xs
xsm
sm
md
lg

“พาวเวอร์แพท” เจ๋ง จบปริญญา เจ้าตัวตั้งเป้าคว้าปริญญาอีกใบ ด้าน “พ่อ” สุขล้นใจได้กอดลูกชายในรอบ 5 ปี

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

อีกหนึ่งความภูมิใจสูงสุดของแพท
“แพท พาวเวอร์แพท” ปลื้ม เรียนจบปริญญา มสธ. เตรียมมุเรียนต่อ หวังคว้าปริญญาเป็นของขวัญให้ครอบครัวอีกใบ เจ้าตัวตั้งปณิธานต่อจากนี้ไปจะทำแต่สิ่งที่ดี วอนสังคมเปิดใจให้โอกาส พร้อมเผย สุดอบอุ่นหลังได้อยู่ในอ้อมกอดของครอบครัวในรอบ 5 ปี ด้าน “พ่อ” ยิ้มภูมิใจที่ลูกชายบากบั่นจนเรียนจบ ส่วนเรื่องยื่นฎีกาขอลดโทษคาดทราบผลปีหน้า บอกถึงแม้จะเผื่อใจในคำตัดสิน แต่ลึกๆ ก็แอบหวังว่าลูกชายจะพ้นโทษออกมาอยู่กันพร้อมหน้าในสักวัน

ผ่านมากว่า 5 ปีแล้ว ที่อดีตนักร้องขวัญใจวัยรุ่น “วรยศ บุญทองนุ่ม” หรือที่รู้จักกันดีในนาม “แพท พาวเวอร์แพท” ถูกจับในข้อหาค้ายาเสพติด ศาลตัดสินให้จำคุก 50 ปี และถูกจองจำไว้ในเรือนจำกลางบางขวาง จังหวัดนนทบุรี แม้ชีวิตที่ผ่านมาจะเป็นช่วงเวลาของการ “รับโทษทัณฑ์” ในสิ่งที่ตัวเองกระทำ แต่เจ้าตัวกลับไม่ปล่อยให้มันย่ำแย่ตามสภาพที่เป็นอยู่ ตรงกันข้ามกลับมุ่งมั่นที่จะทำความดี และจดจำความทรงจำอันเลวร้ายไว้เตือนใจไม่ให้ก้าวผิดซ้ำสอง

ล่าสุดเจ้าตัวเพิ่งเรียนจบปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์ เอกสารสนเทศศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช กลายเป็นบัณฑิตหมาดๆ ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง และที่พิเศษไปกว่านั้นเมื่อวันที่ 17 กันยายน ที่ผ่านมา ทางกรมราชทัณฑ์ได้จัดพิธีมอบและฉลองปริญญาให้กับบัณฑิตในเรือนจำกลางบางขวาง และอนุญาตให้ครอบครัวของผู้ต้องขังเข้าร่วมแสดงความยินดีด้วย วันนั้นนอกจากจะเป็นวันที่แพทภูมิใจในตัวเองแล้ว ยังเป็นวันที่เขาอบอุ่นใจที่สุดที่ได้อยู่ในอ้อมกอดของครอบครัวอย่างพร้อมหน้า นับเป็นอีกหนึ่งวันที่เขาเฝ้ารอคอยเลยทีเดียว

“ภูมิใจแล้วก็ดีใจที่ทำสำเร็จ เหมือนได้ทำในสิ่งที่รับปากกับพ่อกับครอบครัวไว้ ภูมิใจที่เราไม่เสียคำพูด ที่เหลือก็เป็นเรื่องผลพลอยได้ เพราะหลักๆ แล้วอยากทำให้ที่บ้านภูมิใจมากกว่า อยู่ในนี้อะไรที่ทำให้ที่บ้านภูมิใจได้ก็จะทำ เพียงแต่พวกเราไม่ได้รับเหมือนคนอื่นทั่วไป เพราะใบปริญญาจะส่งมาให้ในนี้ ส่งมาในรูปแบบพัสดุ(ยิ้ม) แต่ทางเรือนจำจะเปิดโอกาสให้ถ่ายรูปใส่ชุดครุยได้ ก็มีช่างภาพมาถ่ายให้ข้างใน ก็จะมีเพื่อนๆ ที่จบพร้อมกันมาถ่ายรูปด้วยกัน ก็ดีใจครับ”

