ขบถ (ขะ-บด) = การขัดขืนต่ออำนาจหรือกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางสังคม
อีกเพียงหนึ่งเดือนเศษๆ ก็จะถึงวันคล้ายวันเกิดปีที่หกสิบของ 'สุเทพ โพธิ์งาม' หรือ 'เทพ โพธิ์งาม' นักแสดงตลกชื่อดังของเมืองไทยแล้ว
เวลากว่าสามสิบปีที่โลดแล่นอยู่ในวงการบันเทิง ดาวตลกผู้นี้เคยทำให้ผู้ชมหัวเราะจนน้ำหูน้ำตาไหลมาแล้วนับไม่ถ้วน แต่ในชีวิตจริงสุเทพกลับหัวเราะไม่ค่อยออก เพราะเขาเพิ่งจะได้รับสถานะ 'ล้มละลาย' มาหมาดๆ หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในการทำธุรกิจมาตลอดทั้งชีวิต
คนทั่วไปอาจมองว่าชีวิตของเขา 'ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง' แต่สุเทพหรือที่ใครๆ เรียกเขาว่า 'ป๋าเทพ' กลับยึดมั่นในวิถีและวิธีคิดที่ตัวเขายอมรับเต็มปากเต็มคำว่าแสนจะ 'ขบถ' เอาไว้ตลอดเวลา
มิเพียงแค่การทำธุรกิจที่แปลกและแหวกจากตำราธุรกิจทุกเล่มที่มีอยู่ในโลกใบนี้ (อ่าน แนวคิดการทำธุรกิจแบบ 'ป๋าเทพ' จากปากคำของ 'อุดม แต้พานิช' ท้ายบทความ) แต่การสร้างภาพยนตร์ของเขาก็ไม่เคยตามรอยกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่นเดียวกัน การทำธุรกิจและการทำหนังดังกล่าวได้ฉายภาพแนวคิดขบถที่ซึมลึกไปถึงกระดูก ละลายเป็นเนื้อเดียวไปกับวิถีการใช้ชีวิตของเขาให้ปรากฏออกมาจนใครๆ สัมผัสได้
เพราะเหตุใด ทำไมเขาจึงไม่ไหลไปตามกระแสทุนนิยม วัตถุนิยม การตลาดนิยม และหมู่มากนิยมเหมือนที่คนส่วนใหญ่พึงปฏิบัติ คงมีเพียงเขาเท่านั้นที่ตอบได้
"เราไม่ได้ไปเปลี่ยนแปลงอะไรเขานี่ เพียงแต่เป็นความคิดของป๋าเท่านั้นเอง แต่ใครจะเป็นยังไงก็เรื่องของมันน่ะ เราไม่ได้ว่าอะไร นี่คือความคิดของเราเฉยๆ (หัวเราะ) เราไม่ได้เปลี่ยนแปลงใคร"
ป๋าเทพเริ่มต้นเล่าถึงวิธีการ 'สร้างภาพยนตร์' ในแบบฉบับของเขาด้วยท่าทีสบายๆ เสมือนว่ารูปแบบการผลิตภาพยนตร์ที่เขาทำอยู่เป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
"การทำหนังเนี่ย ไม่ใช่เรียนมาแล้วมึงจะทำได้ ป๋าว่าประสบการณ์เป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดนะ ไม่ใช่ว่าเขาเขียนมาตามบท มึงก็ต้องเอาตามบท คนทำหนังอย่างนั้นมันไม่มีอนาคตน่ะ เขาเขียนมาอย่างนี้มึงต้องมีอะไรที่แตกแยกจากเขาไปสิ หรือบางอย่างที่ไม่ดีก็ตัดของเขาไป
