xs
xsm
sm
md
lg

มหากาพย์คน (อยาก) ดัง นที ธีระโรจนพงษ์(จบ) : ผมเรียกมันว่าก๊อบปี้

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

นที ธีระโรจนพงษ์
นที ธีระโรจนพงษ์ ได้เผยแพร่แนวความคิดต่างๆ ผ่าน "ข้อเขียน" ในนิตยสารเกย์ยุคนั้น เขาเคยเปิดเผยว่าเป็นคอลัมนิสต์ให้แก่หนังสือประเภทนี้ถึง 5 ฉบับ โดยเฉพาะนิตยสารมิถุนาในยุคสุดท้าย เป็นหนังสือเกย์ที่นที ธีระโรจนพงษ์เข้าไปมีบทบาท

นิตยสารมิถุนา ก่อตั้งโดยอนันต์ ทองทั่ว จากนั้นก็มีการเปลี่ยนยุค เปลี่ยนเจ้าของทุน และกองบรรณาธิการมาเรื่อยๆ สุดท้าย หัวหนังสือ "มิถุนา" ตกอยู่กับโรงพิมพ์ ยูเนี่ยน โปรดักชั่น โดยมี สิทธิชัย ชวะโนทัย เป็นบรรณาธิการผู้พิมพ์ - ผู้โฆษณา และชูชีพ สถิตย์ชัย เป็นบรรณาธิการบริหาร (แต่ในนาม)

มิถุนาในยุคนี้ มีสโลแกนว่า "แมกกาซีนเพื่อสาระและกระชับมิตร"

ในแต่ละเล่มนั้น นที ธีระโรจนพงษ์รับผิดชอบหลายคอลัมน์ เช่น

คอลัมน์ "คนกรำงาน" บทสัมภาษณ์ใหญ่ประจำเล่ม นทีได้พาตัวเองไปสัมภาษณ์บุคคลที่ทำงานทางสังคม เช่น นายแพทย์ อุดมศิลป์ ศรีแสงนาม, วัลลภ ตังคณานุรักษ์, ประวีณ พยับวิภาพงศ์, ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์, สุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ เป็นต้น บางเล่มก็จะเป็นการเล่าประสบการณ์จากเด็กที่ทำงานพิเศษ เช่น มิถุนา ฉบับที่ 94 ปีที่ 11 / 2539 ประสบการณ์ของผู้ชายคนหนึ่ง สมมตินามตามท้องเรื่องว่า "เอ" ที่ยอมรับว่าภายในคุกเปลี่ยนรสนิยมทางเพศของเขา และฉบับที่ 95 ปีที่ 11 / 2539 เรื่องนายทางโทรศัพท์ เป็นต้น

นอกจากนี้ยังมีคอลัมน์ "ก่อนจะมาเป็นสมาคมเกย์ฯ" และเนื่องจากเขาเดินทางบ่อย จึงมีเรื่องราวประสบการณ์การเดินทางในต่างแดนมาฝากนิตยสารอีกต่างหาก เช่นเรื่อง Hi…Canberra, เกย์ฮินดูที่ชมพูทวีป, เขมร ฤาจะรอด เป็นต้น

มิถุนา (ยุคสุดท้าย) ถูกนที ธีระโรจนพงษ์ หยิบมาเป็นกระบอกเสียงให้กับการทำงานของกลุ่ม F.A.C.T. และเส้นสีขาว เพื่อจะให้เป็นนิตยสารต้นแบบของเกย์คุณภาพ โดยลืมคิดไปว่า มุมมองของนักเคลื่อนไหวทางสังคมกับมุมมมองของคนทำหนังสือนั้น ใช้แว่นคนละอัน ส่งผลให้หนังสือมิถุนาซึ่งกำลังอยู่ในภาวะลุ่มๆ ดอนๆ เจ๊งคามือ !! ยุคนั้น นอกจากบทความ, บทสัมภาษณ์ แล้ว F.A.C.T. และเส้นสีขาว ยังมีการโฆษณาในหน้าสีและขาว – ดำ ในนิตยสารเล่มนี้อีกด้วย

