๆ ใกล้ทะเลบัลติก
ความเปลี่ยนแปลงทั้งมวลที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องกับชีวิตของรูดี้ ทำให้ชายชราที่ไม่ชอบและไม่เชื่อในความไม่แน่นอนปรับตัวไม่ทัน เขาตัดสินใจเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น ดินแดนที่ภรรยาอันเป็นที่รักใฝ่ฝันจะไปเยือนสักครั้งในช่วงที่มีลมหายใจอยู่ รูดี้นั่งเครื่องบินข้ามทะเลสีเขียวมรกต ในใจร้องถามด้วยน้ำเสียงปวดร้าวว่า "ตอนนี้เธออยู่ที่ไหน ทรูดี้"
แม้โครงเรื่องจะคล้ายคลึงกับ Tokyo Story ของ 'ยาสึจิโร่ โอสุ(ผู้กำกับชื่อดังชาวญี่ปุ่น ที่มักจะสร้างผลงานที่พูดถึงเรื่องการมองโลกในมุมที่ต่างกันระหว่างเด็กกับผู้ใหญ่)' แต่ Cherry Blossoms ภาพยนตร์เรื่องล่าของผู้กำกับสาวชาวเยอรมัน 'ดอริส ดอร์รี่' กลับมีน้ำเสียงที่ต่างไป เธอสร้างตัวละครวัยเกษียณผู้ไม่นิยมความเปลี่ยนแปลงให้พบกับสิ่งที่เขาไม่ชอบ(และไม่เชื่อ) เธอค่อยๆ ปล่อยให้มันโถมเข้ามาหาเขาอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ แล้วปล่อยให้ผู้ชมเฝ้ามองชีวิตของคนชราที่ต้องมาพบสัจธรรมและเริ่มต้นชีวิตใหม่ในวันที่ใกล้จะเดินทางไปพบกับความตายซึ่งรอเขาอยู่ไม่ไกลนัก
ด้วยโครงเรื่องที่สามารถเล่าด้วยน้ำเสียงที่เศร้าสร้อยได้ไม่ยากนัก แต่ดอร์รี่กลับเลือกที่จะเล่าด้วยน้ำเสียงที่สดใสเกินกว่าภาพชะตากรรมที่ชายชรากำลังเผชิญ เธอหยิบเอาสัญลักษณ์ของความไม่จีรังอย่าง 'ดอกซากุระ' ซึ่งมีชีวิตในสภาพเบ่งบานอยู่ได้เพียงเจ็ดวัน กับสัญลักษณ์ของการเข้าถึงจิตวิญญาณธรรมชาติ อย่าง 'การระบำบูโต' มาใส่ไว้ในหนังในลักษณะที่สามารถตีความได้หลายระดับ ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และพื้นฐานของคนดู
ตัวเรื่องที่ดำเนินไปแบบเอื่อยๆ กับความสงัดเงียบอาจจะทำให้คนที่ไม่ชินกับภาพยนตร์ซึ่งไม่มีฉาก(ที่ตั้งใจ)ผลิตอารมณ์ร่วม หาวง่วงได้ แต่การค่อยๆ ปู ค่อยๆ พาผู้ชมไปในจุดที่หนังต้องการสื่อ กลับเป็นเสน่ห์ที่เย้ายวนให้คนดูติดตาม ถ้าสลัดความรู้สึกเบื่อ ความง่วง หรือความเมื่อย แล้วดิ่งดำไปกับรายละเอียดเล็กๆ ที่ฟุ้งกระจายอยู่ในหนัง ก็จะเกิดอารมณ์ร่วมได้โดยที่ไม่ต้องได้รับการกระตุ้นด้วยฉากที่มาพร้อมกับดนตรีที่จงใจ
แม้ว่าการเล่าถึงสัจธรรมในชีวิตจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่การเล่าด้วยน้ำเสียงที่ไม่ได้พยายามยัดเยียด และมิใช่การตั้งตัวเป็นศาสดาชี้บอกให้ผู้ชมต้องคล้อยเชื่อ ถือเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เมื่อมาผนวกกับการสังสรรค์กันของสองวัฒนธรรมที่สวยงามและเปี่ยมไปด้วยความหวัง ก็ทำให้ Cherry Blossoms เป็นภาพยนตร์ที่ลูกๆ สมควรจูงมือพ่อแม่วัยชราไปชมยิ่งนัก(ถ้าไม่กลัวท่านจะเมื่อยขบ)
ดอกไม้สีชมพูอ่อน บานเต็มต้นในวันที่รูดี้ไปเยือน เขาค่อยๆ เลิกเสื้อคลุมออกช้าๆ เผยให้เห็นเสื้อไหมพรมสีฟ้าสดกับกระโปรงพีซสีดำของภรรยาซึ่งสวมอยู่บนร่างของเขา คล้ายจะสื่อไปถึงทรูดี้ที่อยู่ในตัวของเขา รูดี้แหงนหน้าขึ้นไปมองดอกซากุระบนต้น แล้วรำพึงออกมาเบาๆ ว่า "นี่สำหรับเธอนะ ทรูดี้"
แม้ในขณะที่เขากำลังทำอะไรเพื่อเข้าถึงจิตวิญญาณของภรรยา รูดี้ก็คงจะไม่ได้ตระหนักถึงหลักความจริง ที่ว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง มีการเคลื่อนไหว ไม่หยุดนิ่ง สรรพชีวิตและสรรพสิ่งตกอยู่ใต้กฎไตรลักษณ์ นั่นคือ ไม่เที่ยง(อนิจจัง) ไม่คงทน(ทุกขัง) และไม่จริงแท้แน่นอน(อนัตตา)
เขาเดินออกจากสวนสาธารณะกลางเมืองโตเกียว โดยไม่เคยเหลียวมองเลยว่า ดอกไม้สีชมพูอ่อนซึ่งบานสะพรั่งอยู่บนต้นที่เขาเพิ่งชื่นชมเมื่อสักครู่นั้น กำลังรอวันที่จะทิ้งตัวลงมาเป็นส่วนหนึ่งของผืนดินในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
เพราะทุกสิ่งมีอายุของมัน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้ คนรัก ความงดงาม ความอัปลักษณ์ ความสุข หรือแม้แต่ความทุกข์ที่หลายคนเชื่อว่าจะคงอยู่ตลอดไปก็ตาม
………………………………
หมายเหตุ : ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าฉายที่โรงภาพยนตร์ House เท่านั้น ดูรายละเอียดและรอบฉายได้ที่ http://houserama.exteen.com/