xs
xsm
sm
md
lg

คนบันเทิงปล่อยโฮ แห่ไว้อาลัยผกก. "บัณฑิต ฤทธิ์ถกล" ต้นตำรับหนัง "บุญชู"

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ถือเป็นข่าวเศร้าสำหรับวงการภาพยนตร์ไทย เมื่อผู้กำกับชื่อดังวัย 58 ปี เจ้าของตำนานหนัง “บุญชู” อย่าง บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ได้เสียชีวิตลงอย่างกะทันหัน ด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ขณะเข้ารับการฟอกไตที่โรงพยาบาลวชิรพยาบาล เมื่อเวลา 10.50 น.วันนี้ (1 ต.ค.)

ทั้งนี้เมื่อช่วงบ่ายที่ผ่านมาบรรดาญาติสนิท ทีมงานจากบริษัทไพว์สตาร์ฯ รวมทั้งพระเอกหนุ่ม “อาร์ตี้ ธนฉัตร ตุลยฉัตร” ได้เดินทางไปยังโรงพยาบาลวชิรพยาบาล เพื่อรอรับศพผู้กำกับชื่อดังไปบำเพ็ญกุศลต่อที่วัดมกุฏกษัตริยาราม ซึ่งบรรยากาศเต็มไปด้วยความเศร้าโศกเสียใจ โดยเฉพาะพระเอกหนุ่ม “อาร์ตี้” จะแอบนั่งน้ำตาไหลรินอยู่ตลอดเวลา และจากการสอบถาม “นายเบิร์ด ตันติรัชพร” ผู้ที่อยู่ใกล้ชิด และดูแลผู้กำกับคนดังถึงสาเหตุการเสียชีวิตทำให้ทราบว่า อาบัณฑิตได้ล้มป่วยเป็นโรคไตมานาน 10 ปีแล้ว และต้องเข้ารับการฟอกไตทุก 2-3 วัน โดยที่ผ่านมาผู้กำกับคนดังจะหมุนเวียนเปลี่ยนโรงพยาบาลเข้ารับการฟอกไตไปเรื่อยๆ แล้วแต่ความสะดวก

กระทั่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาอาบัณฑิตได้เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลวิชรพยาบาล เนื่องจากมีอาการปวดบาดแผลที่ขาทั้งสองข้าง ทำให้เดินไม่ไหว กรอปกับมีโรคประจำตัวเป็นเบาหวานอยู่แล้ว จึงรีบเข้ารับการรักษาเพื่อให้หายทันไปเตรียมงานหนังภาคต่อ “บุญชู 10” ที่วางแพลนเอาไว้ว่าจะไปดูโลเกชั่นที่จ.เชียงราย ราวกลางเดือนต.ค.นี้ และวันนี้ (1 ต.ค.) ประจวบเหมาะเป็นวันครบกำหนดต้องเข้ารับการฟอกไตพอดี ผู้กำกับชื่อดังจึงตัดสินใจทำที่โรงพยาบาลดังกล่าว จากนั้นก็เกิดอาการช็อคจนแพทย์ต้องรีบเข็นเข้าห้องไอซียูเพื่อช่วยชีวิต แต่ไม่ทันการอาบัณฑิตได้เสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อเวลา 10.50 น. ด้วยอาการหัวใจวายเฉียบพลัน

“นายเบิร์ด” กล่าวต่อว่าก่อนผู้กำกับคนดังจะเสียชีวิต ไม่มีการสั่งเสียหรือมีลางบอกเหตุใดๆ มาก่อน และไม่เคยคิดว่าอาบัณฑิตจะมาเสียชีวิตกะทันหันเช่นนี้ เนื่องจากวานนี้เจ้าตัวยังเปรยๆอยู่ว่า หากไม่ปวดบาดแผลที่ขา ตนก็อยากจะไปร่วมงานฉายภาพยนตร์หนังสั้น ซึ่งถือเป็นการปิดเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพฯ ปี2552 ซึ่งอาบัณฑิตเป็น 1 ใน 9 ผู้กำกับที่ทำหนังสั้นเรื่อง “มาหานคร” ฉายในงานครั้งนี้ด้วย และเมื่อเช้าก่อนเข้าฟอกไตผู้กำกับคนดังยังคงมีท่าที และพูดคุยกับคนใกล้ชิดเหมือนเช่นปกติทุกวัน