ถือเป็นครั้งแรกที่ "แพท" ได้สัมผัสกับครอบครัวอย่างใกล้ชิด ได้กอดได้หอมแก้มแสดงความรักและความผูกพัน หลังจากที่พูดคุยกันผ่านลูกกรงมาเป็นเวลากว่า 5 ปี งานนี้ทำเอาปลื้มใจน้ำตาคลอกันทั้งบ้าน
 
“ก็ดีใจที่ได้กอดได้หอมครับ เป็นการกอดกันในรอบ 5 ปี นอกจากความดีใจแล้วมันรู้สึกอบอุ่น รู้สึกโชคดีที่เรามีครอบครัวที่น่ารัก ทุกคนเป็นห่วงเรามาก มันเหมือนเป็นสิ่งเตือนใจอย่างหนึ่งให้เรายิ่งต้องทำตัวดี ก่อนเข้ามาความผูกพันจะน้อยมาก พอโตขึ้นทำให้ได้มองอะไรลึกซึ้งขึ้น ถือว่าเป็นวันที่เรารอคอย ก็ตื่นเต้นนะครับ”

“วันนั้นทุกคนน้ำตาคลอกันหมด ยิ่งแม่เป็นคนร้องไห้ง่ายอยู่แล้ว วันนั้นก็ร้องอีก(ยิ้ม) ยิ่งตอนที่เกิดเรื่องใหม่ๆ แม่จะร้องไห้ตลอด ร้องอยู่ 2 ปี จนผมต้องบอกพ่อให้ปรามๆ แม่หน่อย เพราะเราอยู่ในนี้เห็นแล้วก็ไม่สบายใจ เราก็ใจไม่ดีไปด้วย ไม่อยากให้แม่คิดมาก ยิ่งมีโอกาสถ่ายรูปร่วมกันยิ่งดีใจ เพราะโอกาสที่จะได้ทำอะไรแบบนี้น้อยมาก ก็ดีใจที่กรมราชทัณฑ์เปิดโอกาสให้ได้กินข้าวด้วยกัน”

“แม่ก็ไม่ค่อยได้คุยอะไรมากเท่าไหร่ เพราะกิจกรรมเยอะ แม่ก็ถามว่ากินข้าวรึยังลูก แล้วก็บอกว่าแม่ฝากตังค์ไว้ให้นะ ถ้าไม่พอบอกพ่อนะ เขาก็บอกว่าไม่ค่อยได้มาบ่อย แต่เขาอยากมาแหละ ผมจะเป็นห่วงเพราะแม่ต้องขึ้นรถเมล์มาเอง แล้วเขาไม่ค่อยแข็งแรง คือเขาเองก็กลัวผมจะคิดมาก ว่าเขาทอดทิ้งหรือเปล่า แต่แม่มีภาระหลายอย่างทั้งต้องเลี้ยงหลานและขายของด้วย ซึ่งผมก็เข้าใจไม่ได้น้อยใจอะไร จะเป็นห่วงเขาซะมากกว่า”

“ส่วนกับพ่อได้คุยกันบ่อย เพราะมาเยี่ยมทุกอาทิตย์อยู่แล้ว วันนั้นก็เลยไม่ค่อยได้คุยอะไรกันมาก เขาจะเชียร์ให้กอดแม่ กอดพี่สาว แล้วก็กอดย่ากอดปู่มากกว่า มีพี่สาวที่หอมแก้มเราใหญ่ มาจับหน้าเรา เขาเป็นห่วงเรามาก อยากให้รักษาตัวให้ดี ใช้ชีวิตในนี้ให้ปลอดภัย ซึ่งเราก็ต้องอยู่ให้เป็นไม่อย่างนั้นอยู่ยาก เพราะคนในนี้ก็หลากหลาย ด้วยความเป็นอยู่ด้วย ฉะนั้นก็จะไม่ปล่อยให้ตัวเองว่าง ถ้าไม่วาดรูปก็เล่นดนตรี ซึ่งก็ช่วยผมได้เยอะเลยครับในแง่ของจิตใจ”