"ป๋าทำหนังป๋าจะเขียนสดตอนนั้นเลย อย่าง หนังสงครามเนี่ย(หมายถึงภาพยนตร์วีซีดีเรื่อง สงครามครั้งสุดท้าย) ป๋าจะระเบิดเสียก่อน ตูมตามๆ ยิงกันฉิบหายวายวอดหมด รถถงรถถัง เครื่องบงเครื่องบินโจมตี เสร็จแล้วพอมาดูก้อนนี้ปุ๊บ เราก็เขียนแต่ละจุดๆ
"ตอนต่อไปจะเป็นยังไง เมื่อวานนี้กูถ่ายตอนนั้นมา มันรบกัน ตอนนี้ก็น่าจะพักแล้ว มานั่งปรึกษากันเรื่องการรบ ไปขอกำลังทหารจากกลาโหม กองทัพเราจะทำอย่างไร อะไรแบบนี้ ก็ใส่เข้าไปนิดๆ หน่อยๆ ถ้าจะบอกว่าหนังป๋าร้อยเปอร์เซ็นต์ไหม ไม่ใช่ หนังวีซีดีก็รู้ๆ อยู่ มันลงทุนมากที่ไหนเล่า เอาแค่พอดูเข้าใจ เออ ถ้าเป็นหนังใหญ่ โอเค เราอาจจะต้องละเอียดขึ้น"
ถ้าหนังของจา พนมมีสโลแกนว่า 'ไม่มีสลิง ไม่มีสตั้น' แล้วล่ะก็ หนังของสุเทพ โพธิ์งาม ก็น่าจะใช้สโลแกนว่า 'ไม่มีสคริปต์ ไม่มีสตางค์' ได้เช่นกัน
"หนังดึกดำดึ๋ย(หนังใหญ่เรื่องแรกและเรื่องเดียวของป๋าเทพ)ที่ป๋าทำก็ไม่เคยมีสคริปต์ ไปถามสิ กล้องเกิ้งตอนเช้าก็ต้องไปนั่งรอ เดี๋ยวจะเอายังไงต่อวะ มันไม่มีอะไร แต่ว่าโครงมีอยู่ในหัวเราอยู่แล้ว เราพอจะรู้โครงมันว่าขึ้นยังไง เอาแค่ตอนขึ้นเท่านั้นเอง ตรงกลางไปหาใส่หมด ใส่สดลงไป
"ป๋าว่าบ้านเราน่าจะทำอย่างนั้นได้แล้ว อย่างเมืองนอก ป๋าสังเกตดูว่าการทำหนังของเขาเนี่ย เขามีความคิดที่แปลกออกไปแล้ว เพราะเขามีในหัวของเขาอยู่แล้ว"
ผลพวงจากการด้นสด ทำให้ 'ดึกดำดึ๋ย' และหนังวีซีดีอีกหลายเรื่องของป๋าเทพถูกผู้ชมด่าเละ บ้างก็บอกว่าดูไม่รู้เรื่อง บ้างบอกว่าปัญญาอ่อน และบางรายก็หนักถึงขั้นปวารณาตัวเองว่าจะไม่เสพชมผลงานภาพยนตร์ของป๋าเทพอีกต่อไป
"ป๋าไม่ได้เสียอะไรนี่ เราก็ไม่ได้ขาดทุนอะไร แล้วเราทำหนังก็เสียเงินเท่าไหร่เอง หนังลงทุนไปแปดเก้าล้าน ฉายไปในระดับที่ได้เงินน้อยหน่อยสิบสามสี่ล้าน แต่ว่าขายวีซีดีขายอะไรเราก็ได้อยู่แล้ว ป๋าไม่ได้เสียใจอะไร เพียงแต่ว่านั่นก็คือหนึ่งส่วนที่เราเสนอไปแล้ว เฮ้ย มันไม่ค่อยเต็มที่เว้ย แน่นอน แล้วต่อไปกูจะคิดทำอะไร"