ด้านพระเอกหนุ่ม “อาร์ตี้” ที่ถูกวางตัวให้เป็นพระเอกต่อในหนัง “บุญชู 10” ที่มีแพลนจะถ่ายทำและออกฉายราวสิ้นปีนี้ หรืออย่างช้าต้นปีหน้า ได้กล่าวทั้งน้ำตาเมื่อทราบข่าวการเสียชีวิตของอาบัณฑิตว่า

“ผมทราบข่าวตอนเที่ยง ขณะกำลังนั่งกินข้าวอยู่กับพ่อ พอดีมีผู้ใหญ่โทรมาหาพ่อบอกว่าอาป่วยหนัก (น้ำเสียงสั่นเครือ) พ่อเลยบอกให้รีบกินข้าวเดี๋ยวไปเยี่ยมอากัน จากนั้นไม่ถึง 10 นาทีผู้ใหญ่ก็โทรมาบอกอีกว่า คุณอาตายแล้ว ผมได้ยินแล้วขนลุกกินข้าวไม่ลง ก็เลยห่อข้าวแล้วรีบมาโรงพยาบาล พอมาถึงเห็นพี่ๆทีมงานเลยรู้ว่าอาไปแล้วจริงๆ ผมก็น้ำตาไหลและพูดอะไรไม่ออก”

“ความรู้สึกมันเบลอๆไปหมด เพราะผมไม่ได้เจอหน้าคุณอามาเป็นเดือนแล้ว แต่ทราบว่าคุณอาป่วยมานาน คุณอาต้องมาฟอกไตทุกเดือน ล่าสุดที่ผมได้คุยกับคุณอาคือเมื่อไม่กี่เดือนที่ผ่านมาผมไปทำเทปแคสติ้งหนังบุญชูภาค 10 กับนางเอกใหม่ แล้วพี่ผู้ช่วยผู้กำกับให้ผมพูดกับคุณอาผ่านกล้อง ผมก็ทักทายสวัสดีอาในกล้อง ผมก็ไม่คิดว่านั่นจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะได้คุยและสื่อสารกับคุณอา (น้ำตาไหล) ก็คิดว่าคุณอาคงรับรู้ว่าผมพูดกับเขา แต่ก็ไม่รู้ว่าอาคิดยังไง”

“ผมอยากบอกคุณอาว่า อาเป็นผู้ใหญ่ เป็นเหมือนญาติพี่น้องผมไปแล้ว (ร้องไห้) อาเป็นคนสร้างทำให้ตี้มีวันนี้ สำหรับหนังบุญชู 10 ถึงไม่มีคุณอาแล้ว ผมก็จะทำให้ดีที่สุด เพื่อไม่ให้อาผิดหวัง (ร้องไห้สะอึกสะอื้น) ก็อยากให้อาไปดีไม่ต้องเป็นห่วง ผมจะทำบุญชู 10 ให้ดีที่สุดครับ”

จากนั้นได้มีการเคลื่อนย้ายศพ บัณฑิต ฤทธิ์ถกล ไปยังศาลาลิ่วเฉลิมวงศ์ วัดมกุฏกษัตริยารามราชวรวิหาร และพิธีรดน้ำศพได้เริ่มขึ้นเมื่อเวลาประมาณ 16.00 น. โดยมีครอบครัว ญาติสนิท เหล่าผู้กำกับ ทีมงานจากบริษัทไฟว์สตาร์ และศิลปินดาราทยอยมาร่วมไว้อาลัยกันอย่างเนืองแน่น อาทิ หนุ่ม สันติสุข พรหมศิริ, อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร, อาร์ตี้ ธนฉัตร ตุลยฉัตร, อู ภาณุ สุวรรณโณ, อุดม อุดมโรจน์, อิทธิสุนทร วิชัยลักษณ์, เจี๊ยบ วัชระ ปานเอี่ยม, ต๊อก ศุภกรณ์ กิจสุวรรณ, ปรัชญา ปิ่นแก้ว, แหม่ม จินตหรา สุขพัฒน์ ฯลฯ