“เอาเข้าจริงๆ ได้อยู่กับครอบครัวน้อยมาก เพราะกิจกรรมเยอะ วันนั้นทางกรมราชทัณฑ์ให้ผมเป็นตัวแทนเพื่อนๆ กล่าวกับปลัดกระทรวงยุติธรรม และต้องเล่นดนตรี แล้วก็ให้สัมภาษณ์กับสื่อฯหลายที่เหมือนกันครับ แต่ก็ไม่เป็นไรถือว่าเราทำหน้าที่ เพราะวันนั้นก็เหมือนเราเป็นกระบอกเสียงให้กับเพื่อนๆ ด้วย เหมือนเป็นตัวแทนสื่อสารกับผู้ใหญ่ กับนักข่าวออกไปยังสังคมภายนอก อยากจะให้สังคมให้โอกาสและเปิดใจกับพวกเรา”

“ซึ่งผมก็พูดในแง่มุมที่ว่าอยากให้สังคมเปิดโอกาสให้คนข้างใน อย่างเรื่องที่ทางกรมราชทัณฑ์เปิดให้เรียน ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ดีมาก ผู้ต้องขังบางคนที่เขาเรียนก็เพราะว่าอยากกลับตัวกลับใจ อยากทำให้สังคมยอมรับ เพราะจะเรียนจบได้ต้องมีความมานะจริงๆ ต้องใช้ความพยายามจริงๆ หลายคนก็พยายามจะพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำแต่สิ่งดีๆ แล้วอีกอย่างคนที่มีความสามารถที่เก่งๆ ก็มีเยอะนะครับ ถ้าพ้นโทษออกไปก็อยากให้สังคมเปิดโอกาสให้ด้วย”

“ถ้าได้สัมผัสจริงๆ จะรู้ว่าไม่ได้เลวร้ายทั้งหมด บางคนมาจากคนมีปัญหาจิตใจเปราะบาง หาทางออกไม่ได้ก็พาตัวเองเข้าหายาเสพติด พอเสพก็เข้าสู่วงจรของการค้าถลำลึกลงไป บางคนก็ถูกใช้เป็นเครื่องมือไม่ได้เลวโดยกมลสันดาน ซึ่งทุกวันนี้ทุกคนก็กำลังรับโทษในสิ่งที่ทำอยู่แล้ว”

เรียนจบปริญญาตรีทำให้ครอบครัวภูมิใจ เป็นแรงผลักดันทำให้แพทอยากเรียนปริญญาอีกใบ

“สิ่งที่ผมได้เต็มๆ คือในแง่ของวินัย เพราะเรียนมสธ.ในนี้ต้องขยันอ่านหนังสือไม่อย่างนั้นสอบไม่ได้ อีกอย่างหนึ่งคือฝึกความอดทนว่าเราตั้งใจจริงหรือเปล่า ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งประกอบที่นำเราไปสู่ความสำเร็จอยู่แล้ว ส่วนวิชาความรู้ที่ร่ำเรียนมาก็ขึ้นอยู่กับว่าเราจะนำไปใช้หรือเปล่า
ยิ่งยุคนี้เป็นยุคข้อมูลข่าวสารอยู่แล้ว การเรียนสาขานี้ทำให้เรารู้จักกลั่นกรองข้อมูลเป็น อันไหนน่าเชื่อถืออันไหนที่ขาดความจริง ส่วนใบปริญญาเป็นตัวเพิ่มคุณวุฒิให้เรา และเอาไว้ใช้ในการสมัครงาน”