แม้ด้านหนึ่งจะอื้ออึงไปด้วยเสียงก่นด่า แต่อีกมุมหนึ่งกลับเกิดเสียงวิพากษ์ตีความจากนักวิจารณ์กลุ่มน้อยในลักษณะที่ว่า หนังของป๋าเทพคืออีกหนึ่งรูปแบบงานศิลปะภาพยนตร์ที่นักดูหนังนิยมเรียกกันว่า cult film หรือภาพยนตร์อิสระที่มีลักษณะเฉพาะตัวซึ่งเป็นที่ชื่นชอบเฉพาะกลุ่มนั่นเอง
"ถ้าเราแคร์ตลาดก็เป็นระบบเก่าๆ ของการตลาดหรือบริษัทหนังที่เขาทำกันทุกวันนี้ เฮ้ย มึงดูตลาดสิ ตลาดเขาต้องการหนังผีนะเฮ้ย ผีแม่งเก้าเรื่อง สิบเรื่อง ออกกันอยู่นั่น ผีผ้าห่ม ผีไม้จิ้มฟันก็มี อะไรก็ไม่รู้ ผีเก้าอี้ หลอกกันไปหมด พอกระเทยมาปุ๊บ ก็กระเทยกันอีก ป๋าเล่นอยู่เรื่องนึง ก็เจ๊งไปเหมือนกัน มันก็ไม่รู้จะบอกอย่างไร บ้านเรามันเหมือนถอยมากน่ะ ในเรื่องศิลปะการสร้าง ไม่ค่อยมีอะไรออกมา
"ประเพณี จารีต อะไรทุกอย่าง เข้มเกินไป ทำให้บางครั้งการที่เราจะปล่อยอะไรออกไปมันยาก มันเหมือนมีอะไรกำบัง เลยทำให้วงการนี้ดูถอยไปหน่อย แล้วก็มาสนุกกันเอง ยกยอกันเอง มาให้ตุ๊กตาทองกันเอง ก็ดูขำๆ ดี มันสนุกแบบไม่มีอนาคตน่ะ
"ป๋าคิดว่าบ้านเราทำไมเป็นอย่างนี้วะ ไม่รู้จะทำอย่างไร เพียงแต่นึกอยู่คนเดียว เอ้ เมื่อไหร่เราจะมีอะไรที่มันดีกว่านี้ออกมาสักทีว้า บ้านเราจะได้มีอะไรให้เห็นบ้าง แล้วบริษัทก็เหมือนกัน ทำอะไรขึ้นมากูก็จะเอาคนเดียวทั้งประเทศ คนเดียวทั้งโลก"
ตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา บริษัทผลิตภาพยนตร์ของป๋าเทพ ปล่อยภาพยนตร์วีซีดีออกมาจำหน่ายถึงห้าเรื่อง หนึ่งในห้าเป็นหนังชีวิตเรียกน้ำตาที่ห่างไกลจากหนังตลกไร้สาระที่ป๋าเทพเคยสร้างและแสดงมา และนั่นก็คือมุมหนึ่งของคนทำหนังวัยใกล้หกสิบที่มักจะบอกกับใครต่อใครว่าเขาไม่ใช่ผู้กำกับภาพยนตร์ เขาเป็นเพียง ‘คนเล่าเรื่อง’ ที่มีสิ่งซึ่งอยากจะพูดอยู่ในหัวเท่านั้น
"มีเรื่องเล่าเยอะ แต่ว่าเราพูดไปคนเขาจะบอกว่า ก็เขาไม่อยากฟังน่ะป๋า มันมีคนอย่างนี้เยอะไง แต่ว่าก็ไม่จำเป็น เราคิดว่ามันยังมีคนกลุ่มนึงที่เขาพอจะเข้าใจในอารมณ์ศิลปะตรงนี้ หรือว่าความคิดที่บางครั้งอาจจะตรงกับเราบ้าง เป็นบางคน อาจจะส่วนน้อย แต่นั่นก็คือความภูมิใจของเรา