ต่อมานางนันทนา คุ้มวงษ์ ภรรยาและลูกสาว “ส้ม ธนธรณ์ ฤทธิ์ถกล” ได้เปิดใจกับสื่อมวลชนพร้อมกับน้ำตาที่นองหน้าตลอดเวลาว่า ปกติผู้กำกับชื่อดังต้องฟอกไตอาทิตย์ละ 2 ครั้ง ซึ่งช่วงเช้าที่ผ่านมาความดันลดลงไม่ถึง 100 ทางภรรยาจึงไม่อยากให้ฟอกไต เนื่องจากสามีมีปัญหาเป็นโรคหัวใจอยู่แล้ว ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังเรื่องการฟอกไตเป็นอย่างมาก แต่ด้วยความเกรงใจทุกคนจึงยอมปล่อยให้สามีฟอกไตตามปกติ ซึ่งช่วงที่ฟอกความดันก็ขึ้นมาอีกเล็กน้อยประมาณ 110 จากนั้นผู้กำกับชื่อดังก็เกิดอาการช็อค อาจเป็นเพราะหัวใจทำงานหนักเกินไป ทั้งที่ก่อนหน้านี้ไม่ได้มีอาการกำเริบมานานแล้ว

จากนั้นแพทย์ของโรงพยาบาลหลายท่านก็เข้ามาช่วยปั๊มหัวใจ ทุกคนช่วยกันอย่างเต็มที่สุดความสามารถ แต่ไม่อาจสามารถยื้อชีวิตไว้ได้ ซึ่งการจากไปในครั้งนี้ถือเป็นการจากไปอย่างกะทันหันจริงๆ โดยไม่มีการสั่งเสียอะไรไว้ก่อน เพราะไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้น

“ก็ไม่คิดว่าเขาจะไปเร็ว เมื่อวานนี้เรายังคุยกันอยู่เลย ถึงคุณพ่อจะมีอาการอ่อนเพลียบ้าง แต่ไม่มีวี่แวว แต่โรคหัวใจเป็นอะไรที่ปัจจุบันทันด่วน เขาก็ไม่ได้สั่งอะไรไว้ นอกจากจะเป็นห่วงเรื่องหนัง เขาอยากทำให้ดีๆ เหมือนอยากจะฝากฝีมือไว้กับเรื่อง บุญชู 10”

“ก็อยากบอกเขาว่าไม่ต้องห่วงอะไรทั้งสิ้น และไม่อยากให้เขาเป็นห่วง เราสองคนแม่ลูกดูแลกันและกันได้ และมีทีมงานหลายคนจะช่วยดูแลซึ่งกันและกัน เรารักเขา ถึงเขาต้องตาย แต่ก็ดีใจที่พ้นจากการทรมานอาการเจ็บป่วย”

“สำหรับหนังเรื่อง บุญชู 10 ต้องคุยกับทางไฟว์สตาร์อีกทีว่าจะทำยังไงต่อไป ตอนนี้ยังไม่สามารถตอบอะไรได้ ถ้าจะให้ลูกเข้าไปช่วยก็ได้ แต่คงไม่เป็นผู้กำกับเต็มตัว ก็อยากฝากแฟนๆ หนัง บุญชู ด้วยว่า ในภาค 10 นี้เขาตั้งใจทำให้ดีเลย เขาตั้งใจไว้มาก ถ้าเกิดมีคนมาสานช่วยทำต่อก็ขอฝากด้วย ให้หลายคนมาช่วยกันอุดหนุนหนังไทย แม้คุณบัณฑิตไม่อยู่แล้ว แต่วิญญาณของเขาก็รักหนัง (ร้องไห้โฮ) เขาอยากทำหนัง (ร้องไห้)”

ด้าน “หนุ่ม สันติสุข พรหมศิริ” นักแสดงซึ่งเป็นต้นตำรับในบทบาท “บุญชู บ้านโคก” และแสดงนำในหนัง “บุญชู” มาทุกภาคได้เผยความรู้สึกว่า