“เห็นคนที่เรารักมีความสุขทำให้ผมคิดอยากเรียนอีกใบ เวลาเห็นเขามีความสุขก็ดีใจครับ นอกเหนือจากนี้กระแสเพื่อนและก็สังคมมองเราทางบวกมากขึ้น ยิ่งทำให้มีแรงทำดีต่อไป”

“แต่เรื่องเรียนต่อตอนนี้ยังก่อนครับ ขอพักใช้เวลาอยู่กับงานศิลปะ กับดนตรีก่อนเพราะเป็นงานที่เรารักด้วย อย่างตอนเรียนก็ค่อนข้างเคร่งเครียดพอสมควร ตอนนี้จบแล้วก็อยากมีเวลาทำงานศิลปะให้เต็มที่ เพราะผมมองไปถึงภายภาคหน้าว่าอาจจะได้ใช้มัน แต่เรื่องเรียนก็โอเค เป็นโอกาสที่เราน่าจะไขว่คว้า ถ้าอนาคตข้างหน้าเราไม่ได้ทำงานในสาขาที่เรียนมาก็เล่นดนตรีก็ได้(ยิ้ม) ที่บ้านเชียร์ให้เรียนต่ออยู่เหมือนกัน ซึ่งผมก็ตั้งใจไว้แล้วว่า ถ้าเรียนก็คงเรียนสารสนเทศฯเหมือนเดิม แต่เป็นอีกสาขาหนึ่งที่ลึกลงไปอีก เพราะใช้เวลาเรียนน้อยกว่าใบแรก 3 ปีก็จบแล้ว”

ยอมรับว่าถ้าอยู่ข้างนอกตัวเองอาจจะเรียนไม่จบ เพราะมีสิ่งเร้าเยอะ….
“ผมมองตลอดนะ เพราะตอนอยู่ข้างนอกผมไม่มีความคิดที่จะเรียนเอาใบปริญญาเลย ตอนนั้นคิดว่าแค่กระดาษแผ่นเดียว คิดอยากมุ่งเรียนไปในสิ่งที่ชอบอย่างเดียว ไม่ได้สนเรื่องพวกนี้เลย ด้วยความที่เชื่อมั่นในตัวเองมากเกินไปทำให้มองโลกไม่กว้างพอ ดูแล้วว่าตอนอยู่ข้างนอกคงไม่มีโอกาสแน่นอน เพราะสิ่งเร้าเยอะ
ไหนจะเป็นผู้หญิง ไหนจะเที่ยวไปเรื่อยตามวัย แล้วก็ยังต้องทำมาหากินอีก มันมีเรื่องทำให้เราไม่มีสมาธิ ก็เลยคิดว่าคงเรียนไม่จบคงเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่พอได้เรียนได้มีสังคม พอเราโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น มันทำให้เปลี่ยนมุมมองความคิดตรงนั้นไป”

นับ 5 ปีแล้วที่แพทใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำบางขวาง ซึ่งมันทำให้แพทได้เรียนรู้คำว่า “ชีวิต” อย่างลึกซึ้ง จนยกให้ที่แห่งนี้เป็นมหา’ลัยชีวิตที่สอนให้รู้จักผิดชอบชั่วดีและจะไม่มีวันใช้ชีวิตซ้ำรอยเดิมอย่างแน่นอน

“ให้มหาศาลเลยครับ เรียกว่าทุกด้านเลยที่เป็นชีวิตจริง เป็นโรงเรียนลูกผู้ชาย เป็นมหา’ลัยชีวิต สอนทั้งการปรับตัวให้เข้ากับสังคม สอนความอดทน สอนความเพียร สอนเรื่องบาปบุญคุณโทษ สอนชีวิตหมดทุกอย่าง ทำให้เราแกร่งขึ้น เหมือนเป็นคนเต็มคน ทำให้รู้จักผิดชอบชั่วดี รู้จักอ่านคนรอบข้างมากขึ้น เหมือนเปิดตาเราทำให้ตาสว่าง มองอะไรชัดเจนขึ้น ในแง่นามธรรมผมได้เรียนรู้จากในนี้เยอะจริงๆ ครับ”