"ถึงคนไม่ค่อยฟัง แต่เราก็อยากจะเล่าอีก อย่าลืมว่าเราก็เป็นสินค้าอย่างหนึ่ง ถ้าไม่มีการโปรโมท ไม่มีวาง ใครเขาจะไปรู้ ใครเขาจะไปสนใจ เหมือนคาราบาว เมื่อก่อนร้องเพลงใครเขาฟัง เราก็ต้องมีพยายามขึ้นไปอีก ไม่ใช่ว่านั่นคือจุดสุดท้ายแล้วที่ไหนล่ะ มันเป็นการเริ่มต้นเอง เหมือนคุณได้รับประกาศนียบัตรครั้งแรก คุณคิดว่านั่นประสบความสำเร็จแล้วเหรอ มันคือการเริ่มต้นของชีวิตเท่านั้น แล้วคุณต้องมาเรียนบทเรียนอีกเยอะ เรียนเรื่องครอบครัว เรื่องอะไรต่างๆ ซึ่งในสถาบันไม่มีสอนคุณหรอก
"นี่คือมหาวิทยาลัยชีวิตซึ่งคุณต้องมาเคลียร์สิ คุณต้องมีความคิดของคุณ ถ้าคุณไปไม่ได้แสดงว่าคุณน่ะโง่ แล้วคุณก็จะตายอยู่ในบ่อน้ำ ซึ่งมีปลาใหญ่มากมายที่เขาจะกินคุณได้ ถ้าคุณไม่สามารถที่จะพลิกผันด้วยตัวเองได้ ทุกวันนี้บ้านเราก็เหมือนกัน อย่างรัฐบาลเนี่ย เลี้ยงประชาชนเหมือนเลี้ยงลูก มันไม่ใช่ไง มันต้องบอกให้ลูกไปทำมาหากิน ไม่ใช่โอ๋ลูก เอาเงินส่งลูกไว้ ไม่พอกินมาเอากับพ่อนะลูก"
สิ่งสำคัญที่ทำให้ป๋าเทพยังคงยืนหยัดที่จะผลิตหนังในวิถีทางของเขาออกมา นั่นคือ ความหวังลึกๆ ในใจว่า สักวันลมจะเปลี่ยนทิศ ผู้ชมภาพยนตร์จะเบื่อเอียนกับหนังตลาดฟอร์มยักษ์ที่ฉายอยู่ในโรง แล้วเหลือบแลลงมามองหนังวีซีดีที่มีวิธีการผลิตสุดเพี้ยนของเขาบ้างอย่างแน่นอน
"คนเรากินข้าวกับแกงกะทิทุกวันๆ มันก็ต้องเบื่อ วันแรกอร่อย วันที่สองก็อาจจะยังอร่อย วันที่สามชักเริ่มไม่อร่อย วันที่สี่ที่ห้า ไม่เอาแล้ว เบื่อ ทุกอย่างมันอยู่ตรงนี้ ตรงที่ว่าเราจะให้เขาเสพอะไร แล้วก็ถูกต้องขนาดไหน แน่นอน หนังป๋าเป็นแบบนี้ แล้วทำไมคนที่ทำหนังมารวยร้อยกว่าล้าน แล้วมาทำอีกสิบเรื่องเจ๊งล่ะ ไม่เห็นเขาพูดอะไร
"ตอนนั้น(ตอนทำหนังดึกดำดึ๋ย)เขาบอกว่า ตลกมาทำให้เงินเสียหาย (หัวเราะ) แต่คิดแล้ว สรุปแล้ว ตลกนี่มันลงทุนน้อย ขาดทุนก็ไม่เท่าไหร่ แต่ไอ้พวกที่เป็นผู้กำกับยิ่งใหญ่ ลงทุนเป็นสี่สิบห้าสิบล้านแล้วเจ๊งเนี่ย มาวัดกันไหมว่า อันไหนจะเสียหายมากกว่ากัน
อ่านต่อหน้าที่ 2