นที ธีระโรจนพงษ์ มีผลงานรวมเล่มพ็อกเกตบุ๊ก เช่น กว่าจะก้าวข้ามเส้นสีขาว สำนักพิมพ์ เมน'ส คลับ, แกะกล่องเกย์ สำนักพิมพ์หลอยสีรุ้ง , ถอดรหัสหัวใจเกย์ ( Gay's Heart Disclosure) สำนักพิมพ์อะเมธิสต์, สะดุดหนามตุ๊ด (สำนักพิมพ์ จิก้าบุ๊คส์)
...
เรียกว่าความรักได้ไหม VS ผมเรียกมันว่าความรัก
ขณะที่นที ธีระโรจนพงษ์ กำลังสร้างชื่อเสียงจากการทำงานเพื่อเกย์โดยส่วนรวม จู่ๆ ก็มีข่าวเล่าอ้างกันเกรียวกราวว่า เขาลอกงานของนักเขียนท่านหนึ่ง และสมอ้างใส่ชื่อว่าเป็นงานของตัวเอง!?

แรกเริ่มเดิมทียังคิดว่าเป็นการใส่ความกันให้เสียชื่อเสียง ตามประสา ที่ว่า "มีคนรักก็ต้องมีคนเกลียด" เป็นธรรมดา จนมีการเทียบเคียงถึงงาน 2 ชิ้นนี้ อีกทั้งเขาได้ "แก้ต่าง" ให้ตัวเองเป็นลายลักษณ์อักษร !!
ต้นฉบับเรื่อง "เรียกว่าความรักได้ไหม" ประพันธ์โดย "อะความารีน" ตีพิมพ์ใน "นิตยสารมรกต" เมื่อเดือนตุลาคม 2529 ต่อมาเมื่อเดือนมิถุนายน 2534 นที ธีระโรจนพงษ์ ได้ส่งเรื่อง "ผมเรียกมันว่าความรัก" มาตีพิมพ์ใน GUY MAGAZINE จากนั้นได้มีข้อแก้ต่างให้ตัวเองในหนังสือ GUY MAGAZINE เดือนสิงหาคม 2534

18 ปีที่ผ่านมา ความทั้ง 2 ฝ่าย โชคดีที่มีผู้บันทึกไว้!! และผู้ที่ใช้ชื่อว่า "ลองอ่านดู" และได้โพสต์เข้ามาใน "พันทิป" เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549

ลองอ่านเปรียบกันดู !!

ต้นฉบับเดิม "เรียกว่าความรักได้ไหม" โดย อะความารีน
พระจันทร์เต็มดวงสุกสกาว… ดวงดาวแสนสวยต่างกะพริบพรายแสงอยู่ทั่วเวิ้งฟ้า ฉันหลบลมเย็นกับแผ่นหลังของพัท เผลอตัวโอบรอบเอวสารถีที่ปั่นจักรยานเอื่อยๆ ไปตามทางสีเทาที่ทอดโค้งเลียบทุ่งหญ้า แสงจันทร์อาบไล้สีเงินแลเห็นทุกอย่างเรืองๆ ต้นไม้ใหญ่ยืนโดดเดี่ยวเหมือนคนเหงา ทิวเขาหายกลืนไปกับความมืดดำของค่ำคืนในระยะที่ไกลตัวออกไป
คืนเดือนหงายมีเสน่ห์ลึกลับ และแน่นอนล่ะ...มันมีความหมายมากขึ้น เมื่อตรงนี้…เวลานี้ ฉันมีเขาอยู่ใกล้ๆ

"จั๊กจี้นะชล" พัทหันมาบอกเบาๆ เหมือนจะเกรงใจ ฉันยิ้มกับตัวเอง แต่ยังไม่คลายวงแขนจากรอบเอวของเขา

"ก็มันอุ่นดีนี่" ฉันว่าเหมือนจะเถียง เสียงเขาถอนหายใจเบาๆ

"ตามใจครับผม...ตามใจ ว่าแต่ว่าชลไม่ทำงานแล้วหรือ หรือว่าลาออกจากงาน ถึงกลับบ้านตอนนี้"

"เปล่า เรายังทำงานอยู่ แต่ตอนนี้ขอหยุดชั่วคราว พัทก็น่าจะรู้นะว่า การทำงานนี่นะ บางทีมันก็เหนื่อย อ่อนแรง รู้สึกล้าขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย"