“ในแง่รูปธรรมก็คือความรู้ ได้สุขภาพที่แข็งแรงขึ้นเพราะได้พักผ่อนได้ออกกำลังกาย อย่างตอนอยู่ข้างนอกจะไม่ได้ทำอะไรพวกนี้เต็มที่เลย ได้เขียนรูปซึ่งไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองทำได้ ได้เล่นดนตรีมีเวลาฝึกทักษะตัวเองอย่างจริงจัง อย่างการร้องเพลงผมก็มีโอกาสซ้อมอย่างเต็มที่มากๆ บางทียังตกใจตัวเองว่าเล่นได้ขนาดนี้เลยหรอ แล้วทำให้เพื่อนในนี้ได้ผ่อนคลายจากเสียงเพลงของเราด้วย เพื่อนๆ ก็มีกำลังใจ ทำให้ผมมีเพื่อนเยอะมาก ซึ่งสิ่งเหล่านี้มันทำให้เรารู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่า และทำให้มีความมั่นใจในการก้าวเดินต่อไปครับ”


ในวันที่ได้อยู่พร้อมหน้าครอบครัว
แพทกับคุณย่า




แม้จะเคยผิดหวังกับผลอุทธรณ์มาแล้ว แต่ในชั้นฎีกาที่น่าจะมีความคืบหน้าในปีหน้านี้ แพทบอกว่า พร้อมยอมรับในคำตัดสิน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นลึกๆ แล้วไม่เคยย่อท้อ และยังเชื่อมั่นเต็มร้อย ว่าสิ่งดีๆ ที่หมั่นทำอยู่ทุกวันจะทำให้ตัวเองอยู่ในนี้ไม่นาน

“เรื่องฎีกาไม่ได้หวังอะไรมาก ผลจะออกมายังไงก็ต้องเคารพในคำตัดสินนั้น แต่ถ้าถามเรื่องกำลังใจผมมีเต็มร้อย แต่เรื่องความหวังไม่อยากตั้งความหวังมากเกินไป เราต้องอยู่กับความจริงให้ได้ แต่ลึกๆ แล้วผมมีความเชื่อมั่นว่าจะอยู่ในนี้อีกไม่นาน ถึงจะเคยผิดหวังในชั้นอุทธรณ์แต่กำลังใจต่างๆ ก็ไม่เคยลดน้อยถอยลง มีแต่เพิ่มขึ้นทุกวัน เพราะรู้สึกว่าสังคมเข้าใจเรามากขึ้น ความมั่นใจก็เพิ่มตาม อยู่ในนี้ผมก็พยายามทำทุกอย่างให้ดี อะไรที่เป็นประโยชน์เราก็เก็บเกี่ยวเต็มที่ อย่างเรื่องเรียน อย่างวาดรูป แล้วก็เล่นดนตรี ส่วนอะไรที่ไม่ดีเราก็เอามาเป็นบทเรียนเท่านั้นเอง”

ด้าน “พ่อนิวัติ” เปิดใจด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า สุดภูมิใจที่ลูกชายบากบั่นจนสามารถคว้าปริญญามาได้สำเร็จ
“ภูมิใจครับ เมื่อตอนที่แพทต้องคดีใหม่ๆ พ่อเป็นคนบอกแพทว่าควรจะเรียนนะ จะได้มีกิจกรรมทำ เขาก็รับปากว่าเขาจะเรียนและจะเรียนให้สำเร็จ แล้ววันนี้เขาก็พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเขาทำได้ในจุดนี้ ซึ่งมันก็เป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้เขาด้วย
อยากให้เขามีกิจกรรมทำไม่อยากให้ว่าง เพราะไม่อย่างนั้นก็จะฟุ้งซ่านได้ (ต้องเสียค่าเล่าเรียนมั้ย?) มีครับ ต้องเสียค่าหน่วยกิจเหมือนเรียนข้างนอกทั่วไปไม่มีการยกเว้น เท่ากันเป๊ะ ไม่มีสิทธิ์ในการเรียนฟรี ค่าอุปกรณ์การเรียนก็ต้องซื้อเหมือนกัน”