“ตอนแรกที่ได้ยินข่าวก็ตกใจมาก เพราะครั้งสุดท้ายที่เจอพี่บัณฑิต คือตอนถ่ายเรื่อง บุญชู ไอเลิฟสระอู เมื่อเดือนมิ.ย.-ก.ค.ปีที่แล้ว เราก็ไม่คิดว่าพี่บัณฑิตจะมาจากไปเร็ว เพราะเรากำลังจะได้ร่วมงานกันอีกครั้งใน บุญชู 10 ซึ่งมีคิวถ่ายอีกไม่กี่อาทิตย์นี้ แต่เราก็พอทราบอยู่แล้วว่า พี่บัณฑิตไม่ค่อยแข็งแรง เป็นหลายโรคอยู่ ตอนที่ถ่ายหนังเมื่อปีที่แล้วพี่บัณฑิตก็ยังแข็งแรงดี ยังมีมุกตลก ยังตื่นแต่เช้าเหมือนพี่บัณฑิตคนเดิมทุกอย่าง พอถามคนใกล้ตัวเลยรู้ว่า ต้องไปฟอกไตและขาเริ่มบวม แต่เราคิดว่าไม่น่าเป็นไรมาก เพราะอยู่ในความดูแลของหมอตลอดเวลา ทุกคนไม่คาดคิดว่าจะไปจากเราเร็วขนาดนี้”

“ที่มีวันนี้ได้ มีชื่อเสียงมีงานทุกวันนี้ ก็เพราะพี่บัณฑิต พี่เขาอาจจะไม่ใช่คนแรกที่ผมได้ร่วมงานหนัง แต่ถือเป็นผู้กำกับที่ผมสนิทมากที่สุด ร่วมงานกันมากที่สุดเป็น 10 กว่าเรื่อง มีอะไรก็ช่วยเหลือกัน เป็นผู้กำกับที่รู้ใจมากที่สุด พี่บัณฑิตถือเป็นปูชนียบุคคลที่สำคัญของวงการหนังไทยในยุค 20 ปีที่ผ่านมา เพราะหนังทุกเรื่องของเขาจะมีความเป็นไทยอยู่ทุกเรื่อง อันนี้คือเสน่ห์ของหนังไทย แล้วตัวแสดงของพี่บัณฑิตจะจับต้องได้ ซึ่งน้อยคนจะเขียนบทได้แบบนี้ พี่บัณฑิตจึงเป็นผู้กำกับที่ไม่เหมือนใคร ถ้าพี่บัณฑิตได้ยินก็ขอให้พี่ไปสบาย ไม่ต้องห่วงอะไรแล้ว อยู่ทางด้านนี้พวกเราทุกคนพร้อมจะช่วยเหลือครอบครัวพี่ทุกอย่าง”

ฟากผู้กำกับชื่อดัง “อุ๋ย นนทรีย์ นิมิบุตร” ได้กล่าวชื่นชม “บัณฑิต” ว่า เป็นผู้กำกับที่เขียนบทได้ดีที่สุด และเก่งจนหาตัวจับยาก

“เขาเป็นคนที่เขียนบทภาพยนตร์ได้ดีที่สุด สมัยก่อนต้องบอกว่าผู้กำกับต้องเขียนบทเอง ทำอะไรเองทุกอย่าง ด้วยความที่เขาเป็นนักหนังสือพิมพ์มาก่อนเลยได้เปรียบ เขาเป็นคนทำหนังที่มีสไตล์เป็นของตัวเอง หนังของเขาจะมีครบทุกรส และมักพูดถึงคนธรรมดา ชาวนาสามัญ เป็นหนังคอมเมดี้ น้ำดี ซึ่งเมื่อสมัยก่อนหนังแบบนี้จะไม่มี แต่เขาเป็นคนกล้าทำอะไรใหม่ๆตลอดเวลา อย่างเรื่อง 14 ตุลา สงครามประชาชน ผมชื่นชมในความกล้าของเขามาก เขาเขียนสคริปต์ได้ดีมากๆ คนหนึ่ง และแกก็เป็นคนดีมาก ผมนึกข้อเสียแกไม่ออกเลย ใครจะไปคิดว่าวันนี้จะไม่มีแกแล้ว”

สำหรับ “เจี๊ยบ วัชระ ปานเอี่ยม” ที่ร่วมบุกเบิกแสดงหนัง “บุญชู” มาตั้งแต่ภาคแรกเผยว่า

“เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่ใครจะไปทำใจเตรียมการล่วงหน้าได้ จริงๆผมเห็นอาการพี่เขาตั้งแต่อยู่เชียงใหม่ แต่พี่เขายังมีใจมาดูแลพวกเราทำงานกัน พอพี่บัณฑิตหายไปก็เหมือนทีมงานขาดหัว แต่พวกเรายังเป็นปึกแผ่นเหมือนเดิม”