"เราไม่ได้ขายภาพนะ เราขายไอเดีย ขายความคิดมากกว่า แม้กระทั่งหนังป๋าทำมา เดี๋ยวดูก็ได้ ที่เขาทำกันเป็นร้อยล้าน แต่กูจะเอามาทำแค่สองสามแสนน่ะ ทำยังไงให้เป็นหนัง แล้วทุกคนต้องมาดูหนังกู อาจจะไม่ดูก็เรื่องของมึง แต่สักวันนึงมึงต้องมาดูแน่นอน มึงดูหนังใหญ่แล้วมึงต้องเบื่อ แล้วมึงต้องมาดูหนังของกูบ้าง เฮ้ย หนังอะไรของมันวะ แล้วมึงจะเห็นเองว่าในเนื้อนั้น ชั้นต้องการให้แกเห็นอะไร
"สังเกตด้วย ไม่ใช่โง่ ดูแต่หนังไม่รู้เรื่อง สังเกตว่าคนสร้าง เขาจะให้อะไรคุณ แล้วคุณมีความคิดที่จะรับตรงนั้นได้ขนาดไหน แต่ส่วนมากเขาดู เขาก็ ยี้(ทำเสียงรังเกียจ) อย่างนี้ก่อน มันก็จบแล้ว คุณไม่อ่านเสียก่อน คุณดูเสียก่อน ศิลปินเขาจะให้อะไรคุณ
"แน่นอนผมก็ต้องดูคุณเหมือนกัน ว่าคุณสมควรจะดูหนังผมไหม ถ้าหัวแบบนี้อย่าไปดูเลย ถ้าหนังผมออกไปครั้งแรกแล้วคุณบอก โอ้ย ผมไม่อยากดูเลย ผมถือว่าต่อไปคุณไม่ต้องมาดูหนังผมหรอก คุณไม่เข้าใจผมหรอก แต่สักวันต้องมีคนเข้าใจผม
"ป๋าว่า โอเค ร้อยคนไม่เข้าใจผม แต่ว่าขอแค่สักห้าคนเข้าใจผมก็โอเคแล้ว นี่คือ ความภูมิใจว่า สักวัน จากห้าจะต้องเป็นสิบ ในการพัฒนาของเราต่อๆ ไป เป็นสิบห้า ยี่สิบขึ้นไปเรื่อยๆ เหมือนแอ๊ด คาราบาว เมื่อก่อนใครฟังที่ไหน ด่าฉิบหายร้องเพลงอะไร แต่เดี๋ยวพอเข้าล็อคเขา เข้ายุคของเขา แค่กระดกลิ้นก็เป็นเงินไปหมด ขยับนิดหน่อยก็สุดยอดแล้ว"
ป๋าเทพบอกว่า เกราะกำบังที่ทำให้แนวคิดในหนังของเขาไปไม่ถึงมือผู้ชม มาจากมายาคติที่คนส่วนใหญ่มักจะตัดสินอะไรแค่เพียงปลอกและเปลือกที่หุ้มมันอยู่เท่านั้น
"ไม่ใช่แค่เทพ โพธิ์งามคนเดียวหรอก ตลกคนไหน หรือศิลปินคนไหนก็เป็นอย่างนั้นหมด เพราะคนไทยเราจะดูอย่างนั้นไป บางทียังไม่ทันดูอะไรให้ครบเลย ดูนิดๆ หน่อยๆ ก็เริ่มแล้ว ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่มีอะไรเสนอให้เขาหรอก มีการพูด แต่ไม่เป็น ไอ้พวกนี้เยอะ วิจารณ์เป็น พูดเป็น แต่ทำไม่เป็น เยอะ
" เหมือนนักวิชาการเกษตรน่ะ อธิบาย มึงต้องทำอย่างนี้ ต้องขุดดิน ต้องพรวนดินก่อนนะ(ทำเสียงกระแดะ) แล้วต้องทำอย่างนี้ อย่างนั้น ปลูกมันถึงจะงาม แต่มือเท้าขาว หน้ามันขาวนวลเลย กูจะไปเชื่อมึงได้ยังไงวะ มันต้องเอาชาวนาที่ตีนบานๆ ตัวดำๆ มือเกรียมๆ อธิบายสิกูถึงจะเชื่อ