เผยถึงความรู้สึกที่ได้อยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดในรอบ 5 ปี ว่าเป็นสิ่งที่ครอบครัวมีความสุขที่สุด วันนั้นจึงเป็นวันที่แสดงความรักต่อกันอย่างเต็มที่ ทั้งกอด ทั้งหอม เพื่อเก็บเกี่ยวช่วงเวลาที่แสนวิเศษนั้นให้ได้เต็มที่ที่สุด
 
“เป็นความรู้สึกที่มีความสุขเพราะได้ใกล้ชิดกันในรอบ 5 ปีด้วย แล้วญาติพี่น้องที่เข้าไปเยี่ยมแพทก็ปลื้มใจกันทุกคน ซึ่งวันนั้นแม่ก็ร้องไห้ แต่พ่อก็ห้ามไม่ให้ร้องเดี๋ยวจากเรื่องดีก็จะกลายเป็นเรื่องเศร้าไป เราไม่อยากให้แพทเห็นเพราะเดี๋ยวใจเขาจะเสียด้วย แต่วันนั้นก็คงหลายๆ ความรู้สึกทั้งปลื้มใจ ทั้งเป็นห่วง ทั้งดีใจที่ได้เจอลูก”

“วันนั้นก็ได้กอดแพทหลายครั้ง เพราะการกอดก็เป็นการให้กำลังใจให้เขาต่อสู้ต่อไป ทั้งแม่ ทั้งพี่สาว คุณปู่คุณย่าได้กอดได้หอมแก้มกันหมดทุกคน สิ่งเหล่านี้แหละเป็นยาที่ดีที่สุดให้เขามีกำลังสู้ ให้รู้ว่าเรายังรักยังห่วงใยเขาอยู่ ไม่เคยปล่อยให้เขาอยู่อย่างไม่มีความหวัง ให้รู้ว่าครอบครัวให้กำลังอยู่เสมอนะ”

“ส่วนคำพูดอะไรต่างๆ ตัวพ่อก็ไม่ค่อยได้พูดอะไรเท่าไหร่ เพราะปกติเวลาพ่อมาเยี่ยมแพท 5 ปีกว่ามานี้ พ่อจะให้กำลังใจเขาตลอดว่าทางครอบครัวรักและเป็นห่วงนะ ให้พยายามทำตัวดีและอย่าทำอะไรที่ผิดกฎในนี้ เพราะมันจะเป็นประวัติไม่ดีและมันจะไม่ดีกับการพิจารณาลดโทษ ถึงแม้จะยังไม่ได้มีการฎีกาก็ตาม แต่พ่อก็บอกกับเขาเสมอว่าให้ทำความดีเอาไว้ ส่วนผลฎีกาจะเป็นยังไงเท่าไหร่ก็เท่านั้น เราอย่าไปคาดหวังเกินไป แต่ยังไงซะก็ต้องทำดีเอาไว้”

ถามถึงเรื่องการขอฎีกา หัวอกคนเป็นพ่อย่อมอยากให้ได้ลดโทษมากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เพราะมีความมั่นใจว่าลูกชายนั้นสำนึกตัวแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็สุดแล้วแต่ความเมตตาของศาล พร้อมย้ำหนักแน่นว่าถึงอย่างไรก็จะไม่ทอดทิ้งลูกชายอย่างแน่นอน

“โดยความหวังส่วนตัวพ่อก็อยากให้ลูกติดน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ เพราะทุกวันนี้เขาก็สำนึกตัวอยู่แล้ว และไม่ใช่ว่าพอจับได้แล้วสำนึกตัวไม่ใช่อย่างนั้น แต่เขาสำนึกตัวตั้งแต่เขาโดนจับวันแรกแล้ว จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่เคยปฏิเสธเลยว่าไม่ได้ทำความผิดอะไร ยอมรับมาตลอด ที่อุทธรณ์และฎีกานี่ก็ยอรับมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าขอความกรุณาต่อศาลให้ลดโทษให้มากที่สุดเท่าที่จะลดได้เท่านั้นแหละ”