"อืมม์ ใช่ ชลพูดถูก ตัวเราเองบางทีก็อดจะเบื่อไม่ได้ อาจเป็นเพราะเหนื่อยด้วยแหละ ตอนนี้พี่ชายก็แยกย้ายออกไปตั้งครอบครัวกันหมด เหลือเราคนเดียวที่ต้องดูแลร้านให้พี่สาว คอยดูแลเตี่ยด้วย"

ไหล่เธอกว้างขึ้นนะพัท ฉันอยากจะบอกเขา พัทดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมากทีเดียว อาจเป็นเพราะบันไดขั้นใหม่ของเขาด้วย บันไดที่ก้าวจากความเป็นเด็ก วันเยาว์วัย ก้าวสู่ความรับผิดชอบ และภาระใหม่ๆ

"เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะพัท เอาเถอะนะ มันอาจต้องลำบากเหนื่อยหน่อยในช่วงแรก แต่ต่อๆ ไปความเคยชินคงช่วยได้มากล่ะนะ นี่เราบอกพัทพร้อมกับบอกตัวเองไปด้วยนะ การเริ่มต้นช่วงชีวิตใหม่ๆ มันค่อนข้างจะต้องอาศัยความอดทนอย่างมากเลยนะ นึกๆ แล้วก็อยากเป็นเด็กเล็กๆ มีวันสนุกสนานสวยงาม พัทจำวันที่ผ่านไปเหล่านั้นได้รึเปล่า"

พัทชะลอวงล้อให้มันหมุนวนช้าลงๆ และจอดสนิทบนไหล่ทางในที่สุด เขาพยุงรถและตัวฉันที่นั่งซ้อนท้ายด้วยขาทั้งสอง

"คืนนี้อากาศดีนะ" พัทเอ่ยขึ้นเบาๆ "อดคิดถึงเมื่อครั้งที่เราพากันปั่นจักรยานเป็นแถวยาวไปเที่ยวไม่ได้ เรายังจำได้เลยว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชลขาเจ็บ เป็นอะไรนะ รถล้มใช่ไหม เราอาสาเอาชลซ้อนท้ายเอง"

"พวกนั้นมันเกี่ยงว่าเราตัวอ้วน มันหนัก" ฉันหัวเราะ นึกถึงครั้งที่จ้ำม่ำเหมือนหมูสีชมพู และอารมณ์ในวัยเด็ก แต่ก็ไม่เด็กมากหรอกพัท ฉันเงยหน้าขึ้นสบตาเธอ เพราะฉันยังจำความใส่ใจของเธอได้ เด็กผู้ชายตัวสูงผอม กับเด็กผู้ชายอ้วนท้วน กางเกงขาสั้น เสื้อยืดสีสดใส และจักรยานคู่ชีพ

"แต่เดี๋ยวนี้เราไม่อ้วนแล้วใช่ไหมพัท พออายุสักเท่าไหร่นะ ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง รูปร่างของผู้ชายก็จะเข้ารูปเข้ารอย ใช่ไหมพัท"

"อืมม์ ก็ไม่อ้วนแล้วล่ะ แต่…" พัทเว้นระยะ ฉันเห็นแพรวตาเขาวาววับเหมือนคนกลั้นเสียงหัวเราะ เต็มที่

"ตัวไม่อ้วน แต่แก้มยังอ้วนอยู่นะ"

"บ้า" ฉันค้อนเขา (มีต่อ)

ต้นฉบับดัดแปลงโดยไม่ได้อนุญาต ชื่อเรื่อง "ผมเรียกมันว่าความรัก" โดย นที ธีระโรจนพงษ์

คืนที่จันทร์เต็มดวง ช่างมีมนต์เสน่ห์เย้ายวนและอำนาจล้ำลึกเสียนี่กระไร ผมไม่มีโอกาสได้แหงนมองท้องฟ้าบ่อยครั้งนัก ทั้งๆ ที่อยู่ใต้ดินแดนของท้องนาฟ้าสวย แต่คืนนี้ผมได้มีโอกาสสัมผัสกับท้องฟ้า พระจันทร์ ดวงดาว และอีกสิ่งหนึ่งซึ่งเป็นความรู้สึกที่ผมกักเก็บมันมาเป็นเวลาช้านาน

