ในคดีความที่มีผู้ขู่กรรโชกทรัพท์ จากพระเอกชื่อดัง “จอห์น ทราโวลต้า” ว่าจะแฉข้อมูลที่พิสูจน์ว่าเขามีส่วนรับผิดชอบ กับการเสียชีวิตของลูกชายตัวเอง พระเอกชื่อดังได้ยอมรับเป็นครั้งแรกว่าลูกชายของเขา ป่วยเป็นออทิสติก จนเกิดข้อถกเถียงมากมายว่าการยอมรับตอนนี้ มันสายไปแล้วหรือไม่
“เจ็ทท์ ทราโวลต้า” ลูกชายคนโตวัย 17 ปี ของนักแสดงฮอลลีวูดชื่อดัง เสียชีวิตที่บาฮามาส ในวันหยุดพักผ่อนช่วงปีใหม่ของครอบครัว เมื่อวันที่ 2 ม.ค.ด้วยอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากโรคประจำตัว แต่หลังจากนั้นความยุ่งยากกลับดำเนินต่อเนื่อง มาอีกหลายเดือนจนถึงปัจจุบัน
คล้อยหลังวันเกิดเหตุไม่นานนัก ในวันที่ 23 ม.ค. 2009 ผู้ต้องหา 3 คนถูกจับในบาฮามาส ในคดีเกี่ยวข้องกับการขู่กรรโชกครอบครัวของ จอห์น ทราโวลต้า โดยทั้งสามได้เรียกเงินประมาณ 25 ล้านเหรียญสหรัฐ จากพระเอกชื่อดังเพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยเอกสารที่บ่งชี้ว่า ทราโวลต้า ปฏิเสธที่จะเซ็นชื่ออนุญาตในเอกสารขนย้ายผู้ป่วย ซึ่งอาจเป็นเหตุให้การช่วยชีวิต เจ็ทท์ ไม่สามารถทำได้อย่างทันท่วงที และทำให้เขาเสียชีวิตในที่สุด
สุดท้ายกลายเป็นว่าเอกสารการดังกล่าว ไม่สามารถใช้ทางกฎหมาย ที่จะเอาผิดแก่ ดาราชื่อดัง และผู้ต้องหาทั้งสามก็ถูกดำเนินคดีข้อหาคู่กรรโชกทรัพย์แทน
ผู้ต้องหาทั้งสามได้แก่ โอบี่ วิลช์คอมเบ่ สมาชิกสภา และอดีตรัฐมนตรีการท่องเที่ยวของบาฮามัส ที่ยังเป็นเพื่อนสนิทของครอบครัว ทราโวลต้า ส่วนอีกสองคนเป็นวุฒิสมาชิกของบาฮามาส และเจ้าหน้าที่ของหน่วยกู้ชีพ
โดยดาราชื่อดังได้ให้ข้อมูลกับศาลในการสืบคดีครั้งล่าสุดว่า ทั้งสามขู่เขาว่า จะขายเอกสารเหล่านี้ให้กับสื่อมวลชน ซึ่งเป็นเอกสารที่จะบอกเป็นนัยๆ ว่า “การตายของลูกเป็นสิ่งที่ผมตั้งใจให้เกิดขึ้น และเป็นความผิดของผมไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง”
มันคงเป็นเรื่องยากเมื่อ จอห์น ทราโวลต้า ต้องขึ้นศาลในคดีที่เกี่ยวข้องกับการตายของลูกชาย และมันยิ่งยากขึ้นไปอีกเมื่อคดีดังกล่าว กลายเป็นกระแสที่สร้างความสงสัยว่า พระเอกชื่อดังคนนี้ อาจจะเกี่ยวข้องกับการตายของลูกชายตัวเอง และต้นเหตุของเรื่องดังกล่าวก็คือ ข้อเท็จจริงที่ว่า พระเอกชื่อดัง เป็นผู้ศรัทธาแนวคิด "ไซเอนโทโลจี" (Scientology) อันโด่งดัง และอื้อฉาวประจำฮอลลีวูด
ไซเอนโทโลจี คือ ศาสนา และแนวคิดความเชื่อที่ถูกพัฒนาโดย แอล รอน ฮับบาร์ด (1911 - 1986) นักเขียนนิยายวิทยาศาสตร์ที่ต่อมากลายเป็นเจ้าลัทธิที่โด่งดัง และมีผู้ติดตามเป็นบุคคลมีชื่อเสียงมากมาย รวมถึงสาวกที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของอย่าง ทอม ครูซ นั่นเอง จอห์น ทราโวลต้า และภรรยา เคลลี่ เพรสตัน ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่เชื่อในแนวคิดดังกล่าว