“ตั้งแต่ศาลชั้นต้นศาลอุทธรณ์ความหวังเราก็ยังมีเต็มเปี่ยม ซึ่งเราก็ได้แต่หวัง แต่เราก็ไม่สามารถที่จะไปก้าวล่วงศาลได้ เราก็มีความหวังในทุกๆ ขั้นตอนของศาลนั้นแหละ แต่ก็เผื่อความผิดหวังเอาไว้ด้วย เผื่อว่าเวลาตัดสินขึ้นมาจริงๆ ไม่ได้ลดโทษเราจะได้ไม่เสียใจมาก ซึ่งพ่อพยายามปลอบแพทในจุดนี้เหมือนกัน ว่าหวังได้แต่อย่าไปคาดหวังอะไรให้มันเกินไป เพราะถ้าไม่ได้เป็นอย่างที่หวัง มันจะได้ไม่ไปกระทบกระเทือนถึงการดำรงชีวิตประจำวันอีก”

“พ่อพูดกับแพทตั้งแต่วันแรกที่ติดแล้วว่าเราจะไม่ทิ้งกัน ถึงวันนี้พ่อก็ปฏิบัติอย่างนั้นเรื่อยมา แพทเองก็เชื่อมั่นในตัวพ่อและญาติพี่น้องทุกคน ว่าเราดูแลเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา ไม่เคยทอดทิ้ง ความรู้สึกใกล้ชิดมันก็เหมือนได้อยู่ด้วยกันข้างนอกนะ เพราะพ่อมาเยี่ยมแพททุกอาทิตย์อยู่แล้ว”

แม้จะได้เจอกันทุกอาทิตย์ที่มาเยี่ยม แต่วันที่ได้เข้าไปอยู่กับลูกชายอย่างใกล้ชิด ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่เฝ้ารอคอยมาตลอด

“ความจริงพ่อรอคอยอยู่ทุกวันอยู่แล้ว มันก็เป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุขด้วยกัน ได้กอดกัน ได้หอมกัน ได้ใกล้ชิดกัน ได้คุยกัน จับเนื้อต้องตัวกันได้ เพราะนั่นคือสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนปรารถนา วันนั้นมีเวลาอยู่ด้วยกันค่อนข้างน้อย เพราะแพทมีกิจกรรมเยอะ แต่ได้แค่นี้ก็ดีใจแล้วนะ”

“พ่ออยากจะขอชมเชยกรมราชทัณฑ์ที่จัดงานนี้ขึ้น เพื่อฉลองปริญญาให้นักโทษ เมื่อสักครู่พ่อก็ได้มีโอกาสได้คุยกับนักโทษในนี้ที่จบป.6 แล้วเขาได้แรงบันดาลใจที่เห็นเพื่อนรับปริญญา แล้วได้เจอครอบครัว มันทำให้เขามุ่งมั่นที่จะเรียนบ้าง เพื่ออยากให้ตัวเขาเองได้มีวันอย่างที่แพทรับปริญญาบ้าง ก็ขอขอบคุณกรมราชทัณฑ์และทางเรือนจำด้วยครับ”

นอกจากความภูมิในที่เห็นแพทเรียนจบปริญญาแล้ว พ่อยังบอกด้วยสีหน้าเปี่ยมสุขว่า รู้สึกโล่งใจที่เห็นลูกชายสุดที่รักโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้น และไม่เคยอายที่ลูกชายติดอยู่ในนี้ ตรงกันข้ามอยากให้ผู้คนภายนอกเอาเรื่องราวของแพทเป็นอุทาหรณ์ ว่าถ้าทำผิดก็ต้องได้รับผลแบบนี้