ผมปั่นจักรยานคันเก่า อ้อยสร้อยไปตามทางสีเทา เลี้ยวโค้งเลียบทุ่งหญ้า มองเห็นท้องนารางๆ ห่างออกไป ต้นไม้ใหญ่ยืนเดี่ยวโดด โยกไกวเหมือนจะโอดครวญถึงความเดียวดายกับสายลมเย็นที่พัดผ่านมา ทิวเขาสุดลูกหูลูกตาเกือบกลืนเป็นสีเดียวกับความมืดทะมึนที่สุดโค้งฟ้านั่น ผมเบี่ยงตัวออกจากแนวสมดุลเล็กน้อย ผู้ที่นั่งซ้อนท้ายรวบเอวผมแน่นขึ้นด้วยสัญชาตญาณ

"จั๊กจี้นะชล" ผมหันไปบอกบุรุษหน้างดงามที่คบกันมาตั้งแต่จำความได้เบาๆ พยายามไม่ให้เสียงนี้ไปเปลี่ยนอิริยาบถของเพื่อนที่ผมแสนอาทร ผมอยากให้เธอกอดผมให้แน่นอย่างนี้ตลอดไป

"ก็มันอุ่นดีนี่" ชลตอบด้วยน้ำเสียงเง้างอน ผมชอบน้ำเสียงเช่นนี้ เธอคงไม่เข้าใจเหตุการณ์ที่ผมจงใจจะให้เกิด ผมถอนหายใจเบาๆ รู้สึกว่าตัวเองกำลังจะออกนอกลู่นอกทางอีกครั้ง จึงตัดบทแล้วเปลี่ยนเรื่องพูด

"ตามใจครับผม...ตามใจ ว่าแต่ว่าชลไม่ทำงานแล้วหรือ หรือว่าลาออกจากงาน ถึงกลับบ้านตอนนี้"

"เปล่า เรายังทำงานอยู่ แต่ตอนนี้ขอหยุดชั่วคราว พัทก็น่าจะรู้นะว่า การทำงานนี่นะ บางทีมันก็เหนื่อย อ่อนแรง รู้สึกล้าขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย"

"อืมม์ ใช่ ชลพูดถูก ตัวเราเองบางทีก็อดจะเบื่อไม่ได้ อาจเป็นเพราะเหนื่อยด้วยแหละ ตอนนี้พี่ชายก็แยกย้ายออกไปตั้งครอบครัวกันหมด เหลือเราคนเดียวที่ต้องดูแลร้านให้พี่สาว คอยดูแลเตี่ยด้วย" ผมพูดอย่างมีเลศนัย พูดคำว่าคนเดียวอีกครั้งกับเพื่อนเก่า ชล...ที่เพื่อนร่วมชั้นล้อว่าเป็นกะเทย เด็กผิวขาวร่างท้วม ท่าทางต้วมเตี้ยม แต่เปี่ยมไปด้วยน้ำใจ ผมปกป้องเพื่อนรักคนนี้เสมอมา เดี๋ยวนี้ชลสูงโปร่ง บอบบาง ผิวขาวเนียน สะอาดสะอ้าน และมีรสนิยมดี

"เป็นเรื่องที่ดีมากเลยนะพัท เอาเถอะนะ มันอาจต้องลำบากเหนื่อยหน่อยในช่วงแรก แต่ต่อๆ ไปความเคยชินคงช่วยได้มากล่ะนะ นี่เราบอกพัทพร้อมกับบอกตัวเองไปด้วยนะ การเริ่มต้นช่วงชีวิตใหม่ๆ มันค่อนข้างจะต้องอาศัยความอดทนอย่างมากเลยนะ นึกๆ แล้วก็อยากเป็นเด็กเล็กๆ มีวันสนุกสนานสวยงาม พัทจำวันที่ผ่านไปเหล่านั้นได้รึเปล่า"

นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความอาทร ซึ่งเป็นน้ำใสใจจริงและเป็นเสน่ห์ที่ทำให้หัวใจหนุ่มอย่างผมกระเจิดกระเจิง