"ที่ป๋าทำมาก็ไม่ได้ขาดทุนอะไรนะ ป๋าทำก็ขายได้ ป๋าบอกแล้วว่าต้องมีกลุ่มของป๋าอยู่นิดนึงล่ะ แน่นอน อาจจะไม่มาก แต่ว่ากลุ่มนี้ก็ทำให้เราได้เสนอศิลปะอะไรออกไป เพื่อไปเผยแพร่ สักวันน่ะ มันจะต้องมีคุณค่า เพราะทุกวันนี้คนเรามีแต่ลบๆ อะไรออกมา ศิลปินสร้างอะไรออกมาก็ลบไว้ก่อน ยังไม่ทันได้เห็นอะไรเลย
" เหมือนการเล่นตลก หยาบมาก โอ้โห ฟังไม่ได้เลย บางคนเป็นอย่างนั้นนะ แล้วมึงรู้ได้ไงว่ากูไม่เข้าใจ กูจะโง่ขนาด ที่กูพูดออกไปโดยไม่คิดสักนิดเลยเหรอว่า ออกทีวีเนี่ย มันสมควรขนาดไหน
"มันเหมือนการขับรถ กูขับไปตั้งร้อยยี่สิบแล้ว ยังมีอีกคันแม่งมาจี้ข้างหลังอีก บอกว่าให้หนีหลบไปซะ เพราะกูกำลังจะไป ไอ้เหี้ย กฎหมายมันก็บอกว่าห้ามเกินร้อยอยู่แล้ว แต่กูเหยียบถึงร้อยยี่สิบด้วยเนี่ย กูเกินอยู่แล้วนะ กูก็อยู่ในหลักของกูถูกต้องแล้วเนี่ย แม่ง ก็แป๊นๆๆ ไอ้เหี้ย แม่งเหยียบร้อยหกสิบ แล้วมันมาไล่เรา กูจะออกทำเหี้ยอะไร กูก็แกล้งเบรกแกล้งอะไรไป ก็กูอยู่ถูกต้องน่ะ"
เมื่อถามถึงสาเหตุที่ทำให้งานศิลปะในเมืองไทยล้มลุกคลุกคลาน ป๋าเทพก็สรุปเหตุปัจจัยออกมาได้สองข้อใหญ่ๆ นั่นคือ 'หล่มวัฒนธรรม' ที่ผู้ใหญ่ในบ้านเมืองตกลงไปติดอยู่นานหลายยุค กับ 'สังคมนิยมทุน' ซึ่งกำกับควบคุมโดยคนเพียงหยิบมือ
"บางครั้งเราก็เสพแต่ของเก่าๆ อยู่นั่นแหล่ะ ไอ้วัฒนธรรม ประเพณี จารีตก็ส่วนหนึ่งเหมือนกัน ที่ทำให้ทุกอย่างเป็นอย่างนั้น แล้วอีกส่วนหนึ่งก็คือ ศิลปินทุกวันนี้อยู่ใต้อำนาจ แม้กระทั่งอำนาจของทางบริษัท อำนาจของตลาด กดอยู่เลย กดจนอยู่ ทุกอย่างต้องฟังจากคนที่ไม่ใช่ศิลปิน แล้วมันจะไปได้อย่างไรวะ เพราะว่ามันไม่ได้มาจากศิลปิน
"เรื่องเรทติ้งก็เหมือนกัน เมื่อผลงานเราออกไปมันจะพิสูจน์อย่างไร คนเขายอมรับเองน่ะ บางครั้งเรทติ้งมันก็กะไม่ได้หรอก เพราะมึงคิดอยู่คนเดียว ของทุกอย่างมันยังไมได้ออกไปให้เห็นเลย แล้วมันไม่มีใครตัดสินเลย แล้วมึงตัดสินอยู่คนเดียว มันไม่ถูกน่ะ เหมือนแกสร้างหนังมาทั้งเรื่องอย่างนี้ รู้เรื่องแล้ว โดนตัดซอยออกหมดเลย อันนี้ไม่ได้ อันนั้นไม่ได้ แล้วหนังมันจะเป็นยังไงล่ะ