ไซเอนโทโลจีเชื่อว่า ความป่วยไข้ของร่างกาย เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงมาจากจิต ซึ่งการรักษาก็ต้องมุ่งไปที่การเยี่ยวยาทางจิต โดยปฏิเสธการรักษาสมัยใหม่ และการใช้ยา ซึ่งหลายฝ่ายก็เชื่อว่า เจ็ทท์ ทราโวลต้า ได้ถูกเลี้ยงมาด้วยแนวคิดของเช่นนี้ และปัญหาใหญ่ของเรื่องที่ถูกหยิบยกขึ้นมาก็คือ การไม่ยอมรับความจริงของครอบครัวทราโวลต้าว่า แจ็ทท์ ป่วยเป็นโรคออทิสติก
ในอดีตที่ผ่านมีผู้ตั้งข้อสังเกตว่า เจ็ทท์ มีอาการของเด็กที่ป่วยเป็นออทิสติก แต่ จอห์น ทราโวลต้า ได้ปฏิเสธเรื่องนี้มาตลอด พร้อมกับโต้ว่าลูกชายของเขาป่วยเป็นโรคคาวาซากิ แม้กระทั่งตอนเสียชีวิต ดาราชื่อดัง ก็ชี้แจงว่า โรคคาวาซากิ เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ลูกชายของเขาเสียชีวิต หลังจากทำให้เกิดอาการชักกะทันหัน จนศีรษะฟาดกับอ่างอาบน้ำ ขณะที่คนส่วนใหญ่คิดว่า อาการเป็นลมชักจากออทิสติก น่าจะเป็นสิ่งที่คร่าชีวิตพ่อหนุ่มคนนี้ มากกว่าโรคคาวาซากิที่มักจะเป็นในเด็กเล็กๆ เท่านั้น
ในวันที่ 24 ก.ย. ที่ผ่านมา หรือ ประมาณ 9 เดือนหลังลูกชายของเขาเสียชีวิต เป็นครั้งแรกที่ดาราชื่อดังยอมรับในเรื่องนี้ โดยเขาให้ปากคำต่อหน้าศาลว่า "ลูกชายของผมเป็นออทิสติก และต้องทนทุกข์กับอาการลมชัก ในทุกๆ 5 - 10 วัน แต่ละครั้งยาวนานประมาณ 45 วินาที - 1 นาที"
แต่การยอมรับของเขามันสายเกินไปแล้วรึเปล่า? เพื่อนบ้านรายหนึ่งของครอบครัว ที่บังเอิญมีลูกสาวเป็นออทิสติกเช่นเดียวกัน ได้ให้ข้อมูลเรื่องการเลี้ยงดูลูกของครอบครัวทราโวลต้าว่า "เจ็ทท์ นั่งอยู่หน้าทีวี เล่นวีดีโอเกมส์ทั้งวัน กินอาหารขยะ ทั้งๆ ที่เขามีสิทธิ์ได้รับอาหารที่มีประโยชน์ ครั้งหนึ่งเขาไปดูหนัง และอยู่ๆ เจ็ทท์ ก็เกิดอาการไม่ดีขึ้นมา เคลลี่ (ภรรยาของ ทราโวลต้า) เพียงแค่ชี้นิ้วสั่งพี่เลี้ยงว่า 'จัดการหน่อยซิ'"
เพื่อนบ้านคนนี้ยังบอกว่า ครอบครัว ทราโวลต้า อับอายกับลูกคนนี้ "พวกเขาตัด เจ็ทท์ ออกจากกิจกรรมทางสังคมทั้งหมด ไม่เคยสอนให้สื่อสาร และแทบจะไม่พูดอะไรเลย ทราโวลต้า ทำลายโอกาสที่จะช่วยให้ เจ็ทท์ มีพัฒนการ เป็นเหตุที่ทำให้เราจำเป็นต้องพูดเรื่องนี้ออกมา"
ตอนนี้ปัญหาเฉพาะหน้าของ ทราโวลต้า ก็คือคดีความเรื่องการขู่กรรโชกทรัพย์ และเป็นทางโบสถ์ของ ไซเอนโทโลจี ที่ได้ออกมาปฏิเสธถึงความเชื่อมโยงระหว่างแนวคิดความเชื่อของพวกเขา กับความตายของลูกชายนักแสดงชื่อดังว่า "ตัวเราเองเท่านั้น ที่จะเป็นผู้รับผิดชอบต่อสิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้น มันเป็นเรื่องน่ากลัวมากๆ ที่บางคนเอาความตายที่อันน่าเศร้าของเด็กคนหนึ่ง มาเป็นเครื่องโจมตีต่อศาสนาของพ่อเขา"