“เขามีความคิดขึ้น เขาเป็นผู้ใหญ่ขึ้น บางสิ่งบางอย่างพ่อไม่ต้องอธิบายมาก เขาก็สามารถที่จะเข้าใจจิตใจพ่อได้ว่าพ่อหมายถึงอะไร ดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ปีนี้ก็ 29 แล้ว ทำให้เราโล่งใจที่เห็นชีวิตเขามีระเบียบแบบแผน ไม่เอาตัวเองตกไปอยู่ในสิ่งเลวร้าย พ่อคิดว่าเขามีภูมิคุ้มกันที่ดีจากครอบครัว ซึ่งกับนักโทษบางคนไม่มีญาติมาเหลียวแลหรือมาดูแลเลย ซึ่งน่าเห็นใจบุคคลเหล่านั้น เพราะบางทีมันอาจจะทำให้เขาประชดชีวิตไปเลยก็ได้ ว่าไหนๆ ก็เลวแล้วก็เลวไปเลย ต่อให้เขาพ้นคดีออกไปเขาก็อาจจะกลับเข้ามาอีก”

“พ่ออยากจะฝากว่าญาติๆ ควรจะเจียดเวลามาเยี่ยมมาให้กำลังใจเขาบ้าง เพราะยังไงเขาก็เป็นลูกเป็นหลาน ถึงแม้เขาจะทำความผิดอะไรลงไป พ่อคิดว่าทุกคนมีโอกาสพลาดด้วยกันทุกคนแหละ ถ้าเราไม่ให้กำลังใจเขาไม่ดูแลเอาใจใส่เขา ต่อไปในอนาคตพ่อก็หวั่นใจถ้าวันที่พ้นโทษออกมาแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจะประชดชีวิตทำเรื่องเลวร้ายไปกว่าเดิม พ่อคิดว่าความรักของคนรอบข้างจะเป็นภูมิคุ้มกันให้กับคนที่อยู่ในนี้ได้”

“ถามว่าอายมั้ย พ่อไม่เคยอายนะที่แพทมาอยู่ในนี้ เพียงแต่อยากจะตีแผ่ชีวิตของเขาให้คนอื่นเรียนรู้ว่า ทำผิดแล้วมันจะได้รับผลยังไง บางคนเวลาที่มีโทรทัศน์มาถ่ายจะทำหน้าเบลอๆ แต่แพทให้ถ่ายได้เลย พ่อเพียงแต่อยากให้ดูแพทเป็นตัวอย่างว่าอย่าหลงผิดไปในทางนั้น”

ถึงวันนี้ก็นับ 5 ปีแล้ว ที่พ่อต้องเทียวเข้าออกเรือนจำเพื่อมาเยี่ยมลูกชายสุดที่รักทุกอาทิตย์ แต่พ่อบอกว่าไม่เคยเหน็ดเหนื่อยหรือท้อแท้เลยแม้แต่น้อย กลับกระตือรือร้นที่จะมาเจอหน้าลูกทุกครั้ง และตั้งหน้าตั้งตารอ ว่าสักวันแพทคงจะพ้นโทษออกมาอยู่กับครอบครัวอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา

“ไม่เคยเหนื่อยกับการมาดูแลแพทเลย กลับกระตือรือร้นที่จะมาด้วยซ้ำไป พ่อจะมาทุกวันอังคาร วันจันทร์เราก็คิดแล้วว่าจะเอาอะไรมาให้แพททานบ้าง แพทอยากกินอะไรเราจะหามาให้เขา ถามว่าเคยท้อเคยเหนื่อยมั้ย ไม่เคยเลย มีแต่กระตือรือร้นที่จะมาเจอหน้าลูก”

“คนในครอบครัวเราก็ยังมีความหวังเต็มเปี่ยม ว่าสักวันแพทจะได้ออกมาใช้ชีวิตข้างนอก ไม่เคยท้อแท้ผิดหวังหรือปล่อยชีวิตไปตามยะถากรรม เรามีชีวิตอยู่เราก็ต้องมีความหวังกันทุกคน แต่เราก็เผื่อความผิดหวังไว้บ้างเท่านั้นเอง”




บรรยากาศในห้องเรียนของแพท

กำลังโหลดความคิดเห็น