ผมชะลอวงล้อให้มันหมุนช้าลงๆ และจอดสนิทบนไหล่ทาง ชลช่วยผมพยุงรถ ไม่มีอาการสงสัย ไม่มีคำถามว่าผมหยุดรถทำไม ผมไม่กล้าทำในสิ่งที่ใจอยากจะทำ ไม่กล้าแม้แต่จะหันไปสบสายตาลึกซึ้งคู่นั้น ได้แต่เฉไฉพูดถึงลมฟ้าอากาศ

"คืนนี้อากาศดีนะ อดคิดถึงเมื่อครั้งที่เราพากันปั่นจักรยานเป็นแถวยาวไปเที่ยวไม่ได้ เรายังจำได้เลยว่า มีอยู่ครั้งหนึ่ง ชลขาเจ็บ เป็นอะไรนะ รถล้มใช่ไหม เราอาสาเอาชลซ้อนท้ายเอง" ผมอดไม่ได้ที่จะทวนความทรงจำเก่าเก็บ อยากให้ชลได้ระแคะระคายความในใจที่เกิดก่อนานมาแล้ว

"พวกนั้นมันเกี่ยงว่าเราตัวอ้วน มันหนัก" ชลหัวเราะ อีกเช่นเคยที่เธอไม่เปิดโอกาสให้ผมได้กล้าจุดไฟปรารถนาออกมาให้สว่างเจิดจ้า เธอดับไฟปรารถนาของผมได้สนิทเสมอ ด้วยความซื่อและจริงใจ

"แต่เดี๋ยวนี้เราไม่อ้วนแล้วใช่ไหมพัท พออายุสักเท่าไหร่นะ ยี่สิบเอ็ด ยี่สิบสอง รูปร่างของผู้ชายก็จะเข้ารูปเข้ารอย ใช่ไหมพัท" ชลมองตาผม เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นดวงตาคู่สวยนี้เต็มตาในวันนี้ ผมรีบตอบทันควัน ก่อนที่จะปล่อยพิรุธออกมา

"อืมม์ ก็ไม่อ้วนแล้วล่ะ แต่..." ผมเว้นคำพูดไว้ อยากจีบผู้ชายที่น่ารักคนนี้จนอดไม่ได้

"ตัวไม่อ้วน แต่แก้มยังอ้วนอยู่นะ"

"บ้า" ชลพูดด้วยน้ำเสียงขึงขัง พร้อมส่งแววตาไม่พอใจมาให้ผม (มีต่อ)

คำชี้แจงเกี่ยวกับกรณีเรื่องสั้นที่ถูกกล่าวหาอย่างเจ็บปวดไม่ไปลอกคนอื่นเขามา ของ นที ธีระโรจนพงษ์ ตีพิมพ์ใน Guy Magazine สิงหาคม 2534 ความว่า

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณผู้หวังดีที่ได้ส่งเรื่องสั้น ชื่อเรื่อง "เรียกว่าความรักได้ไหม" ซึ่งประพันธ์โดยคุณอะความารีน ตีพิมพ์ในหนังสือเกย์ฉบับหนึ่งเมื่อเดือนตุลาคม 2529 มาให้ บก. Guy Magazine ซึ่งได้ส่งต่อมาให้ สร้างความปลาบปลื้มยินดีให้ผมเป็นอย่างยิ่ง เนื่องด้วยผมพยายามจะตามหาเรื่องสั้นเรื่องนี้มานานมากแล้ว เพราะต้องการชื่อผู้เขียน ซึ่งขณะนี้ได้แล้ว คือคุณอะความารีน เพื่อที่จะกล่าวอ้างถึง เมื่อครั้งเขียนเรื่องสั้น "ผมเรียกมันว่าความรัก" ในครั้งกระโน้น

ก็ต้องถือโอกาสชมเชยเรื่องสั้นที่คุณอะความารีนที่เขียนได้ประทับใจ และก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวในทางสรรค์สร้างงานเขียนที่ผมใช้ชื่อว่า "ผมเรียกมันว่าความรัก" ก็ขอขอบคุณไว้ ณ โอกาสนี้เลยนะครับ

อันที่จริง เรื่องสั้นที่ผมส่งไปให้ บก. Guy นั้น ตอนท้ายเรื่องผมได้ใส่ ป.ล. ไว้มีใจความว่า