"บ้านเราคนที่อยากเป็นคนดีของสังคมมันเยอะไง แต่มันไม่มีแผนอะไรที่จะเป็นชิ้นเป็นอันได้น่ะ อย่างเรื่องโสเภณี ให้เขาเลิกเพื่อบ้านเมืองเราจะได้ดูเป็นวัฒนธรรมที่ดี แต่ไม่มีอะไรรองรับให้เขา แล้วพ่อแม่เขา ลูกหลานเขาจะอยู่อย่างไร ตรงนี้แหล่ะที่เราไม่ค่อยมีกัน อย่างศิลปะบ้านเราน่ะ การจะสร้างอะไรขึ้นมาสักอย่างเกี่ยวกับวงการบันเทิงทำไปทำมามันเป็นวัฒนธรรม ซึ่งบางครั้งวัฒนธรรมนี่มันกดเสียจน ศิลปะบ้านเราหรือศิลปินบ้านเราเกิดยากฉิบหาย แต่ทุกคนก็ยังบอกว่า เออ ดำรงเอาไว้นะเพื่อประเพณี เพื่อวัฒนธรรมของเรา แต่บางครั้งวัฒนธรรมนี่ช่วยอะไรเราไม่ได้หรอก ถ้าอดอยากขึ้นมา บ้านเมืองวิกฤตเนี่ย วัฒนธรรมก็ช่วยไม่ได้ แต่เราไม่ได้ไปลบหลู่ เราต้องแบ่งแยกให้ได้ วัฒนธรรมก็ส่วนวัฒนธรรม ไอ้คนรักษาก็รักษาไป คนไหนรับมาก็รับมา มากลั่นกรองอีกที แต่ไม่ใช่กลั่นกรองถึงขนาดขยับอะไรไม่ได้เลย มันก็เปล่าประโยชน์"
นับตั้งแต่วันแรกที่ขึ้นไปยืนหน้าม่านเล่นตลกเรียกเสียงฮา ป๋าเทพยืนยันที่จะแสดงจำอวดในรูปแบบของเขา ลีลาผาดแผลงที่เหลื่อมล้ำข้ามเส้นความทะลึ่งน่ารักไปไกลหลายเมตร ทำให้เขาต้องแยกทางการแสดงกับ 'เด่น ดอกประดู่' ผู้ชมหลายคนที่เห็นเขาออกแสดงผ่านทีวีก็ส่งเสียงติติงพฤติกรรมที่ 'เกินเลย' ในความรู้สึกของพวกเขา เสียงทักท้วงต่างๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่ป๋าเทพยอมรับว่าเขา 'รับฟัง' แต่ไม่จำเป็นต้อง 'ปฏิบัติตาม'
"เราไปโกรธเขาไม่ได้ เขาจะพูดอะไรเรื่องของเขา ร้อยคนมาว่าเราเนี่ย เราไปฟังทั้งหมดไม่ได้หรอก มึงไปฟังสิ มันพูดไม่เหมือนกันหรอก ร้อยคนเนี่ย มันติก็ไม่เหมือนกัน แล้วมึงจะไปทำตามร้อยคน เราคนเดียวไม่มีทางหรอก มึงต้องทำอย่างเดียว ทำโดยตัวของมึง ทำให้คนทั้งร้อยคนยอมรับมึงให้ได้ จากคนนึงมึงต้องทำให้เชื่อสองคนให้ได้ มึงไม่เชื่อกูก็แล้วแต่ ไอ้พวกนั้น เก้าสิบกว่าคน แต่สักวันกูต้องเค้นมึงให้ได้ ให้ฟังกูบ้าง มึงไม่ฟังกูก็เน้นอีก เอาเหี้ยอะไรใส่ๆ เข้าไป ให้มันตกใจขึ้นมาอีก (หัวเราะ) มันจะเป็นอย่างนั้นมากกว่า แต่ว่าเราคงจะไม่ถึงขนาดว่า โอ้โห สุดยอด เอาแค่ที่ว่า พอไปได้ เพื่อจะไปข้างหน้าอีกเท่านั้นเอง แต่จริงๆ มันอีกไกลเหลือเกินน่ะ มันไม่มีจบสิ้นหรอกตำราพวกนี้น่ะ"
อีกหนึ่งเดือนเศษๆ วันคล้ายวันเกิดของสุเทพ โพธิ์งามจะเวียนมาบรรจบอีกรอบหนึ่งแล้ว สุเทพหรือที่ใครๆ เรียกเขาว่า 'ป๋าเทพ' ยังคงยืนยันที่จะใช้ชีวิตแสนขบถของเขาต่อไป