“เขาเป็นคนพาผมเข้าสู่วงการหนัง ผมเองก็เหมือนเป็นลูกศิษย์พี่เขาคนหนึ่ง ผมขอเสือกกับเขาทุกเรื่องทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเขียนบทหนัง การทำโปรดักชั่นต่างๆ เรียนรู้วิชามุกตลก การตัดต่อฟิล์ม กล้อง แสงไฟ จนทุกวันนี้สามารถทำหนังเองได้ พี่เขาถือเป็นครูในชีวิตที่สามารถทำให้ผมมีอาชีพหากินได้ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ผมได้มาจากประสบการณ์ทั้งนั้น เขาเป็นต้นแบบที่ให้ประสบการณ์ชีวิตกับผม ส่วนเรื่อง บุญชู 10 จริงๆ มีคิวฉายช่วงคริสต์มาสนี้ ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าจะสานต่อกันยังไง แต่ผมเองมาเต็มตัวพร้อมจะช่วยงานเต็มที่”

ส่วนพระเอกผิวเข้ม “อู ภาณุ สุวรรณโณ” ที่แจ้งเกิดจากบทบาทพระเอกครั้งแรกในภาพยนตร์เรื่อง “14 ตุลา สงครามประชาชน” กล่าวพร้อมกับตาแดงๆมีน้ำตาซึมว่า

“อาเป็นคนปั้นผมมา ตั้งแต่เรื่อง 14 ตุลาฯ อาเป็นคนชักนำผมเข้าสู่วงการ และเราก็ติดต่อกันมาตลอด ถึงผมไม่ได้เล่นหนังกับอา แต่เราก็ยังเจอกันอยู่บ่อยๆ เพราะบ้านอากับมหาวิทยาลัยของผมจะอยู่ใกล้กัน เราก็ไปมาหาสู่กันตลอด ก็เลยเกิดความผูกพัน ตอนที่ร่วมงานกันเรื่องแรก อาสอนทุกอย่าง อาสอนให้ทำอะไรอย่างจริงจัง สอนแม้กระทั่งวิธีทำมาหากินในวงการบันเทิงว่าต้องทำตัวยังไง ทุกๆปีผมจะเอาปูจากสุราษฎร์ธานีมาฝากอา แต่อามักแอบเอาไปปล่อย ปีนี้ก็เสียดายที่ไม่ได้เอาไปให้ อาเปรียบเสมือนเป็นพ่อของผม เราไปกินไปนอนอยู่ด้วยกันตลอด ก็ไม่คิดว่าวันนี้จะไม่มีอาแล้ว”

สำหรับพิธีสวดอภิธรรมศพ “บัณฑิต ฤทธิ์ถกล” จะมีขึ้นทั้งหมด 7 วัน โดยในคืนแรกทางครอบครัว “ฤทธิ์ถกล” ร่วมเป็นเจ้าภาพกับสมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย ถัดมา 2 ต.ค. บริษัทไฟว์สตาร์ โปรดักชั่น จำกัด ร่วมเป็นเจ้าภาพกับพยาบาลรุ่น 16 วชิรพยาบาล ส่วนวันที่ 3 ต.ค. ทางสมาพันธ์สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์แห่งชาติ และบริษัท GTH จำกัด ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ 4 ต.ค.บริษัทสหมงคลฟิล์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ร่วมเป็นเจ้าภาพกับครอบครัว “ลิ้มตระกูล” ถัดมา 5 ต.ค. นักแสดงและทีมงาน “บุญชู” ร่วมเป็นเจ้าภาพกับหน่วย CARDIO วชิรพยาบาล สำหรับวันอังคารที่ 6 ต.ค. ทางททท.และบ.โคลีเซี่ยม อินเตอร์กรุ๊ป จำกัด ร่วมกันเป็นเจ้าภาพ และวันสุดท้าย 7 ต.ค. สมาคมผู้กำกับภาพยนตร์ไทย เป็นเจ้าภาพ จากนั้นเวลา 20.00 น.จะเป็นพิธีบรรจุศพ และเก็บไว้จนครบ 100 วันก่อนทำพิธีฌาปนกิจต่อไป



รายงานสดจากพื้นที่ข่าว

เดินทางมายังวัดมกุฎกษัตริยาราม





















กำลังโหลดความคิดเห็น