"ขอขอบคุณผู้ที่เขียนเรื่องสั้นเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมได้นำเค้าโครงเรื่องและตัวละครมาใช้ในเรื่องสั้นเรื่อง ผมเรียกมันว่าความรัก เพราะเห็นว่าจะก่อให้เกิดมุมมองที่เป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆ ชาวเกย์โดยส่วนรวม"

เผอิญในขณะนั้นผมตามหาเรื่องสั้นเรื่อง เรียกว่าความรักได้ไหม ไม่เจอจริงๆ จึงได้กล่าวขอบคุณไว้ลอยๆ อย่างนี้ แต่ด้วยเหตุผลทางเทคนิคบางประการ ที่ทำให้ข้อความ ป.ล. นั้นขาดหายไป

ขอปิดท้าย ตั้งคำถามเดียวกับคุณ "ลองอ่านดู" !!

"คุณเชื่อหรือไม่ว่านายนทีเขียนเรื่องสั้นเรื่อง "ผมเรียกมันว่าความรัก" จากความทรงจำ คุณเชื่อหรือไม่ว่านายนทีตามหาเรื่องสั้นเรื่อง "เรียกว่าความรักได้ไหม" ไม่เจอ เลยไม่ทราบว่าใครแต่ง" !?

Jason_Bourne - เชื่อก็บ้าแล้วครับ คุณ ลองอ่านดู มันแทบจะก๊อบกันมาคำต่อคำเลย ต้นฉบับน่าจะติดกะโหลกอยู่บ้างแหละ

พายองุ่น - คนไทยกับเพศที่สามอยู่ร่วมกันได้ดี ไม่เหมือนบางประเทศ ทำไมนายนทีต้องทำให้เกิดการแบ่งแยก น่าลองไปอยู่ประเทศอื่นที่เขาไม่ยอมรับตัวเองบ้าง

มาราย คาร์แคร์ - ดิฉันเข้ามาค้านแบบหัวกระแทกฝาบ้านเลยค่ะว่าไม่มีใครในสังคมเกย์ กะเทยที่ยังมีสมองและรอยหยักในกะโหลกจะเห็นด้วยกับทุกประเด็นกับที่คนคนนี้มักจะออกมาป่าวประกาศสร้างกระแสเลยสักครั้ง ขนาดพวกคุณๆ อ่านแล้วยังรู้สึกแตกต่างกันแต่ลงท้ายด้วยคำว่า "บ้า" แน่นอนดิฉันย่อมคิดแบบเดียวกับพวกคุณ

"บ้า"

ใครไปหลงเชื่อความคิดกระจกด้านเดียวแบบเขาดิฉันว่าคงงมโข่งอยู่ในกะลามาหลายปีแน่ๆ ในฐานะที่ดิฉันดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมเกย์ กะเทย และตัวดิฉันเองก็เป็นเพศที่ 3 ดิฉันขอพูดชัดๆ อีกครั้งว่าดิฉันและพื่อนๆ หลายชีวิตในสังคมเพศที่ 3 ไม่เคยเห็นด้วยกับคนคนนี้เลยแต่อย่างใด ไอ้คำที่เขากล่าวอ้างทั้งหลายเป็นแค่เพียงลมปากโดยปราศจากแรงสนับสนุนจากบุคคลอื่นทั้งนั้น ขอทุกๆ คนจงอย่ารังเกียจพวกเพศที่ 3 เลยค่ะ

แล้วคุณคิดอย่างไรกับเหตุการณ์นี้ในอดีต
นที ธีระโรจนพงษ์
นที ธีระโรจนพงษ์
นที ธีระโรจนพงษ์
ตัวอย่างของนิตยสารเกย์ มรกต และ Guy Magazine แต่ไม่ใช่เล่มที่เกิดปัญหา !!
นิตยสารมิถุนา ช่วงสุดท้ายที่นที ธีระโรจนพงษ์มีบทบาท
ผลงานนที ธีระโรจนพงษ์
เคยสัมภาษณ์ครูหยุย
เคยสัมภาษณ์สุดารัตน์
สัมภาษณ์คนเคยติดคุก
สารคดีต่างแดน Hi …Caberra
กำลังโหลดความคิดเห็น