ด้วยความเชื่ออันแรงกล้าซึ่งเขายืนยันว่าไม่ได้อาจหาญที่จะเปลี่ยนแปลงสังคมแม้แต่น้อย "นี่คือความคิดของป๋า มันน่าจะเป็นอย่างนั้นนะ" เขาย้ำเช่นนั้นตลอดการสนทนา
ภาพโดย นพพร ยรรยง
+ แนวคิดการทำธุรกิจแบบ 'ป๋าเทพ' จากปากคำของ 'อุดม แต้พานิช'
"ป๋าเทพบอกว่า โน้ตเอ้ย ทำธุรกิจมันไม่ยากหรอก แต่คนชอบบอกว่ากูทำล้มเหลว มันล้มเหลวไม่ใช่เพราะกู ไอเดียกูน่ะดี มึงฟังสิ มึงจะไปคิดยากทำไมทำธุรกิจ ทำน้ำข้าวกล้องนี่ ต้นทุนขวดนึงไม่ถึงสิบบาท ขายสิบบาท สมมุติต้นทุนเก้าบาท ขายสิบบาท ได้กำไรขวดละบาทก็พอ สิบบาทได้กำไรขวดละบาท ร้อยขวดเท่าไหร่ ร้อยบาทใช่ไหม พันขวดก็พันบาท หมื่นขวดก็หมื่นบาท แสนขวดก็แสนบาท ล้านขวดก็ล้านบาท คนไทยมีกี่ล้านคน เจ็ดสิบล้านคน ขอขวดละบาทก็พอ ทั้งหมดเป็นเงินเท่าไหร่ เจ็ดสิบล้าน รวยไหม รวยแล้ว
"กูทำข้าวคนจน คนจนกับคนรวยใครมากกว่ากัน คนจนมากกว่า คนจนมันเลือกไหมว่า จะกินข้าวหอมมะลิ ข้าวจากญี่ปุ่น ไม่เลือก คนจนน่ะขอให้มีข้าวกิน กูเกิดไอเดียเลย ข้าวที่ไม่มีใครเอานี่แหล่ะ ข้าวดำๆ ข้าวหักๆ งอๆ ที่ไม่มีใครใช้นี่แหล่ะ รวมแพ๊คขายถุงเดียวเลย ข้าวปกติขายเท่าไหร่ ห้าสิบ หกสิบบาท กูขายสิบห้าบาท กูไม่เอาอะไรมาก เพื่อคนจน กำไรถุงละบาทก็พอ ร้อยถุงเท่าไหร่ ร้อยบาท พันถุงพันบาท หมื่นถุงหมื่นบาท แสนถุงแสนบาท ล้านถุงล้านบาท คนไทยมีกี่ล้านคน เจ็ดสิบล้านคน ขอถุงละบาทก็พอ ทั้งหมดเป็นเงินเท่าไหร่ เจ็ดสิบล้าน รวยไหม รวยแล้ว"
อุดม แต้พานิช ให้สัมภาษณ์ในรายการตีสิบ
..........................................
แฟนคลับป๋าเทพสามารถชมการแสดง ‘โชว์ป๋า พูดจาภาษาเทพ’ การแสดงสดในรูปแบบของเทพ โพธิ์งามกับครอบครัว พร้อมการแสดงจากศิลปินรับเชิญ อาทิ โมเดิร์น ด็อก , โฟร์ – มด , โจอี้ บอย และหม่ำ จ๊กม๊ก ในวันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552 รอบเวลา 14.00 น. และเวลา 19.00 น. ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี จองบัตรได้แล้ววันนี้ที่ไทยทิกเกตเมเจอร์ทุกสาขา หรือดูรายละเอียดที่ www.thaiticketmajor.com